หลายนาทีผ่านไป มีเพียงเสียงเข็มนาฬิกาแขวนผนังที่ดังคล้ายกับจะถ่วงความเงียบเอาไว้ กระทั่งจังหวะที่นทีจัดการกับมื้ออาหารของเขาเสร็จพอดี เหลือเพียงแค่อัจฉราที่ยังกินอยู่ แต่ก็เหลือไม่มากแล้ว ประตูห้องทำงานที่ปิดสนิทเพราะไม่มีใครกล้ารบกวน ก็ถูกเปิดเข้ามาโดยไม่ได้เคาะก่อน
“พี่ที! เนยเป็นไงบ้างคะ?! ณะเอากระเป๋ากับเสื้อผ้าของเนยมาให้แล้ว!”
ณดาวส่งเสียงดังลั่น ปฏิกิริยาของเธอเต็มไปด้วยความลนลานและความกังวลอย่างออกนอกหน้า ทำเอาหญิงสาวที่กำลังตักข้าวเข้าปากถึงกับชะงักค้างต้องวางช้อนลง สายตามองไปยังหญิงสาวรุ่นเดียวกัน น้องสาวของนทีที่จู่ ๆ ก็โผล่พรวดเข้ามา
“เนย... ฉันไม่รู้ว่าเธอป่วย... ขอโทษนะ”
อัจฉราอ้าปากค้าง หน้าเหวอเล็กน้อยด้วยความตกใจกับปฏิกิริยาที่คาดไม่ถึงของหญิงสาวตรงหน้า รวมไปถึงคำขอโทษจากปากของหล่อนด้วย ทว่ายังไม่ทันจะได้ตั้งรับ อีกฝ่ายก็ปรี่เข้ามาหานั่งลงข้าง ๆ ทันทีโดยที่ไม่สนใจพี่ชายของตัวเองเลยสักนิด
“เป็นไงบ้าง... แล้วหาหมอมาหรือยัง?”
ณดาววางสัมภาระลงบนโต๊ะตรงหน้า เอื้อมมือทั้งสองข้างออกไปทาบแก้มเนียนที่ซูบลงไปเล็กน้อยของอัจฉรา ทำให้เจ้าของร่างกายสะดุ้งถอยหนีอย่างไม่ได้ตั้งใจด้วยความไม่เคยชิน การกระทำนั้นทำให้คนที่มองอยู่กระตุกยิ้มมุมปากออกมาเบา ๆ
“เอ่อ... เนยไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ... คุณนที... พาไปหาหมอมาแล้วค่ะ”
“ไม่จริงอะ... ฉันรู้สึกได้... พี่ทีพาไปหาหมอมายังไงคะ? ทำไมเนยยังตัวร้อนอยู่เลย”
ชายหนุ่มเฝ้ามองสองสาวด้วยแววตาที่พราวระยับอย่างสนใจ เมื่อน้องสาวตัวแสบเปลี่ยนเป้าหมายมาถามเขา คิ้วหนาก็เลิกขึ้นเบา ๆ พลางหันไปมองคนป่วยที่ยังคงทำเมินใส่อยู่ โดยที่ยังคงมีรอยยิ้มเล็ก ๆ แตะมุมปากของเขาอยู่ให้เห็น
“ก็มีคนดื้อ... โดนจิ้มไปเข็มหนึ่ง แล้วคิดว่าจะหายดี... พอไข้กลับให้กินยาก็ไม่ยอมกิน... ข้าวก็เพิ่งจะได้กินพร้อมพี่นี่แหละ”
“.....”
นัยน์ตาสียางไม้กระตุกเล็กน้อยเมื่อถูกแดกดันโดยเจ้าของเสียงทุ้มที่ชัดเจนเต็มสองรูหู แต่เธอกลับไม่หันไปให้ความสนใจหรือแก้ต่างแบบที่มักจะทำกับเขาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แถมครั้งนี้ยังแอบพยศในใจด้วยความรู้สึกขุ่นมัวนิด ๆ อย่างไม่ปิดบังตัวเอง
‘ดื้อ?... ทำไมไม่บอกณดาวไปด้วยล่ะ ว่าพี่ชายอย่างเขารังแกคนป่วย’ ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัวอย่างนึกหมั่นไส้ ‘รังแกคนอื่นแล้วยังกล้าเรียกว่าคนดื้ออีกเหรอ’
ณดาวขมวดคิ้ว แววตาที่ฉายความกังวลชัดเจนในตอนแรกหรี่ลงเล็กน้อย ละสายตาจากพี่ชายกลับมามองหน้าอัจฉรา ก่อนจะหันไปดูข้าวกล่องที่เธอเพิ่งจะสังเกตเห็นชัด ๆ เป็นครั้งแรก พลันริมฝีปากสีสวยก็คลี่ยิ้มออกอย่างแฝงความนัย พลางพยักหน้าเบา ๆ กับตัวเอง
“อ๋อ พี่ทีหาอะไรให้กินแล้ว แต่ยังไม่ได้กินยาสินะ... งั้นก็แล้วไป”
“ค่ะ ก็อย่างที่คุณณดาวเห็น”
อัจฉราพยายามฝืนยิ้มออกมา เป็นไปได้ยากยิ่งกว่าการเสแสร้งใด ๆ ที่เคยถนัดทำเสียอีก ณดาวเห็นเช่นนั้นก็ยอมชักมือกลับ หลังจากที่เผลอทาบแก้มอุ่นของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงนานไปหน่อย
ส่วนเจ้าตัวที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนพี่และคนน้องจากตระกูลเลิศธารินทร์ก็ทำตัวไม่ถูก นั่งทื่อแบบไม่รู้จะขยับไปไหนดี ความประหม่าของเธอแม้จะเล็กน้อย แต่นทีสังเกตเห็นมันทั้งหมด ทว่าเขากลับไม่มีความคิดที่จะขยับไปไหน... ปล่อยให้เธอทรมานใจเล่น
“จริงสิ ส่วนเรื่องค่าจ้างถ่ายแบบเมื่อเช้า ฉันโอนเข้าบัญชีให้แล้วนะ”
ณดาวเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง เธอพูดเสียงดังจนบรรยากาศที่ตึงเครียดในความรู้สึกของอัจฉราพอที่จะเบาบางได้บ้าง สิ้นประโยคหล่อนก็หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับปากกาด้ามหนึ่ง
“อันนี้คือสัญญาที่เธอต้องเซ็นนะเนย เป็นข้อตกลงจ้างงาน เรื่องสิทธิ์การใช้ภาพของแบรนด์ แค่นั้นเลย นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว”
“อ๋อ... ได้ค่ะ เดี๋ยวเนยเซ็นให้”
อัจฉราคลี่ยิ้มตอบเพียงแค่พอแต้มหน้าเท่านั้น หล่อนทำตัวแทบไม่ถูก ข้าวก็กินไม่อร่อยอีกต่อไป แม้ตอนแรกจะมีคนขู่ว่าให้กินให้หมดก็ตาม กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันเบา ๆ มือทั้งสองข้างที่ประสานกันแน่นบนตักในตอนแรก ยื่นออกไปรับปากกาด้ามนั้นและซองสีน้ำตาล
เธอหยิบเอกสารออกมาจากซอง เลื่อนกล่องข้าวออกไปเล็กน้อย ให้มีพื้นที่วางกระดาษแผ่นสีขาวลงบนโต๊ะกระจก ไล่สายตาหาที่ต้องเซ็นทันทีโดยไม่อ่านเนื้อหาด้วยซ้ำ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในไม่ถึงห้าวินาที หล่อนก็หันกลับไปหาณดาวพร้อมกับยื่นทั้งสัญญาที่เซ็นแล้วและปากกาส่งคืนให้เธอรับกลับไป
“ถ้าอย่างนั้น ไม่มีอะไรแล้ว... ของก็มาแล้ว... เนยว่าเนยไม่อยู่รบกวนแล้วดีกว่าค่ะ”
หญิงสาวลุกขึ้นพรวดทันที หันไปเก็บเศษซากที่เหลือบนโต๊ะรวมถึงกล่องข้าวของนทีที่หมดไปแล้วด้วย ใส่ถุงขยะเตรียมไปทิ้งด้วยความเคยชิน และเป็นการแสดงออกอ้อม ๆ ถึงสถานะที่ยังคงมีเส้นกั้นระหว่างกัน ก่อนที่เธอจะถอดแจ็กเกตสูทของชายหนุ่มที่เขาให้ยืมใส่คืนไป
“คืนค่ะ”
อัจฉราพูดแค่สั้น ๆ ยื่นเสื้อคืนให้เจ้าของโดยที่ไม่มองหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองคนยังมีอยู่ แม้เมื่อครู่ณดาวจะเข้ามาเจือจางไปบ้างก็ตาม
“รีบไปเหลือเกินนะ... แต่ก็ตามใจ... แค่เปลี่ยนชุดก่อนออกไปข้างนอกด้วยล่ะ”
นทีเอนหลังพิงโซฟาในท่าทีที่ผ่อนคลาย การแสดงออกนี้ไม่ทำให้อีกฝ่ายที่พูดด้วยประหลาดใจอีกแล้ว ทว่าเหมือนจะเป็นคนน้องสาวของเขามากกว่าที่แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย เพราะภาพจำพี่ชายคือคนที่ไม่เคยเหลียวแล รักษาภาพลักษณ์อยู่ตลอด โดยเฉพาะ... ต่อหน้าอัจฉรา
คนเป็นน้องสาวมองสลับกันระหว่างพี่ชายกับคนใช้สาว ขณะที่ทั้งคู่ยังคงเงียบใส่กันอยู่อย่างไม่มีใครยอมใครหลังจากประโยคนั้น นทีเองก็ไม่ยอมรับคืนเสื้อจากคนตรงหน้าในทันทีเหมือนกัน จนอัจฉราเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง
“ขอบคุณที่เตือน... ทีหลังจะไม่รบกวนแล้วค่ะ... ขอตัวอีกครั้งค่ะ ส่วนชุดของคุณณดาวเดี๋ยวเนยคืนให้พรุ่งนี้นะคะ”
หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาจนแทบจับสังเกตไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับคืนเธอจึงวางเอาไว้ให้บนโต๊ะเสีย พูดจบก็รอให้อีกฝ่ายอนุญาต ก่อนจะหันหลังให้เขาพร้อมกับกระเป๋าและถุงขยะติดมือออกไปจากห้องทำงานใหญ่โตแห่งนี้ทันที
ดวงตาคู่คมเฝ้ามองร่างบางห่างออกไปจนกระทั่งประตูปิดลงเบื้องหน้า ริมฝีปากหยักได้รูปคลายออกเล็กน้อยจนกลายเป็นเส้นตรง สีหน้ากลับมาไร้อารมณ์ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อ่านไม่ออกคลุมเครืออยู่ในนั้น
‘หึ... ไม่รบกวนอีกเหรอ... ปากกล้าขึ้น... แบบนี้สิค่อยน่าสน’
นทีคิดในใจ สายตายังคงจ้องมองบานประตูที่ปิดสนิท ก่อนที่ณดาวจะทำลายความเงียบลงด้วยการขยับเข้ามาใกล้และถามด้วยแววตาที่ฉายประกายเจ้าเล่ห์ปนอยากรู้อยากเห็น
“พี่ที... ยังไง... ไหนว่าไม่สนใจคนพี่?”
“หึ... ว่าแต่เราเถอะ รู้สึกผิดหรือยังไง ที่เขาเป็นลมไปต่อหน้าต่อตาแบบนั้น?”
“ก็นิดหนึ่ง แต่เพราะณะไม่รู้ว่าเขาป่วย แต่ป่วยขนาดนั้นทำไมไม่บอกกันก็ไม่รู้ แถมช่วงหลัง ๆ มานี่... เนยเปลี่ยนไปเยอะนะคะ เหมือนมีเรื่องเครียด ๆ ดูไม่ค่อยเข้าหาพี่เหมือนก่อนด้วย”
นทีไม่ตอบคำถามแสดงความคิดเห็นต่อคำพูดของณดาว เขาทำเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากเท่านั้น พลางยกมือใหญ่วางบนหัวทุยของน้องสาวเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู นัยน์ตาสีนิลเคลือบประกายบางอย่าง ทว่าการกระทำกลับอบอุ่นแตกต่างจากความตึงเครียดที่เย็นเฉียบตอนอยู่กับอัจฉราสองต่อสองอย่างสิ้นเชิง
ราวกับว่า... หญิงสาวผมแดงคนนั้น มีบางอย่างที่ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง แกล้งทำดีด้วยเหมือนอยู่ต่อหน้าคนอื่น กับอัจฉรา... นทีไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจ เขาจะทำจะพูดอะไรก็ได้ ในขณะที่เธอทำได้แค่ ‘ฟัง’ และ ‘ทำตาม’ เท่านั้น
พยศนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร... ดีกว่าตอนที่ทำเป็นไม่กล้า แต่ใจจริงแทบอยากจะถวายตัวให้เป็นไหน ๆ แบบนี้มันทำให้น่าสนใจขึ้นกว่าเยอะ