วินาที นาที ครึ่งชั่วโมง นับได้เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ที่อัจฉรารู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในกรงที่มองไม่เห็น เธอจะยับตัวอย่างอึดอัดเล็กน้อยบนโซฟาที่นั่งอยู่ ขณะที่คนเป็นเจ้าของห้องตั้งแต่เกิดเรื่อง ขู่ให้เธอกลัวเขาก็ยังไม่ขยับออกจากโต๊ะทำงานเลยด้วยซ้ำ
หญิงสาวกัดริมฝีปากอิ่มเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว การรับรู้ของเธอในตอนนี้ตึงเครียดจนรู้สึกแทบจะเป็นบ้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอยู่ในอาณาเขตของผู้เป็นเจ้าของอย่างนที
ระหว่างที่กำลังคิดหาทางแก้ความอึดอัดที่ต้องเผชิญ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นตัดกับความเงียบที่แสนจะยาวนานลง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานเงยหน้าขึ้น มองไปที่ประตู
“คุณนที ข้าวที่สั่งได้แล้วครับ”
“เข้ามาได้เลย กำลังรออยู่พอดี”
เสียงของภีมเลขาหนุ่มที่ไว้ใจดังเข้ามา ในที่สุดนทีก็วางมือจากงานเอกสารตรงหน้า ชำเลืองมองไปยังอัจฉราเพียงแค่หางตา ก่อนจะหันไปทางเลขาของตัวที่หิ้วถุงใส่กล่องข้าวมาด้วย ริมฝีปากหยักได้รูปคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะผายมือไปทางโต๊ะกระจกหน้าโซฟาตัวนุ่ม
“วางตรงนั้นได้เลย...”
“ครับ”
ภีมพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าของเลขาหนุ่มราบเรียบในตอนแรก ทว่าเมื่อหันไปเห็นหญิงสาวผมแดงที่นั่งอยู่บนโซฟา ซึ่งหน้าตาไม่คุ้นเคย ทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ ทำให้เขาเก็บอาการได้ดี เดินเอาถุงใส่กล่องข้าวไปวางบนโต๊ะตรงหน้าหล่อน
ทว่าคนที่ทำตัวไม่ถูกกลับเป็นอัจฉราเสียเอง ร่างบางนั่งตัวตรงขึ้นฉับพลัน เมื่อเลขาของนทีเดินเข้ามาวางของตรงหน้า สายตาของเขาที่มองมาแวบหนึ่ง ส่งผลให้หล่อนปั้นหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงยิ้มอ่อนให้นิด ๆ
“ขอบคุณมากนะ เลขาภีม...”
นทีสังเกตเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่อัจฉราซึ่งนั่งเงียบ ตีหน้านิ่งใส่เขามาหลายนาทีส่งให้เลขาของเขา ความรู้สึกบางอย่างก็พลันแล่นลิ่วเข้ามาคล้ายกับความไม่พอใจ จึงตัดสินใจเข้าไปแทรกแซง เดินอ้อมโต๊ะทำงานตัวใหญ่ไปหยุดอยู่ใกล้คนทั้งสอง มือล้วงกระเป๋ากางเกงในท่วงท่าที่ผ่อนคลาย
“ไม่มีอะไรแล้ว... คุณกลับไปทำงานเถอะ”
นทีพูด รอยยิ้มสุภาพฉาบใบหน้าแต่แรงกดดันที่แผ่ออกมามากพอที่จะทำให้คนทำงานด้วยกันมานานนับรู้ได้ เลขาภีมไม่ตอบอะไร เพียงแค่โค้งให้เจ้านายของตนเล็กน้อยและหันหลังเดินออกจากห้องทำงานกว้างไปอย่างไม่รบกวน ทิ้งความเงียบเอาไว้เบื้องหลังอีกครั้ง
รอยยิ้มเล็กน้อยของอัจฉราจางหายไปทันที เธอมองถุงใสที่บรรจุกล่องพลาสติกใส่อาหารจากร้านแวบหนึ่ง ก่อนจะเสมองไปทางอื่นราวกับไม่สนใจ ไม่ปริปากพูดสิ่งใดออกมาสักคำ ผิดวิสัยคนอย่างเธอชัดเจน
“กินข้าวซะ จะได้กินยา”
นทีเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ เขายอมรับกว่าความเงียบของอัจฉรามันทำให้น่าหงุดหงิด แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกท้าทายที่เธอกล้าเมินเขาขนาดนี้ หลังจากที่แสดงเขี้ยวเล็บออกไปให้เธอได้เห็นเต็มตา นทีกระตุกยิ้มมุมปาก สนใจในท่าทีของเหยื่อตัวน้อยที่เริ่มรู้จักตั้งแง่ใส่เขาขึ้นมาบ้างแล้ว
“ก็ตามใจ”
ครั้งนี้ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่บังคับ เขาปล่อยให้เธอเงียบใส่ได้จนกว่าจะพอใจ แต่กลับใช้วิธีที่ยั่วโมโหยิ่งกว่า นทีหย่อนกายนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับอัจฉรา น้ำหนักที่มากกว่าทำให้คนตัวเล็กรับรู้ได้ถึงแรงยวบของพื้นผิวนุ่มใต้ร่าง หล่อนตวัดหางตาไปมองเขาเล็กน้อย กลีบปากเม้มแน่น ก่อนจะขยับออกห่าง
นทีหัวเราะในลำคอออกมาเบา สังเกตเห็นกระต่ายตื่นตูมรีบถอยหนีราวกับกลัวจะถูกขย้ำอย่างไรอย่างนั้น แทนที่จะสนใจ มือหนาเอื้อมออกไปหยิบกล่องข้าวออกมาจากถุงหนึ่งกล่อง กินหอมของข้าวสวยร้อน ๆ ราดผัดกะเพราหมูสับรสจัดและไข่ดาวไหลเยิ้มหอมยั่วน้ำลายได้ดี
เขากำลังทรมานคนป่วยที่เริ่มกลับมาใช้นิสัยเดิมอย่างการพยายาม ‘ดื้อเงียบใส่’ ด้วยความหิว และเชื่อว่าคนที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้าแบบเธออย่างเสียก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความหิวของตัวเองไปในที่สุดอยู่ดี
‘หึ... จะทนได้สักกี่น้ำ’
นทีคิดในใจพลางราดน้ำปลาพริกใส่ไข่ดาวเยิ้ม ๆ ก่อนที่เขาจะตักข้าวคำแรกใส่ปาก อาหารรสเผ็ดร้อนเจ้าอร่อยราวกับเต้นระบำอยู่บนลิ้น กลิ่นหอมยั่วน้ำลายจนอัจฉราเผลอกลืนน้ำลายไม่รู้ตัว แต่เธอก็ยังเม้มปากแน่นอยู่
‘คุณนที... ถ้ารู้ว่าร้ายขนาดนี้คงไม่เสียเวลาหลงมาตั้งหลายปีหรอก... คนใจร้าย’
อัจฉราคิดในใจอย่างเจ็บ ๆ แต่สายตาก็เผลอมองไปยังคนข้าง ๆ ที่กำลังตักข้าวเข้าปากอีกคำ ไข่ดาวไหลเยิ้มชวนให้น้ำลายสอ กว่าจะรู้ตัวท้องมันก็ดันร้องออกมาเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว ทำเอาต้องรีบหันหน้าหนีทางอื่นด้วยความอับอายทันควัน
การกระทำนั้นไม่อาจรอดพ้นสายตาของคนตาดีไปได้ เสียงหัวเราะ ‘หึ’ ดังออกมาเบา ๆ มือหนาวางช้อนลง ก่อนจะเอื้อมไปหยิบกล่องข้าวอีกกล่องขึ้นมา เขาเปิดมันออกเผยให้เห็นอาหารเมนูเดียวกันอย่างผัดกะเพราหมูสับสีสันจัดจ้าน พลางเลื่อนมันไปตรงหน้าคนที่ยังทำเมิน
“หิวก็กิน... จะทรมานตัวเองให้เป็นลมไปอีกรอบหรือไง... กินซะ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะกินมันให้หมดทั้งสองกล่องนี่แหละ”
ในที่สุดหญิงสาวก็ต้องยอมแพ้ให้กับความหิวจนได้ เธอหันไปมองข้าวกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกตรงหน้า ก่อนที่สายตาจะชำเลืองมองคนข้าง ๆ เล็กน้อย แววตาหวาดหวั่นและแอบ... แข็งข้อเล็กน้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นกับเขามาก่อน
“ขอบคุณค่ะ”
อัจฉราตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ละสายตาจากใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้แทบจะมองเห็นเป็นภาพสัตว์ร้ายทับซ่อนอยู่บนหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว แต่นทีกลับไม่สนใจ เขายิ่งพอใจด้วยซ้ำที่เห็นหล่อนมีปฏิกิริยาอย่างอื่นบ้าง นอกจาก... กลัว เกรงใจ หรือแม้แต่ความประหม่าเวลาที่เขาอยู่ใกล้แบบเมื่อก่อน
“กินให้หมดด้วยล่ะ... ฉันไม่ชอบคนกินทิ้งกินขว้าง”
นทีแกล้งบอก แต่น้ำเสียงของเขาก็ไปด้วยความจริงจังบางอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะเขาไม่ชอบคนที่ ‘กินทิ้งกินขว้าง’ จริง ๆ โดยเฉพาะของกินที่ตัวเองเฝ้ารอมานานแต่พอเห็นรูปเปลี่ยนไปก็คิดจะเลิก ‘อยาก’ กันไปเสียดื้อ ๆ
ชายหนุ่มรอให้หญิงสาวตักข้าวคำแรกเข้าปากก่อน เมื่อเห็นว่าเธอยอมกินแล้ว แม้จะชะงักไปเล็กน้อยตอนได้ยินประโยคดังกล่าวก็ตาม แต่ผลลัพธ์ออกมาซึ่งก็คือหล่อนยอมทิ้งความดื้อรั้นลงไปและทำให้ตัวเองอิ่มท้อง นั่นก็... สมใจเขาแล้ว
นทีก็ละสายตาจากเธอในที่สุด แล้วกลับมากินข้าวในกล่องของตัวเองต่อ บรรยากาศในห้องเงียบสงัด แต่ไม่สงบเพราะเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ยังไม่สนิท แม้จะมีเสียงช้อนพลาสติกครูดกับภาชนะชนิดเดียวกัน และเสียงเคี้ยวบ้างเป็นครั้งคราว ก็แทบไม่ได้ช่วยทำให้ผ่อนคลายลงมาก็เท่าไหร่นัก
เหมือนกับคลื่นใต้น้ำที่พื้นผิวราบเรียบนิ่งสงบ แต่กลับเป็นสัญญาณเตือนภัยถึงอันตรายที่รอวันปะทุกลายเป็นมหันตภัย ที่เพิ่มจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างไม่เลือกหน้า แค่รอเวลาเท่านั้น เวลาที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงการเดินทางของลูกคลื่นให้กลายเป็นคลื่นยักษ์
คลื่นเหนือนที... ที่จะละทิ้งทุกความสงบและกลืนทุกสิ่งลงสู้ก้นบึ้งลึก ยิ่งกว่าหุบเหวใต้ผืนนภา ดึงรั้งปีกนางฟ้าให้กลายเป็นเพียงแค่ ‘ขนนก’ ใต้น้ำที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะปลิดปลิว