“คุณนที... พูดบ้าอะไรออกมา... รู้ตัวบ้างไหม”
น้ำเสียงของอัจฉราแผ่วเบา หัวของเธอรู้สึกตื้อไปหมดจนเกือบจะประมวลผลไม่ทัน แววตาที่สั่นระริกและชุ่มชื้นไปด้วยน้ำตา บัดนี้จ้องลึกลงไปที่ดวงตาคู่คม ราวกับจะหาคำตอบว่าใครกันที่พ่นข้อเสนออันแสนจะหยาบคายนั้นออกมา
นทีหัวเราะ ‘หึ’ ในลำคอ เขาไม่ละสายตาไปจากแววตาฉ่ำน้ำที่มองมายังเขา เหมือนเป็นการตอบคำถามที่เธออยากรู้โดยที่ไม่ต้องอธิบาย ว่าคน ‘หยาบคาย’ คนนั้น มันก็คือตัวตนของเขาเอง... ด้านที่ไม่เคยเผยให้ใครได้รู้จักมาก่อน
“รู้สิ... แต่ถ้าอยากได้ยินอีกครั้งก็จะย้ำให้... ฉันอยากให้เธอ ‘มอง’ แค่ฉัน ‘คนเดียว’ เท่านั้น... เหมือนที่เธอเป็นมาตลอด... อย่าลืมตัวสิ เนย”
เสียงทุ้มพร่าว่าพลางเลื่อนมือที่กุมอยู่หลังคอที่ร้อนระอุของหญิงสาว เคลื่อนมาช้า ๆ จนถึงปลายคางเชิด แล้วเชยคางหล่อนให้สบตากับเขาชัด ๆ ก่อนจะไล่สายตามองริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้บวมเจ่ออย่างน่าพึงพอใจ
“แต่นั่นมันไม่เกี่ยวกัน! นั่นมันเรื่องของเนย เนยรับผิดชอบเองได้ คุณนทีมีสิทธิ์อะไรมาสั่ง”
น้ำเสียงของอัจฉราเจือไปด้วยความสั่นเครือ แม้ว่าจะพยายามเป็นเข้มแข็ง แต่หัวใจของเธอกลับเต้นไม่หยุด ยังคงจำสัมผัสของจุมพิตที่นทีมอบให้ได้ดี มันทั้งดุเดือด เอาแต่ใจ ชวนให้น่าอัปยศและใจสั่น แค่คิดถึงพวงแก้มก็พลันร้อนผ่าว
กลีบปากของหญิงสาวเม้มแน่นเมื่อถูกสายตาคู่คมมองลงมา เธอกลืนน้ำลายอย่างแผ่วเบา นึกรังเกียจทั้งเขาและตัวเองที่ยังจะรู้สึกบางอย่าง ทั้งที่ชายหนุ่มฉวยโอกาสกระทำการดูถูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเคยชินจากหลายปีที่ผ่านมานั้น นที... ยังมีผลต่อความรู้สึกอยู่มาก
“ปล่อยเนย”
“ปล่อย?”
คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย เมื่ออัจฉราเอ่ยเสียงแข็งใส่อย่างถือดี ทั้งที่น้ำตาอาบแก้ม ตัวสั่นเทาอย่างกับลูกแกะกำลังจะถูกเชือด เขาแค่นยิ้มออกมา รู้สึกสมเพชปนขบขันที่เธอทำเป็นใจกล้า ทั้งที่สถานการณ์ของตัวเองนั้นเป็นลองอย่างเห็นได้ชัด
“ปล่อยแล้วจะไปไหนล่ะ... กลับบ้าน? แต่ถึงขนาดนี้จะกลับยังไง เรียกรถก็คงจะแพงไป สำหรับสถานการณ์ของเธอในตอนนี้”
นทีเน้นคำว่า ‘สถานการณ์’ อย่างชัดถ้อยชัดคำ เขาจงใจทิ้งจังหวะเพื่อให้มันซึมซับเข้าไปในใจของหญิงสาว มองดูเธอตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกอย่างที่คิดไม่มีผิด รอยยิ้มหยันขยับชัดเจนขึ้น ก่อนที่เขาจะคลายแรงรอบข้อมือเล็กและปลายคางของอีกฝ่าย พร้อมปล่อยให้อัจฉราเป็นอิสระในที่สุด
“ถ้าเธอฉลาดพอก็น่าจะรู้... ฉันไม่ได้พาเธอมาที่นี่เพื่อให้เธอกลับไปคืนนี้หรอกนะ เนย”
พูดจบร่างสูงก็ถอยออก สร้างระยะห่างเพียงเล็กน้อยให้คนที่เขาพึ่งจะปล้นจูบของหล่อนไป ให้อีกฝ่ายได้พอได้มีโอกาสหายใจหายคอบ้าง เขาไม่สนว่าเธอจะนิ่งอึ้งหรือว่าคัดค้าน พร้อมกันนั้นนิ้วเรียวก็กดไปที่ปุ่มบนแผงควบคุม
ห้องโดยสารของลิฟต์กลับมาทำงาน เคลื่อนตัวขึ้นไปอีกครั้ง ท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัดยิ่งกว่าเดิม ทว่านทีกลับรู้สึกพึงพอใจประหลาด ปลายลิ้นยื่นแตะมุมปากที่แตกช้ำของตัวเองเบา ๆ ลิ้มรสเค็มปร่าของโลหิต ซึ่งจางหายไปแล้ว กับรสหวานที่ยังหลงเหลืออยู่บนเรียวฝีปากของเขา
‘ไม่ประสา... แต่หวานใช้ได้เลยนี่’
ความคิดพึงพอใจผุดขึ้นมาในหัวอย่างซื่อตรง ก่อนที่เสียง ‘ติ้ง’ จะดังขึ้น พร้อมกับบานประตูที่เปิดออก เผยให้เห็นทางเดินส่วนตัว ซึ่งด้านหน้ามีประตูปรากฏเพียงแค่บานเดียวเท่านั้น
“เนยจะกลับบ้าน”
เสียงหวานสั่นเล็กน้อยเอ่ยออกมา ตัดสินใจรวบรวมความกล้าในช่วงสุดท้ายที่ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นมาถึงขั้นสูงสุด นทีจำต้องหยุดชะงัก ขณะเดียวกันอัจฉราก็เช็ดน้ำตาที่ทิ้งคราบบนใบหน้า ดวงตาคู่สวยที่บัดนี้อ่อนล้าและแดงก่ำมองแผ่นหลังกว้างที่หยุดเคลื่อนไหวตรงหน้า
“อ๋อ... สรุปคือไม่ฉลาดสินะ”
เสียงหัวเราะหยันดังขึ้นพร้อมประโยคแดกดัน น้ำเสียงที่กล้าท้าทายกันนั้น ทำให้ความพึงพอใจเล็กน้อยแทบจะหายไป แต่แทนที่ด้วยความรู้สึกอยาก... อยากที่จะดัดไม้อ่อนอย่างเธอที่เรื่อยแตกกิ่งเรื่อยไปทั่วมากยิ่งขึ้น ทว่านทีเลือกที่จะอดทนเอาไว้แทนในครั้งนี้
“ฉันจะพูดซ้ำอีกครั้ง... ออกมา... ตอนที่ฉันยังพูดดีด้วย... เธอคงไม่คิดว่าฉันจะจับเธอ ‘ถ่างขา’ อย่างที่พูดจริง ๆ ใช่ไหม”
เสียงของนทีแฝงด้วยความอันตราย ภายใต้คำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นการหยอกล้อ นัยน์ตาสีนิลวาวโรจน์ เมื่อเขาหันกลับไปหาหญิงสาวที่ยังคงยืดปักหลั่นเป็นแท่นหิน เรียวปากก็ขยับยิ้มร้าย สร้างแรงกดดันอย่างไม่อาจปฏิเสธ
ดวงตาสียางไม้กระตุกวูบไปหนึ่งจังหวะ ขนอ่อนทั่วร่างพากันลุกซู่ เมื่อนทีหันกลับมาเผชิญหน้า คำพูดของเขาจี้ใจดำเธออย่างแรง อัจฉราเผลอกัดริมฝีปาก มือสั่นเบาเล็กน้อย
ชั่วขณะหนึ่งที่เผลอคิดไปว่าถ้าเธอปรี่เข้าไปตบปากของเขาให้เลือดกบตอนนี้จะเป็นอย่างไรนะ แต่ความเป็นจริงมันเข้มข้นกว่าความคิดเสมอ หญิงสาวจึงได้แต่ข่มใจ ทว่าก็ยังเชิดหน้าสู้
“แล้วมีเหตุผลอะไร คุณนทีถึงอยากจะให้เนยค้างที่นี่คะ?”
อัจฉราย้อนถาม คำพูดยอกย้อนนั้นทำให้คนที่ยืนคั่นอยู่ระหว่างประตูลิฟต์กับโถงข้างนอก แสยะยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อยอย่างชอบใจกับความใจกล้าของคนตรงหน้า การที่เธอเริ่มตอบโต้กลับเรื่อย ๆ มันทั้งน่าหงุดหงิดและเป็นน่าสนุกในเวลาเดียวกัน
“ไม่มี”
นทีตอบกลับเสียงเรียบอย่างไม่ยี่หระต่อคำถามของเธอ สายตาคมกล้ากวาดมองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า แววตานิ่ง ๆ และลุ่มลึกทำให้หล่อนเผลอขยับตัวเล็กน้อยอย่างไม่สบายใจ ก่อนจะหุบยิ้มเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาเธออีกครั้ง
“แต่ก็ในเมื่อเธอถามหาเหตุผล... ก็คิดซะว่ามารับใช้ฉันนอกสถานที่ แบบที่ที่มัน... เป็นส่วนตัวมากขึ้นก็แล้วกัน”
หลังจากสิ้นประโยค เขาก็หันหลังให้เธอทันที ไม่รอรับคำถามที่ว่าคำตอบใดที่อาจจะมีอีก ขายาวก้าวเพียงครั้งเดียวร่างสูงก็เข้าสู่โถงทางเดินเต็มตัว ระบบเซนเซอร์ของประตูลิฟต์ทำงานโดยอัตโนมัติ กำลังจะเลื่อนปิดลง
อัจฉราเบิกตากว้าง สถานการณ์บังคับให้เธอต้องทำตาม รีบสาวเท้าตามหลังเขาออกไปอย่างฉิวเฉียดจนเกือบถูกประตูเหล็กหนีบเข้าให้ ทว่านั่นน่าตกใจน้อยกว่าตอนที่ข้างหน้าของเธอคือนที... เพราะเขามันร้ายจนน่าตกใจยิ่งกว่าเสียอีก
แกร๊ก
“เข้ามา”
เจ้าของห้องออกคำสั่งอย่างราบเรียบ ร่างสูงเข้าไปในห้องขนาดกว้างครอบคลุมทั้งชั้นก่อน ประตูที่เปิดกว้างเผยให้เห็นด้านในที่ตกแต่งด้วยโทนสีดำ เทาเข้ม และสีขาว พื้นหินอ่อนวาววับสะท้อนแสงไฟสีนวลจากทั่วทุกมุมห้อง สอดคล้องกับตัวตนของผู้เป็นเจ้าของเพนท์เฮาส์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
‘ทำไมต้องพามาที่นี่ด้วย... ในเมื่อทุกทีก็เห็นกลับบ้านตลอด’
อัจฉรามองเข้าไปข้างในห้องของนที ก็อดคิดคิดในใจไม่ได้ เธอไม่ได้ตื่นเต้นกับความหรูหราของสถานที่เลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นเมื่อก่อนคงจะดีใจมากที่ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เปรียบเสมือนโลกอีกใบของเขา แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม... ก็เหมือนที่เธอมองนทีไม่เหมือนก่อนเช่นกัน
สายตาจ้องมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้าด้วยความขุ่นเคืองผสมกับความหวาดหวั่นเล็กน้อย จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างแผ่วเบาเรียกสติ ทำใจดีสู้เสือ ก่อนจะยอมเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง เสียงประตูปิดลงอย่างแผ่วเบาเบื้องหลัง แต่อัจฉราก็ยังยืนอยู่ที่เดิม
ภาพสะท้อนของคนตัวเล็กที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังบนกระจกหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน ทำให้เผลอกระตุกยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะนทีคาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรมากกว่านี้จากอัจฉรา นึกว่าเธอจะตื่นเต้น ดีใจ แต่การที่เห็นว่าหล่อนควบคุมตัวเองได้มากกว่าที่คิด
แถมยังดูเหมือนหนูน้อยจะไม่ค่อยพอใจกับรังของราชสีห์เท่าไหร่นักด้วยซ้ำ มันทั้งน่ารื่นรมย์และขัดใจอย่างน่าประหลาด อยากแกล้งเธอมากขึ้นอีกจนทนรอไม่ไหว
“ฉันหิว... ทำข้าวต้มให้กินสักชามสิ”
“หิว? แต่นี่มัน... นี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้วนะคะ”
อัจฉราสะดุ้งเบา ๆ คำพูดของนทีเตะโด่งเธอจนหลุดออกจากภวังค์ คิ้วโก่งขมวดมุ่น ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูเวลา พอเห็นตัวเลขบนหน้าจอ ก็ถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
“จะเวลาไหนก็กินได้ทั้งนั้น คนหิวมันไม่เลือกเวลาหรอกนะ... หรือเธออยากให้ฉันกินอย่างกอื่นแทนข้าว?”
นทีจงใจเน้นทั้งคำว่า ‘หิว’ และคำว่า ‘กินอย่างอื่น’ เขาไม่หันกลับไปมองเธอ แต่เดินอาด ๆ ทุกก้าวช้าแต่หนักแน่น จนกระทั่งไปถึงโซฟาสีคาร์บอนในห้องนั่งเล่นกว้าง มีทีวีจอใหญ่แขวนอยู่บนผนังและวิวเมืองเป็นฉากหลัง เขาปลดกระดุมเสื้อสูทออก ก่อนจะคลายเนกไท และกระดุมเม็ดบนออกสองเม็ด
ในขณะที่หญิงสาวเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของเขาเงียบ ๆ เธอบีบมือแน่นรอบโทรศัพท์ ขัดใจอย่างแน่นอน แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือทำอะไรไม่ได้ ด้วยสถานะที่ไม่เอื้ออำนวยสักทาง ยิ่งไปกว่านั้นคำขู่ของชายหนุ่มมันทำให้ความทรงจำที่เกิดขึ้นในลิฟต์เมื่อครู่ ย้อนกลับเข้ามาในหัวราวกับม้วนฟิล์มฉายซ้ำ
ปากอิ่มที่ยังรู้สึกแสบร้อนอยู่นิด ๆ เม้มเข้าหากัน ก่อนจะถอนหายใจและเอ่ยปากถามเสียงเรียบ การกระทำเล็กน้อยที่ยังแสดงให้เห็นว่าเธอยังไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่นัก
“ครัวอยู่ไหนคะ แล้วมีวัตถุดิบบ้างหรือเปล่า”
“ทางนั้น”
นทีตอบคำถามด้วยการพยักหน้าไปทางห้องครัวเปิดโล่ง ขายาวยกขึ้นไขว่ห้าง เอนหลังพิงโซฟาหลังใหญ่อย่างสบายอารมณ์ พร้อมหยิบรีโมตขึ้นมากดเปิดทีวี รายการข่าวรอบดึกฉายชัดบนหน้าจอใหญ่
“ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีอะไรให้ทำ... ที่นี่มีแม่บ้านคอยมาจัดของเข้าให้ทุกอาทิตย์อยู่แล้ว... เผื่อวันไหนฉันจำเป็นต้องเข้ามาอยู่กะทันหัน... เหมือนคืนนี้ไง”
อัจฉราหันมองไปยังทิศทางที่นทีบอก ก่อนที่หล่อนจะถอดรองเท้าวางเอาไว้หน้าประตูและเดินเท้าเปล่า คำพูดสุดท้ายของชายหนุ่ม ทำให้เธอชะงักไปเล็กน้อย แต่ครั้งนี้เลือกที่จะไม่ตอบโต้ด้วย แล้วเดินเข้าครัวไปในที่สุด วางกระเป๋าลงบนโต๊ะกินข้าวตัวสวย ก่อนจะเริ่มทำการสำรวจ
สีหน้าของนทียังคงไม่แสดงอารมณ์ เขาดูทีวีอยู่ก็จริง แต่มุมหางตาเห็นทุกการเคลื่อนไหวของเธอทั้งหมด เห็นเธอชะงัก เห็นเธอขมวดคิ้วเพราะความไม่ชินที่ทาง เห็นว่าเธอดูอ่อนล้าและเพลียมากแค่ไหน รู้ว่าเธอยังป่วยอยู่ด้วยซ้ำไป ทว่าเขากลับไม่มีความคิดที่จะให้หล่อนได้หยุดพักเลยแม้แต่น้อย
เพราะเขาอยากจะเห็นว่าอัจฉรา... จะทนทานต่อไปได้อีกสักเท่าไหร่ ก่อนที่เธอจะ ‘พังลง’ อย่างสมบูรณ์