ดวงตาคู่สวยของอัจฉราเบิกกว้าง หัวใจเต้นระรัวจากการกระทำและคำพูดที่ไม่คาดคิดของนทีเมื่อครู่ มือบางกำผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่อีกฝ่ายพึ่งโยนให้เมื่อครู่แน่น ขณะที่แววตาฉายแววสับสนและตกใจออกมาอย่างซ่อนไม่มิด สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องที่หญิงสาวไม่คิดว่าชายหนุ่มจะทำ เธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ยังคงยืนนิ่งงันทำตัวไม่ถูกราวกับรูปปั้น
นทีเลิกคิ้วเล็กน้อย เขามองร่างบางที่ยืนทำหน้าเป็นลูกกวางที่ตื่นภัย ตกใจแสงไฟจากหน้ารถตอนที่มันจะข้ามถนนอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ไม่คิดที่จะแก้ตัวอะไร มิหนำซ้ำยังยืนจ้องกดดันเธอต่อไปไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีกด้วย เขาคลายเนกไทรอบคอออกเล็กน้อย ก่อนจะถามเธออีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเหมือนเก่า
“จะยืนอยู่แบบนั้นทั้งคืนเลยไหม?”
อัจฉราสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกทักติง นัยน์ตาสียางไม้ไหววูบราวกับคนที่พึ่งจะตื่นจากฝัน และความจริงทำให้เธอเพิ่งจะค้นพบว่ากำลังสบตากับนทีอยู่จะจะ อัจฉรารีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที ก่อนจะรีบก้มหน้าลงมองพื้นที่มีคราบน้ำเจิ่งนองเพราะเสื้อผ้าที่ชุ่มน้ำของเธอ กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากัน มือที่ถือผ้าขนหนูรีบดึงกลับเข้าหาตัวกอดรวมเอาไว้กับครุยของทนายหนุ่ม ที่ตอนนี้ทำเปียกไปหมดแล้ว...
“เอ่อ... เปล่าค่ะ” เสียงหวานเบาหวิวจนแทบจะต้องเงี่ยหูฟัง แต่ทุกถ้อยคำของเธอไม่อาจรอดพ้นไปจากโสตประสาทของนทีได้เลยสักคำ ชายหนุ่มมองปฏิกิริยานั้นของเธอ สายตาของเขาไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ มุมปากกระตุกเบา ๆ แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
“เปล่า... เปล่าแล้วจะยืนอยู่อีกทำไม” นทีเอาคำตอบของเธอมาย้อนถาม ทว่าเพียงแค่ลมปากที่เปล่งออกมาเป็นคำพูดธรรมดา ๆ กลับทำให้อัจฉราสะดุ้งได้เสียอย่างนั้น คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยกับปฏิกิริยานั้นของหล่อน มันทำให้ใจเขากระตุกด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย โดยไม่รู้สาเหตุ... ขวัญอ่อนเสียจริงนะแม่คุณ
“เนย... เนยไม่กล้าเดินเข้าไปค่ะ กลัวทำพื้นเปียก” อัจฉราที่ไม่ได้รับรู้ถึงสายตาและความคิดของนทีตอบกลับไป ราวกับกลัวว่าหากเว้นช่วงให้เงียบนานไปจะทำให้ต้องอึดอัดไปมากกว่านี้ สายตาที่เอาแต่มองพื้นแอบช้อนขึ้นมองคนตรงหน้าตา หัวใจที่เต้นระรัวพลันเต้นผิดจังหวะอย่างแรง ขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเมื่อพบว่าเขายังคงมองเธออยู่ไม่วางตา
อัจฉรากลืนน้ำลายอย่างเหนียวคอ มือที่สั่นอยู่น้อย ๆ อย่างไม่รู้ตัวเผลอกำผ้าทั้งสองผืนแน่นขึ้นด้วยความประหม่า จนมันแทบจะจมหายเข้าไปในอกหากเกิดขึ้นได้จริง ๆ
“เปียกก็เช็ดทีหลังได้... ดีกว่ามายืนตัวสั่นอยู่แบบนั้น” ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่ได้ ทันทีที่ดวงตาคู่สวยของอัจฉราบังเอิญสบสายตาเข้ากับเขา แต่นทีกลับไม่มีทีท่าว่าจะหลบสายตาหล่อนแม้แต่น้อย ยังคงจ้องเข้าไปราวกับกำลังค้นหาทุกอย่างที่เธอซ่อนเอาไว้หลังม่านตาสียางไม้คู่นั้น จนหล่อนต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปเองอีกครั้ง
นทีถือเอาโอกาสนี้ใช้สายตากวาดมองอัจฉราอีกครั้งตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็นผมแดงสีแสบสันต์ของเธอที่ชื้นน้ำ จนสีซึมเปื้อนคอเสื้อยืดสีอ่อนของหล่อน ที่ตอนนี้ก็เปียกแนบไปทุกสัดส่วนของเธอเช่นกัน หล่อนมอมแมมเหมือนลูกนกตกน้ำไม่มีผิด เกินกว่าที่จะรู้สึกมีอารมณ์พิศวาสอะไรด้วยได้ ด้วยเสียงแค่นหัวเราะในลำคอเบา ๆ นทีก็ยอมละสายตาไปจากเธอในที่สุด
“ดึกแล้ว... ไปพักเถอะ อย่าให้ต้องพูดซ้ำ” นทีฝากคำพูดทิ้งไว้ประโยคสุดท้าย พูดจบเขาก็ไม่สนใจลูกนกตัวสั่นอีกต่อไป เขาไม่รอให้หล่อนได้ตอบอะไรก็เดินออกมา ทิ้งให้หล่อนจมอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ยังไม่อ่อนตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาสร้างเอาไว้เอง อาจรวมไปถึงความสับสน และความหวั่นไหวด้วยก็ได้... ใครจะไปรู้ได้ถ้าไม่ใช่เจ้าตัว
อัจฉราเงยหน้าขึ้นมามอง กะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความไม่เข้าใจ ความกะทันหันของนทีทำให้เธอตามเขาไม่ทัน จากที่ตามเขาไม่เคยจะทันอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้สับสนหนักกว่าเก่า ก่อนหน้าเขายังทำท่าเหมือนจะดุอยู่เลย แต่แล้วเขาก็กลับมาทำเหมือนไม่มีอะไร แต่มีทั้งสองอย่างที่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงในสายตาของอัจฉรา
นั่นก็คือความเย็นชาของเขา... ความรู้สึกเหมือนหนังสือสูงค่าเล่มหนาเกินกว่าที่จะทำความเข้าใจ และเกินกว่าที่จะเอื้อมมือไปคว้าเอามาครอบครองเป็นของตัวเอง เพื่อใช้เวลาอ่านทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ นทีเป็นแบบนั้นเป็นคนที่น่าสนใจ มีแรงดึงดูด แต่ก็ดูเข้าถึงได้ยากในเวลาเดียวกัน
และเพราะแบบนี้ มันถึงได้ทำให้อัจฉราละสายตาไปจากเขาได้อยาก อยากรู้จัก แม้ว่าความรู้สึกจะถูกทำให้ฟุ้งซ่านมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอไม่เคยรู้สึกสนใจเขาน้อยลงเลย แต่ก็รู้จักเจียมตัวขึ้นมามากกว่าเมื่อก่อนเยอะ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ที่ปัญหาชีวิตมีเข้ามารุมเร้ามากมายไปหมด มากจนเธอตกต่ำลงเรื่อย ๆ ถอยห่างจากจุดที่เอื้อมไม่ถึงมากขึ้นทุกวัน ๆ
หญิงสาวมองตามร่างของชายหนุ่มไปจนลับสายตา ตลอดจนแผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อผ้าเนื้อดีนั้นหายเข้าไปในมุมมืดแล้ว ความอึดอัดระคนหวั่นไหวเมื่อครู่ก็คลายลงให้หล่อนพอจะผ่อนลมหายใจออกมาได้บ้าง อัจฉราเม้มปาก ความรู้สึกแห้งผากทำให้เธอต้องกลืนน้ำลายอีกกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ แต่เมื่อก้มมองทั้งผ้าขนหนูและครุยเนติในกำมือ โดยที่ไม่รู้ตัวรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็แต้มดวงหน้าอ่อนล้าให้เห็นบางเบา
เขาแค่เป็นคนดีคนหนึ่งเท่านั้น ใจดีไม่ได้ความว่าเขาจะสนใจเธอ กับคนอื่นเขาก็ทำแบบนี้เป็นปกติ... อัจฉราพยายามเตือนตัวเอง แต่รู้ทั้งรู้อยู่แล้วหัวใจเจ้ากรมมันก็ยังแอบหวังใฝ่สูงอยู่ร่ำไป
“คนละโลกกันขนาดนั้น...” เสียงหวานพร่ามัวติดสั่นเล็กน้อยกระซิบกับตัวเอง รอยยิ้มบางเบาหายไปแม้ว่าใจจะยังเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ก็ตาม เธอรีบจัดการตัวเองในครั้งนี้ ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำตามีตัวตามที่จำเป็น ก่อนที่จะก้มหยิบรองเท้าคู่เปียกขึ้นมา และหันไปหยิบปิ่นโตเถาน้อยที่วางอยู่บนคอนโซลมาถือเอาไว้
สองมือเต็มไปด้วยข้าวของซึ่งส่วนใหญ่ใช่ว่าจะเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ อัจฉราหอบทุกอย่างพะรุงพะรังเต็มมือเดินผ่านโถงใหญ่เพื่อที่จะไปยังห้องพักคนใช้ซึ่งอยู่หลังบ้าน ทุกอย่างก้าวของหญิงสาวเต็มไปด้วยความทุลักทุเล กลัวว่าจะเผลอทำให้ของมีราคาในบ้านและพื้นต้องเปียกเพราะตัวเอง เสียงฟ้าร้องและฟ้าแลบก็ทำให้ตกใจบ้างบางครา จากพายุภายนอกที่ยังคงรุนแรง ชนิดที่ว่าคืนนี้เห็นทีคงจะไม่ยอมสงบลงง่าย ๆ พายุในใจหล่อนก็ด้วย
ทว่าอย่างน้อยคืนนี้ก็คงไม่ได้เป็นคืนที่แย่ที่สุดของอัจฉราเหมือนกันทุกคืนที่ผ่านมาแล้ว แม้อาจจะเป็นแค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้นก็ได้... แต่ก็ดีแล้วที่ยังมี ดีกว่าไม่มีความสงบอะไรเลยจริง ๆ
ในเงามืดร่างสูงของนทียืนพิงกรอบประตูห้องครัวที่เปิดอ้าอยู่ แสงไฟสลัวที่อยู่คนละมุมกันทำให้คนที่พึ่งเดินผ่านไปเมื่อครู่ไม่ทันสังเกต แต่กับเขามันตรงกันข้าม ชายหนุ่มกำลังสังเกตและเฝ้ามองหล่อนอยู่ ในทุกการกระทำและวิธีที่หล่อนแสดงออกผ่านทางสีหน้า ไม่ว่าจะเป็นการถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความโล่งอก รอยยิ้มบาง ๆ ที่แต่งแต้มใบหน้าอ่อนล้าแต่ยังคงสวยจัดของหล่อน
กระทั่งแววตาที่เป็นประกายขึ้นมาชั่วครู่แล้วก็วูบหายไป คำพูดที่ฟังดูเหมือนจะตัดพ้อกับตัวเอง ‘คนละโลกงั้นเหรอ’ มันเหมือนเป็นสิ่งที่นทีเคยเห็นมาหมดแล้ว เล่นฉากเดิม ๆ เมื่อก่อนอัจฉราก็เป็นแบบนี้ เป็นมาตลอด แต่เขาไม่เคยคิดที่จะมาสนใจหรือว่าจับตามองมาก่อนเหมือนกับครั้งนี้ แต่เมื่อก่อนเธอสดใสกว่านี้เสีย อดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้ว่าตอนนี้อัจฉราดูเหมือนคนที่มีอะไรในใจตลอดเวลา
ทั้งที่นทีคิดว่าเขารู้จักคนอย่างอัจฉราดีมากพอแล้ว แต่ดูเหมือนว่านิยายรักอย่างเธอที่เขามองว่าอ่านง่ายไม่ซับซ้อนคงจะไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไปแล้วนี่สิ หน้าปกสดสวยประกอบคำโปรยหวานฉ่ำของเธอ ดูเหมือนจะมีอะไรที่น่าสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว... น่าสนใจจนไม่แน่ใจอีกแล้วจะปล่อยทิ้งเอาไว้หรือหยิบขึ้นมาเปิดอ่านดี
“คนละโลก... พูดแบบนี้แสดงว่ารู้ตัวมาตลอดสินะ...” นทีแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างไม่มีเหตุผล เขายืนมองจนกระทั่งอัจฉราหายไปจากสายตาเหมือนกัน มุมปากหนาหยักยิ้มพลางส่ายหัวเบา ๆ แต่เมื่อเขาผ่อนลมหายใจออกมา รอยยิ้มนั้นก็หายตามไปทันที
ชายหนุ่มหันตัวกลับเข้าไปห้องครัวที่เปิดไฟเอาไว้พอแค่ให้มองเห็น สายตาของเขามุ่งไปยังถ้วยข้าวต้มที่วางอยู่เดี่ยว ๆ บนเคาน์เตอร์หินอ่อนโดยไม่ต้องคาด เขาเดินเข้าไปใกล้เครื่องกระเบื้องที่หุ้มปากถ้วยเอาไว้อย่างดีด้วย บนแผ่นพลาสติกใสไม่พ้นโพสต์อิทสีหวาน ที่มีข้อความเขียนด้วยลายมือเดิม ๆ
ปกติแล้วทั้งพลาสติกและโพสต์อิทจะถูกเขาขย้ำและทิ้งไปเลย ทว่าคืนนี้เขากลับเลือกที่จะดึงกระดาษสีหวานขึ้นมาอ่าน ‘เนยทำให้ใหม่ก่อนกลับบ้าน คุณนทีอุ่นก่อนทานนะคะ’ นทีอ่านออกเสียงในใจ แววตาสะท้อนตัวอักษรน้ำหมึกนั้นชัดเจน แต่ราบเรียบจนน่าใจหาย
เขาอ่านมันแล้วก็จริงแต่จุดจบยังคงทำเหมือนเดิม ขย้ำมันเป็นก้อนไปกับพลาสติกใสและโยนมันลงถังขยะไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะเอาข้าวต้มถ้วยดังกล่าวเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟ ยืนพิงขอบเคาน์เตอร์เงียบ ๆ ฟังเสียงฝนตก ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความปกติที่สงบอีกครั้ง