บทที่ 12 แมวจับหนู

1951 Words
“เอาไปสิ” เสียงทุ้มดังขึ้น แล้วยื่นถุงยาส่งให้คนป่วยที่ยังคงนั่งตัวสั่นอยู่เบา ๆ เพราะยังไม่หายไข้ดี แม้จะได้ยาฉีดจากหมอไปแล้วก็ตาม แต่ถึงจะดูไม่ค่อยไหวนักเธอก็ยื่นมือออกมารับไปอย่างไม่อิดออด “ขอบคุณนะคะ” น้ำเสียงของอัจฉราแผ่วเบา แฝงไปด้วยความรู้สึกเกรงใจอย่างอดไม่ได้ ทั้งการอยู่ใกล้เขายังรู้สึกประหม่ามากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ “ไม่ต้อง… ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” นทีปฏิเสธคำขอบคุณของเจ้าหล่อน น้ำเสียงราบเรียบอย่างไม่ใส่ใจ แต่สายตาของเขาที่มองหญิงสาวกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย ความหงุดหงิดของเขาในตอนแรกเริ่มลดน้อยลงแล้ว นึกตำหนิตัวเองเสียด้วยซ้ำที่ปล่อยให้ความรู้สึกสั่นคลอนอารมณ์ตัวเองจนพลั้งปากพูดจาไม่ดีใส่เธอไปเสียขนาดนั้น ทั้งที่เห็นอยู่ว่าอัจฉราไม่ได้ตั้งใจโชว์เรือนร่างให้ใครต่อใครได้เห็น ริมฝีปากหยักได้รูปเผลอเม้มเข้าหากันอย่างแผ่วเบา เขารู้ว่าเขาควรจะขอโทษเธอ... แต่เขาไม่อยากทำ นทีเมินเฉยความรู้สึกผิดนั้นในใจของเขาออกไปซะ เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าทำไมต้องมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพลันนั้น ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนที่ร่างสูงจะหันให้คนตัวเล็กที่ยังคงนั่งก้มหน้า ไม่พูดไม่จาอะไรอีก “กลับ” พูดจบเจ้าของขายาวก็ก้าวสามขุมออกไปทันที ไม่หันกลับไปมองด้วยซ้ำ แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ที่ตามหลังมาอย่างทันท่วงทีอยู่ดี อัจฉราลุกพรวดออกจากเก้าอี้ แม้ยังจะสับสนอยู่กับท่าทางที่กะทันหันของร่างสูงที่นำลิ่วอยู่ข้างหน้าแค่ไหนก็ตาม แต่คำว่า ‘กลับ’ คำเดียวสั้น ๆ กลับมีน้ำหนักมหาศาลจนเธอไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ร่างเล็กเดินจ้ำอ้าวอย่างไม่หยุดพัก ถึงจะเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทันแล้วก็ตาม “คุณนที... แฮ่ก... รอด้วยค่ะ” ในที่สุดกลีบปากอิ่มก็ยอมปริปากพูดบางอย่างออกไป หล่อนหยุดเดินฉับพลัน เหนื่อยจนตามคนตัวสูงไม่ไหว ในที่สุดนทีก็ยอมหยุดลงเสียทีหลังจากที่เคยเดินไม่รอใครเลย ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ หันกลับมามองคนป่วยที่ยืนหอบตัวโยนอยู่ข้างหลังเขา พวงแก้มอิ่มแดงก่ำ ขณะที่กลีบปากแย้มออกช่วยหายใจ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความรู้สึกขัดใจในความอ่อนแอของเธอ ของผู้หญิงที่คอยเอาแต่จะวิ่งเข้าหาเขาทุกเมื่อ แต่ตอนกลับเอ่ยปากร้องขอให้เขารอเธอ นทีขบกรามแน่น ความรู้สึกผิดในตอนแรกเปลี่ยนผันกลายเป็นความรู้สึกขุ่นมัว เขากระชากลมหายใจเข้าปอดเบาแต่ลึก พยายามระงับความรู้สึกคุกรุ่นในอก แต่แล้วเมื่อเห็นว่าสายตาของหล่อนมองมาที่เขา วินาทีที่ดวงตาคู่สวยของอัจฉราสะท้อนแววตาของเขา อารมณ์ของนทีก็ขาดผึงทันที เขาไม่เคยเป็นแบบนี้... ความรู้สึกที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ดั่งใจ “สำออย...” ชายหนุ่มย่างสามขุมเข้าไปหยุดยืนประจันหน้ากับหญิงสาวทันที นัยน์ตาสีนิลจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่บัดนี้เบิกกว้าง ความตกใจและความหวาดหวั่นของเธอชัดเจนจนรู้สึกขัดใจ “เดินเองก็ยังไม่ได้แล้ว... จะเงียบปากทำไมวะ” “คุณนที... ว้าย!” อัจฉราตาโตด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะเป็นคนพูดจาแบบนั้น ปากร้ายยังพอทนแต่เขาขึ้น ‘วะ’ กับเธอ มันเป็นด้านที่อัจฉราไม่เคยเห็นจากเขามาก่อน ทว่าก่อนที่จะทันได้ตั้งตัว วงแขนแกร่งก็ช้อนร่างของเธอขึ้นอย่างง่ายดายจนลอยหวือ “คุณนที! อุ้มเนยทำไมคะ!” หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่น ร่างเล็กสั่นระริกในอ้อมอกของเขา ดวงหน้าหวานซีดเผือด ความหุนหันของชายหนุ่มทำให้คนทั้งโรงพยาบาลต้องมองมาเป็นตาเดียวกัน “อยากโวยวายให้เสียงแห้งก็ไม่ว่ากัน แต่ที่อุ้มเนี่ยเพราะเห็นว่าเป็นง่อยไง เหนื่อยจนตัวโยนขนาดนั้น” ดวงตาคู่คมกดต่ำมองเห็นความตื่นตระหนกบนหน้าของอัจฉรา แถมยังสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวกายของเธอที่แนบชิดกับเขาอีกต่างหาก “ตัวร้อนขนาดนี้ หมอมันเอาน้ำเปล่าฉีดเข้าเส้นเธอหรือไงวะ” นทีสบถออกมาอย่างนึกขัดใจ เขามองดวงสวยจัดของคนในอ้อมอกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพาเธอออกไปจากโรงพยาบาลทันที โดยไม่สนเสียงซุบซิบและสายตาของใครหน้าไหนทั้งนั้น รปภ. ที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าออกอยู่เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มเดินมาใกล้ ก็ปรี่มาเปิดประตูบริการให้อย่างไม่ช้า ทว่านทีหาได้สนใจไม่ เขาอุ้มร่างของหญิงสาวออกไปสู่ความร้อนอบอ้าวของสภาพอากาศในยามสายจัด แต่พระอาทิตย์ที่ว่าร้อนตอนนี้มันยังไม่เท่ากับความรู้สึกที่โหมอยู่ในอกของเขาเลยสักนิด เมื่อเดินมาจนถึงรถยนต์คันหรูที่จอดอยู่ในลานโล่ง ร้อนจัด มือใหญ่ข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบกุญแจรถ โดยยังคงประคองร่างของคนตัวเล็กเอาไว้ นทีแทบไม่ต้องระวังอะไรเลย เพราะตอนนี้อัจฉรากอดคอเขาแน่นเพราะกลัวตกอย่างกับลูกลิง เสียง ‘คลิก’ ดังขึ้นเขาก็เอื้อมไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารออกทันที “จะเกาะอีกนานไหม แม่คุณ?” ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงเรียบเฉยก้มมอง แต่แววตาวาววับอย่างน่ากลัวจากอารมณ์ที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจเขา ทำให้หัวใจของอัจฉราเต้นระรัว... ด้วยความกลัว กลัวจริง ๆ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “นั่งเฉย ๆ และคาดเข็มขัดให้เรียบร้อยด้วย” นทีไม่ใส่ใจเอาคำตอบ เมื่อสัมผัสได้ว่าแรงของแขนเล็กที่คล้องอยู่รอบคอคลายลงแล้ว เขาก็วางร่างที่ยังคงร้อนผ่าวลงบนเบาะทันทีอย่างไม่ออกแรงเท่าไหร่นัก จนเธอคิ้วขมวดแต่ก็ไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมา อัจฉรากลืนน้ำลายอย่างเหนียวคอ สายตามองตามร่างสูงที่เดินอ้อมรถยนต์ จนเขาเข้ามานั่งประจำที่คนขับพร้อมกับสตาร์ทเครื่องยนต์ทันที ดวงตาคู่คมตวัดมองอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเธอยังนั่งนิ่งไม่ยอมคาดเข็มขัด เขาเตรียมใจจะจัดการเอง ทว่าก่อนที่จะได้ลงมือทำอย่างที่คิด ดูเหมือนว่าคนข้างกายจะรู้ตัวเองเสียก่อน อัจฉราคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างรวดเร็ว มือบางสั่นเล็กน้อย นัยน์ตาที่ฉ่ำคลอไปด้วยพิษไข้รีบหลบสายตา หันหน้าหนีไปทางอื่นทันที กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น หัวใจยังคงเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความหวาดหวั่นที่ยังไม่เจือจาง หล่อนนั่งนิ่ง ๆ เหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต ไม่กล้าต่อปากต่อคำ “นี่ ดื่มน้ำซะ แล้วก็กินยาลดไข้เข้าไปด้วยล่ะ” นทียื่นน้ำขวดใหม่ที่ยังไม่ได้เปิดฝาขวดไปให้คนที่นั่งหันหน้าหนีเขา อัจฉราที่เคยชอบแอบมอง ทว่าตอนนี้กลับไม่คิดที่จะหันมาด้วยซ้ำ มันทำให้เขาหงุดหงิด แต่พอเห็นสีหน้าที่ซีดเผือด และอาการหนาวสั่นของเธอ เขาก็เหมือนจะได้สติกลับมาบ้างเล็กน้อย ตุ้บ เขาเปลี่ยนจากการยื่นให้เฉย ๆ เป็นการโยนลงบนตักของเธอ ส่งผลให้ร่างบางสะดุ้งเบา ๆ เธอหันกลับมามองเขาแค่แวบเดียวเท่านั้น แล้วก็หลบตาไปเหมือนเดิม แต่ดวงตาคู่คมยังคงมองอยู่ รอจนกว่าจะแน่ใจว่าเธอหยิบขวดน้ำขึ้นมาแล้ว เมื่อเห็นมือที่สั่นเทาคู่นั้นยอมเคลื่อนไปกุมรอบขวดเอาไว้แล้ว เขาถึงได้ยอมละสายตาไป นทีถอนหายใจออกมาผิดไปจากบุคลิกที่สุขุม เยือกเย็นและควบคุมได้ในยามปกติ เขาไม่พูดอะไรอีกแล้วในเมื่อเธอไม่ยอมพูดหรือว่าตอบอะไร เขาก็จะปล่อยให้ความเงียบกดดันเธอด้วยตัวของมันเองไปแบบนั้น สายตาคมกริบตวัดมองออกไปเบื้องหน้า เข้าเกียร์และบังคับพวงมาลัยออกไปจากลานจอดในที่สุด อัจฉราเหลือบตามองคนข้าง ๆ ที่ตอนนี้ไม่ได้สนใจเธออีกแล้วเพียงแค่สั้น ๆ แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเหมือนเดิม หญิงสาวกลืนน้ำลาย บีบขวดน้ำในมือแน่นขึ้นเล็กน้อยด้วยความรู้สึกกดดัน บรรยากาศในรถเงียบจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจ และมันก็ยิ่งทำให้ความคิดตีรวนวุ่นวายไปหมด พอ ๆ กับหัวใจที่ถูกความรู้สึกหลากหลายเข้าเล่นงาน หญิงสาวทั้งสับสน ทั้งกลัว และที่สำคัญคือความไม่แน่ใจ... ไม่แน่ใจอีกแล้วว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอรู้จักผู้ชายที่เฝ้าหลงรักเขาอยู่ฝ่ายเดียว อย่าง ‘นที’ ดีพอแล้วหรือยัง การกระทำและคำพูดของเขาในวันนี้มันเล่นงานเธออย่างจัง ผู้ชายที่เคยมองว่าแสนดี สุภาพ หายไปไหน คนที่อยู่พ่นคำต่อว่าร้ายกาจใส่เธอคือใคร คือนทีตัวจริงหรือเปล่า ทำไมเขาถึงได้ร้ายนักนะ หรือว่าที่ผ่านมาเขารู้อะไร... ถึงได้ร้ายใส่กันขนาดนี้ อัจฉราผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ หล่อนไม่ยอมดื่มน้ำ หรือว่ากินยาลดไข้เลยสักอย่าง ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัวว่าตัวเองไข้ขึ้นสูงอีกแล้ว การไปหาหมอไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก พอฤทธิ์ยาหมดก็กลับมาเป็นใหม่ ทว่าการจะฝืนตัวเองให้เคลื่อนไหวในพื้นที่คับแคบแห่งนี้ ทำให้เธอรู้ไม่สบายใจเลยสักนิด เหมือนทำอะไรก็ถูกจับจ้องไปหมด ทุกอย่างมันติดขัดไปหมด นทีเปลี่ยนความชื่นชมของเธอไปแทบไม่มีหลงเหลือ เขาทำให้มันมีตำหนิและมองเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ส่วนนทีเองนั้น เขาก็ไม่สนใจอัจฉราอีกแล้วเช่นกัน ไม่บังคับให้เธอดื่มน้ำหรือว่ากินยา ในเมื่อเธอเลือกที่จะทรมานตัวเองเขาก็คงทำอะไรไม่ได้ อีกอย่างเขาไม่อยากจะเสียความควบคุมที่ตอนนี้เหลือน้อยเต็มที เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้แสดงอาการออกไปขนาดนั้น ตอนแรกก็แค่คิดว่าเพราะรำคาญ แต่เหมือนว่ามันจะไม่ใช่อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว เขาใช้ความเงียบตกตะกอนความรู้สึกของตัวเอง มันไม่ใช่ความรู้สึกดี ๆ หรือว่าความหวั่นไหวพอที่จะเรียกว่าชอบได้ แต่มันคือความสนใจ... สนใจมากแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนราชสีห์ที่เห็นหนูอยู่ตรงหน้า สิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ที่ไม่น่าสนใจ ไม่มีอะไรดี แถมยังน่ารำคาญด้วยซ้ำไป แต่พอเห็นว่ามันเหมือนจะละทิ้งความสนใจไป เพราะคิดว่าตัวเองไม่คู่ควร ยิ่งเห็นความอ่อนแอ ยิ่งเห็นว่าพยายามตีตัวออกห่าง ทั้งที่เคยสนใจยิ่งกว่าสิ่งใด มันทำให้นทีรู้สึกเหมือนโดนดูถูก เขาต้องการให้อัจฉรามองเขาเหมือนที่เคยเป็น ไล่ตามเขาเหมือนที่เคยทำ ยิ่งกว่านั้นคือเขาอยากตะปบหล่อนเอาไว้ใต้อุ้งมือ... กดและเล่นกับหนูตัวเล็ก ๆ ที่กล้าคิดจะหันหลังให้เขาอย่างหนำใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD