รถยนต์ค่อย ๆ ชะลอตัวลงเมื่อขับเข้ามาจอดในโรงจอดรถ แม้จะจอดนิ่งแล้วแต่ว่าเครื่องยนต์ยังคงทำงานเงียบ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง แทนที่นทีจะดับเครื่องยนต์เขากลับเลือกที่จะให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปอีกหน่อย สายตาของเขามองไปยังคนร่างบางที่ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเบาะฝั่งผู้โดยสาร สิ่งเดียวที่ยังบอกว่าหล่อนมีชีวิตอยู่มีเพียงแค่ลมหายใจที่สม่ำเสมอเท่านั้น
ตอนแรกนทีตั้งใจที่จะปลุกเธอ แต่เขากลับเลือกที่จะมองดูเงียบ ๆ เสียอย่างนั้น เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องมานั่งรอคนหลับแบบนี้ ทั้งที่เขามีสิทธิ์เต็มที่ว่าจะให้เธออยู่หรือไป แต่การที่เห็นอัจฉราหลับสงบแบบนั้น แม้จะไม่เข้าใจแต่เขาก็ไม่คิดที่จะหาคำตอบเพื่อทำความเข้าใจเช่นกัน
ดวงตาคู่เฉียบยังคงราบเรียบเหมือนเคย แต่สายตาของเขาในยามนี้กลับกำลังจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของหญิงสาว ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมากกว่านั้นก็ตาม นทีสังเกตหล่อนตั้งแต่เรือนผมสีแดง คิ้วเรียวสวยที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ใต้ตาที่แดงช้ำจาง ๆ ทั้งสองข้าง ปลายจมูกรั้นนิด ๆ ตลอดไปจนถึงกลีบปากอิ่มที่แย้มออกจากกันเล็กน้อย
ยอมรับโดยไม่ต้องหาข้ออ้างเลยว่าอัจฉราเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยจนมากเกินไปด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากเปรียบเทียบในความรู้สึกของนที หญิงสาวก็ไม่ได้ต่างไปจากหนังสือนิยายเล่มหนึ่ง มีดีแค่ปกหนังสือ สวยแต่รูป แต่เนื้อหาซ้ำซากจำเจ... ไม่ได้ ‘พิเศษ’ อะไรนักในความรู้สึกของเขา
ราวกับว่าเจ้าของร่างที่กำลังถูกสายตาของเขาประเมินอยู่จะรู้สึกตัวเสียแล้ว อัจฉราขยับตัวเล็กน้อยอย่างไม่สบายตัว เปลือกตาหนาหนักกระพือเปิดขึ้นมาช้า ๆ ภาพที่เห็นทำให้นทีเบือนสายตาไปทางอื่นแทน ไม่ต้องการให้หล่อนรู้ว่าเขาแอบมองเธออยู่เมื่อครู่ แสงไฟจากโรงรถส่องกระทบเข้ามา เผยเห็นใบหน้าและแววตาที่ยังคงอ่านยากเหมือนเดิม
ขณะที่อัจฉราลืมตาตื่นขึ้นมาพอดีพร้อมกับความรู้สึกงุนงง และหนักอึ้งที่ศีรษะเล็กน้อย หญิงสาวหรี่ตาลงอีกครั้งเมื่อต้องแสงไฟสลัว คิ้วขมวดเข้าหากันบ่งบอกถึงความไม่สบายตัวชัดเจน ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะรู้ตัวว่ารถยนต์ที่เคยเคลื่อนไหวในความทรงจำสุดท้าย ตอนนี้หยุดนิ่งอยู่กับที่แล้ว นัยน์ตาสียางไม้ไหววูบเบา ๆ ด้วยความสับสนและประหลาดใจ เมื่อหล่อนลืมตาขึ้นเห็นว่าตนอยู่ที่ไหน แม้จะมืดแต่ก็จำได้อย่างชัดเจนด้วยความคุ้นเคย
“เธอไม่ได้บอกฉันว่าจะให้ไปส่งที่ไหน...” นทีเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ว่าหนักแน่นและทรงอำนาจตามแบบฉบับของเขา ชายหนุ่มสังเกตเห็นความงุนงงในดวงตาของอัจฉราผ่านหางตาของเขา แม้จะไม่ได้มองเธอตรง ๆ ก็ตาม เขาพูดจบก็ผินหน้าไปทางตัวบ้านหลังใหญ่ ก่อนจะถอดเข็มขัดนิรภัยออก และปลดล็อกประตูรถยนต์ซีดานคันหรูด้วยเสียง ‘คลิก’ เบา ๆ
อัจฉราสะดุ้งเบา ๆ หลังจากที่เสียงทุ้มดังขึ้น หล่อนหันไปทางนที ดวงตาที่ฉายแววตาอ่อนล้าอย่างปิดไม่มิดมองเขาเงียบ ๆ สายตามองตามเขาออกไปนอกหน้าต่าง บ้านหลังใหญ่ที่คุ้นเคยดีตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น อัจฉราไม่ทันพูดอะไร เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเตรียมตัวจะลงจากรถแล้ว เธอจึงละสายตาไปจากเขาและรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออก ขณะที่กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากัน พร้อมกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน
“ขอโทษนะคะ... ที่เนยไม่ได้บอก” อัจฉราเอ่ยปากพูดเป็นครั้งแรกหลังจากที่ตื่นนอน ทำให้น้ำเสียงของหล่อนแหบพร่าเล็กน้อย แต่รู้สึกผิดและเกรงใจจนต้องรีบเอ่ยปากขอโทษเขา กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายลำบากใจเพราะความสะเพร่าของเธอเอง
“แต่เดี๋ยวเนยเรียกรถกลับเองก็ได้ค่ะ ขอบคุณที่ให้เนยติดรถมาด้วยนะคะ...”
“เรียกรถ?... ดึกขนาดนี้น่ะเหรอ” นทีเอ่ยขัดขึ้นมาฉับพลันเมื่ออัจฉราพูดจบ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว สายตาของเขาตวัดมองเธอที่ตอนนี้นั่งตัวเกร็ง ผิดไปจากท่าทีผ่อนคลายก่อนหน้านั้นตอนที่เธอหลับอยู่อย่างสิ้นเชิง เขาผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ คิ้วที่เคยขมวดเข้าหากันก่อนหน้าคลายออกจนสีหน้ากลับมาเรียบนิ่งอีกครั้ง
“ไม่ต้องเรียกรถ... ดึกแล้วนอนค้างที่นี่ไปก่อน... พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที” นทีพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของเขากลับมาเป็นปกติ พูดจบเขาก็ไม่รอให้อีกฝ่ายได้แย้งอะไรอีก เขาละสายตาไปจากเธอ พร้อมกันนั้นก็เปิดประตูลงจากรถไปทันที ก่อนจะหันกลับไปมองอัจฉราที่ยังคงนั่งเงียบ สีหน้าของเธอแทบจะเก็บความสับสนและประหลาดใจเอาไว้ไม่ได้เลย
“ลงมาสิ” น้ำเสียงของนที แม้จะราบเรียบแต่ก็แฝงไปด้วยความกดดันบางอย่างที่อัจฉราสัมผัสถึงได้ ทำให้เธอไม่กล้าขัดใจ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเบา ๆ พยักหน้า ก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถไปตามคำสั่งของเขา
อัจฉราปิดประตูลงอย่างเบามือ นทีมองการกระทำนั้นด้วยความรู้สึกพึงพอใจอย่างประหลาด อย่างน้อยหล่อนก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ไม่ว่าจะเป็นด้วยความกลัว กดดันหรือเกรงใจ แต่ผลลัพธ์มันก็ออกมาเหมือนกันอยู่ดี... นั่นคือเธอฟังคำสั่งของเขา อากาศเย็นในคืนหลังจากที่ฝนตกหนักทำให้ร่างบางที่ยังสวมเสื้อผ้าเปียก ๆ ตัวสั่นเล็กน้อยจนต้องกอดครุยที่เอาติดมือมาด้วยแน่นเพื่อคลายหนาว ขณะที่หล่อนเดินอ้อมรถมาอยู่ตรงหน้าเขา แต่ก็รักษาระยะห่างเอาไว้อย่างเหมาะสม
“หึ...” เสียงทุ้มแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ มุมปากกระตุกเล็กน้อย นทีเห็นภาพนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึก ขบขันระคนสมเพชนิด ๆ เขาไม่รู้หรอกว่าอัจฉราไปเจออะไรมาบาง แต่หล่อนที่เขาเห็นในวันนี้ มันไม่เหมือนเธอในเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อย เธอที่เชิดหน้า เธอที่เป็นห่านแต่ชูคอเหมือนหงส์ เธอที่แทบจะเข้าหาเขาทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นถอยห่างราวกับกลัวว่าเขาจะทำอะไร... หรือไม่ก็เริ่มรู้สึกเจียมตัวขึ้นมาบ้างแล้ว
อัจฉราชะงักไปเล็กน้อย หล่อนสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากและได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของนที แม้จะแค่แวบเดียวก็ตาม นั่นทำให้อัจฉรางุนงงอย่างช่วยไม่ได้ เธอไม่เข้าใจว่าเขาหัวเราะเรื่องอะไรกันแน่ แต่ยังไม่ทันจะได้หาคำตอบ หญิงสาวต้องตกใจซ้ำสอง เมื่อจู่ ๆ ชายหนุ่มก็ขยับเดินเข้ามาใกล้เธอ การเคลื่อนไหวที่กะทันหันนั้นทำให้อัจฉราไม่ทันตั้งตัว
หล่อนยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ หัวใจดวงน้อยพลันเต้นผิดจังหวะ ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างและฉายแววสับสนระคนตื่นตระหนก ทว่า... สิ่งที่เธอคิดกับสิ่งที่เขาทำมันดันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยแม้แต่น้อย เมื่อชายหนุ่มไม่ได้เดินมาหาเธอ แต่เขาเพียงแค่เดินผ่านหน้าเธอไปเฉย ๆ เพื่อไปเปิดประตูหลังรถก็เท่านั้น
“กินอะไรหรือยัง...” นทีถาม คำถามของเขาทำให้คนที่พึ่งจะหน้าแตกไปไม่ถึงนาทีถึงกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัยอย่างเก็บอาการไม่อยู่อีกต่อไป นทีหันกลับไปหาเธอโดยที่ในมือของเขามีปิ่นโตอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทำตาโตกะพริบตาปริบ ๆ แทนที่จะตอบเขา ชายหนุ่มก็ไม่ถามอีก แต่ยื่นปิ่นโตไปให้เธอต้องรับไปอย่างช่วยไม่ได้
“ขอบคุณค่ะ... แต่ว่า... แต่ว่าคุณนทีไม่เก็บไว้ทานเองเหรอคะ” อัจฉราตอบกลับเสียงแผ่ว น้ำเสียงหวานสั่นนิด ๆ นั้นแฝงไปด้วยความลังเลผสมกับความเกรงใจ ทั้งที่ความจริงหัวใจของหล่อนมันกำลังเต้นแรง เพราะการกระทำง่าย ๆ แต่ไม่คาดคิดของนทีจะตายอยู่แล้ว มือบางกำหูปิ่นโตแน่นด้วยความประหม่าและข่มใจ
เตือนตัวเองว่าที่เขาทำ ไม่ใช่เพราะว่าเขารู้สึกอะไรด้วย ไม่ควรปล่อยใจให้คิดเข้าข้างตัวเองไปไกล... แต่รู้ทั้งรู้มันก็อดรู้สึกอะไรไม่ได้เลยอยู่ดี
“ไม่ล่ะ... ฉันไม่ชอบเท่าไหร่... เธอเอาไปกินเถอะ” นทีตอบกลับเสียงเรียบ เขาสังเกตเห็นความประหม่าในท่าทีของอัจฉรา เห็นแม้กระทั่งพวงแก้มที่เริ่มขึ้นสีเลือดฝาด เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำมันทำให้อัจฉราคิดไปไกลแค่ไหน แต่เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับการย้ำเตือนหรือขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน เพราะคนที่คิดจะข้ามเส้นมาตั้งแต่แรกมันคือเธอ... ไม่ใช่เขาอยู่แล้ว
หลังจากประโยคนั้นนทีก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เขามองหญิงสาวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังให้เธอและเดินตรงไปยังตัวบ้านทันที ทิ้งให้หล่อนยืนอยู่ข้างหลังท่ามกลางความหนาวและเสียงฟ้าร้องที่กระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าฝนห่าใหญ่กำลังตั้งเคล้ามาอีกแล้ว และสมดั่งใจ ไม่ต้องรอนานพายุที่พึ่งจะซาไปเมื่อครู่ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับฝนเม็ดใหญ่ที่โปรยปรายลงมา
อัจฉราสะดุ้งเฮือกเมื่อหยดน้ำสัมผัสผิว สายตาที่มองแผ่นหลังของชายหนุ่มจำต้องแหงนหน้ามองฟ้าสั้น ๆ ก่อนที่จะรีบเดินตามหลังชายหนุ่มไปติด ๆ แต่ต่อให้ฝนจะตกลงมาอย่างไร หล่อนก็ไม่กล้าวิ่งแซงหน้าเขาไปอยู่ดี เป็นการกระทำเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นจากความเคยชินของสถานะที่ต่างกันสุดขั้วระหว่าง ‘เจ้านาย’ กับ ‘คนใช้’ อย่างเธอ
“มัวแต่เดินตามหลังอยู่แบบนั้น อยากเปียกอีกรอบหรือไง” เสียงทุ้มของนทีดังขึ้นข้างหน้า ร่างสูงใหญ่ของเขาหยุดยืนกะทันหันเมื่อมาถึงชานบ้านแล้ว ซึ่งมีหลังคาคุ้มอยู่ไม่ให้เปียกฝน สีหน้าของเขายังคงอ่านยากเหมือนเดิม แต่แววตาของเขากลับฉายแววบางอย่างซึ่งคล้ายกับความ ‘หงุดหงิด’ ออกมาราง ๆ
“รีบเข้ามา...” พูดเสร็จเขาก็เดินเข้าบ้านไปก่อนเธอ ทิ้งให้อัจฉรายืนสับสนอยู่คนเดียว กับความกดดันที่รับรู้ได้ผ่านน้ำเสียงของเขาเมื่อครู่ สายตามองตามร่างใหญ่ที่หายเข้าไปในบ้านแล้วจนลับตา ฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอเริ่มเปียกอีกครั้ง ทำให้เธอตัดสินใจรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ทันที
หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ตัวสั่นงกด้วยความหนาวเย็น เธอกัดริมฝีปากที่สั่นระริก ก่อนจะวางปิ่นโตใบน้อยเอาไว้บนคอนโซลข้างประตูและหันกลับไปปิดประตูไม้บานคู่สีขาวให้สนิทและล็อกเรียบร้อย รู้ดีว่าถ้าหากนทีกลับบ้านมาแล้วก็ย่อมไม่มีใครนอกเหนือจากเขาแล้ว หลังจากที่จัดการกับประตูเสร็จหล่อนก็หันกลับไปมองรอบ ๆ บ้านอีกครั้ง แต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับไปไหน
ตอนนี้อัจฉรายังตัวเปียกอยู่ ดูมอมแมมอย่างกับลูกนกตกน้ำ ดวงหน้ากลับมาซีดอีกครั้งด้วยความหนาวเย็นจนจับสั่น เรือนผมสีแดงลู่ไปตามกรอบหน้าและลำคอ สีบางส่วนก็หลุดจนเปื้อนคอเสื้อสีอ่อนไปแล้วด้วย สายตาพยายามมองหาทางที่จะเลาะไปยังห้องคนใช้ที่อยู่หลังบ้าน ก่อนจะถอดรองเท้าผ้าใบที่เปียกน้ำออกไป เพราะไม่อยากทำให้พื้นหินอ่อนมันวับใต้เท้าเปื้อนไปมากกว่านี้ ทว่าจังหวะที่กำลังก้มลงไปหยิบรองเท้าเสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังขึ้นก่อน
“อยากปอดบวมตายหรือไง?” นทีถาม พร้อมกันนั้นผ้าขนหนูผืนหนาสีขาวสะอาดจากในมือของเขาก็ถูกโยนไปให้หญิงสาวที่ยืนตัวสั่นงก จนเธอต้องยื่นมือออกมารับเอาไว้ด้วยสัญชาตญาณ ดวงตาคู่คมตอนนี้เหมือนจะดูดุกว่าเดิมอย่างไม่รู้ตัวมองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า กว่าจะรู้ตัวว่าคำพูดเมื่อครู่มันแรงไปก็ช้าเกินไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะเอ่ยคำขอโทษแต่อย่างใด
เขาไม่สนใจเธอ... อัจฉราเป็นผู้หญิงที่เขาไม่อยากเข้าไปมีบทบาทในชีวิตของหล่อนด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมว่าครั้งนี้เขากลับเมินเฉยหล่อนไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนกับที่ผ่านมาตลอดก็ไม่รู้ เขาไม่รู้ว่าเพราะเธอเป็นคนคุ้นเคย หรือเป็นเพราะเธอคือพี่สาวของคนที่เขาเคยมีความรู้สึกดี ๆ ด้วยครั้งหนึ่ง หรืออาจเป็นเพราะเขารู้สึก ‘สมเพช’ เธอจนอดที่จะดูแคลนเธอไม่ได้กันแน่
หรือแค่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความอยาก... อยากที่จะเป็นคนที่ได้ ‘เฝ้ามอง’ เธอในตอนที่หล่อนกำลังค่อย ๆ พังลง ในตอนที่เปลือกที่เคยห่อหุ้มหล่อนเอาไว้ค่อย ๆ กะเทาะหลุดลอกไป ตลอดจนเผยออกให้เห็น ‘เนื้อแท้’ ที่เป็น ‘อัจฉรา’ จริง ๆ จนกลายเป็นสิ่งที่เธอซ่อนเอาไว้ภายใต้หน้ากากที่เธอสวมมาตลอดกันแน่
มันเป็นความรู้สึกที่จู่ ๆ ก็ทำให้นทีรู้สึกอยากเป็นคนนั้นซึ่ง ‘มีสิทธิ์’ จะได้เห็น... และมันต้องเป็นเขาเท่านั้นในครั้งนี้