สภาพการจราจรที่ไม่คล่องตัวนักทำให้นทีกำพวงมาลัยรถแน่นขึ้นจนข้อนิ้วขาวซีด สีหน้ายังคงเรียบเฉย แต่สายตาคอยชำเลืองมองคนข้าง ๆ ตลอด อัจฉรายังคงนอนซมไม่ได้สติ เธอเป็นลมไปนานเกินไปจนน่าเป็นห่วง นทีถอนหายใจออกอย่างหนัก เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไปอังหน้าผากของเธออีกครั้ง ก่อนจะพบว่ามันยังไม่คลายร้อนลงเลย
เขาสังเกตเห็นเม็ดเหงื่อที่ซึมออกตามไรผมของเธอ ปลายนิ้วเรียวก็เกลี่ยเส้นผมบางส่วนที่ลงมาปกคลุมใบหน้าของเธอออกไปเบา ๆ แล้วชักมือกลับมาประคองพวงมาลัยรถเหมือนเดิม เมื่อเห็นว่าสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว เขาก็ไม่รอช้าที่จะเหยียบคันเร่งออกไปด้วยความเร็วที่ค่อนข้างสูงทันที
หลังจากผ่านไปไม่กี่นาทีโครงสร้างของโรงพยาบาลใหญ่ใกล้ที่สุดเท่าที่จะหาได้ก็ปรากฏให้เห็น ทว่าในจังหวะที่เขาตีไฟเลี้ยว ร่างของคนที่เอาแต่นอนซมเมื่อครู่ก็ขยับเล็กน้อยคล้ายจะรู้สึกตัว และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เปลือกตาของอัจฉราเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า พร้อมกับความรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะและปวดไปทั้งตัว
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ...” เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่อสังเกตเห็นเปลือกตาที่กระพือเปิดขึ้นมา น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและราบเรียบ แต่ก็ไม่ได้ไร้อารมณ์ไปเสียทีเดียว สายตาคู่คมชำเลืองมองเธออีกครั้งเพียงแค่เสี้ยววินาที ก่อนที่เขาจะขับรถยนต์ให้เข้าไปในโรงพยาบาล ก่อนจะหยุดลงหน้าประตูทางเข้า
เขาปลดเข็มขัดนิรภัยออกและเปิดประตูลงไปทันที โดยที่ไม่สนว่าอัจฉราจะยังตกอยู่ในอาการมึนงงจนยังไม่ทันจะตอบคำถามของเขาก็ตาม คนช่วงขายาวก้าวสามขุมอ้อมมาหยุดอยู่ข้างประตูฝั่งผู้โดยสาร ขณะที่มือข้างหนึ่งของเขาเปิดประตูออก ข้างหนึ่งก็ชูขึ้นส่งสัญญาณขอวีลแชร์จากเจ้าหน้าที่เวรเปลไปด้วย
“คุณนที...” ดวงตาคู่สวยที่ตอนนี้ดูอิดโรยและฉ่ำน้ำเนื่องจากพิษไข้ฉายแววไหววูบ เธอสบตากับคนตัวโตที่เปิดประตูรออยู่ กลืนน้ำลายเบา ๆ อย่างฝืดคอ ก่อนที่สายตาจะกวาดมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสนระคนไม่สบายใจที่เริ่มเกิดขึ้น
ทว่าก่อนที่จะได้ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างบางก็ถูกมือใหญ่ดึงรั้งออกมาจากรถยนต์อย่างไม่ค่อยเบามือเท่าไหร่นัก จนเจ้าของร่างตาโตด้วยความตกใจ นทีไม่สนใจปฏิกิริยานั้นของอัจฉรา เขาเพียงแค่ดันเธอให้นั่งลงวีลแชร์ที่จอดรออยู่ แล้วปิดประตูรถลงเสียงดังปัง ดวงตาคู่คมตวัดมามองหญิงสาวที่ยังคงทำหน้าตาตื่นด้วยสายตาเรียบ ๆ
“ตัวร้อนจนแทบจะไหม้อยู่แล้ว ไม่รู้ตัวเองเลยหรือไง ถึงได้ปล่อยให้ตัวเองเป็นลมไปแบบนั้น” นทีพูดจบเขาก็เข้าไปกระชับเสื้อสูทที่อยู่บนร่างของอัจฉราให้เข้าที่ ก่อนจะถอยออกมาและพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่เวรเปล โดยที่สายตาไม่ละไปจากอัจฉราเลย
“พาเข้าไปก่อนเลยครับ...” พูดจบเขาก็เดินอ้อมรถยนต์กลับเข้าไปนั่งฝั่งคนขับอีกครั้ง ปล่อยให้อัจฉราตกอยู่ในความสับสน และขับออกไปทันที
รถยนต์คันหรูสีดำเงาวับเคลื่อนตัวออกไปจากลานจอด ยังไม่ทันพ้นสายตาดีด้วยซ้ำ อัจฉราก็ถูกเข็นเข้าไปในโรงพยาบาลเสียก่อน ความสับสนเมื่อครู่ค่อย ๆ บรรเทาลง แต่ความรู้สึกเจ็บป่วยยังคงอยู่ หญิงสาวกระชับแจ็กเกตสูทสีน้ำเงินเข้มเล็กน้อย เมื่อสัมผัสกับความเย็นภายในตัวอาคาร
ความหรูหราทำให้เธออดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ พลันหัวใจก็เต้นระรัวด้วยความหนักใจที่เข้ามาแทนที่ โรงพยาบาลแห่งนี้คือโรงพยาบาลเอกชน อัจฉรารู้ได้ในทันที ไม่ว่าจะเป็นความใหญ่โต บริการของเจ้าหน้าที่ อัจฉรากลืนน้ำลาย ลำคอรู้สึกแห้งผากขึ้นมากะทันหัน เธอไม่เคยกลัวความสบาย... จนกระทั่งตอนนี้
“เอ่อ... พี่คะ... ไม่ต้องใช้เข็นแล้วก็ได้ค่ะ” อัจฉราเอ่ยออกมา น้ำเสียงคลุมเครือเล็กน้อยด้วยความไม่สบาย ความกะทันหันทำให้เจ้าหน้าที่เวรเปลหยุดลง พอดีกับที่เข็นมาถึงพื้นที่รับรองพอดี เขามองหญิงสาวด้วยสายตาที่ไม่เล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าเบา ๆ และเดินจากไปทันที
อัจฉรามองภาพนั้นเงียบ ๆ กลีบปากอิ่มเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนที่หล่อนจะฝืนพยุงตัวเองให้ลุกออกจากสิ่งอำนวยความสะดวกนี้ ทว่ายังไม่ทันจะลุกไปไหนได้พ้น เธอก็สัมผัสได้ถึงแรงกดบนไหล่ข้างหนึ่ง แรงที่เพียงพอจะทำให้คนที่ยังเป็นไข้สูงสามารถนั่งลงได้ง่าย ๆ อย่างจำนน เมื่อแหงนหน้ามอง นัยน์สียางไม้ก็ถึงกับวูบไหว
“อย่าฝืน... นั่งเฉย ๆ ไม่ตายหรอก” นทีพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่คำพูดของเขาทำให้เธอจุกได้ไม่ยาก เขาไม่สนท่าทางที่ชะงักงันไปของอัจฉรา หรือสายตาที่มองมาด้วยความตกใจและหวาดหวั่นคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย รอจนเธอหลบตาไปเอง เขาถึงเข็นวีลแชร์ที่เธอนั่งอยู่ไปด้วยตัวเอง
เขารู้ว่าอัจฉราคงจะตกใจกับคำพูดของเขา แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่ต้องห่วงไม่ใช่ความรู้สึกของเธอ แต่เป็นสุขภาพที่เหมือนกับคนใกล้ตายของเธอนั่นต่างหาก นทีเข็นเธอไปยังเคาน์เตอร์รับบริการคัดกรองผู้ป่วยที่มีพยาบาลประจำการอยู่แล้ว เมื่ออีกฝ่ายเห็นอัจฉราก็ออกมารับช่วงต่อทันที
นทีถอยหลังไปสองถึงสามก้าวให้พยาบาลได้ทำงานสะดวกแต่ยังคงคอยประกบไม่ห่าง เขาปลดกระดุมข้อมือของแขนเสื้อออกสองข้าง ก่อนจะร่นขึ้นไปจนถึงข้อศอกเผยให้เห็นท่อนแขนแกร่ง แล้วยกแขนกอดอกเฝ้ามองอัจฉราที่ตอบคำถามกับพยาบาลสาวคนหนึ่งเงียบ ๆ ไม่ได้เข้าไปขัดหรือแทรก แต่คิ้วเริ่มขมวดมุ่นเรื่อย ๆ หลังจากที่ได้ฟังคำตอบจากปากคนป่วย
“BP ต่ำกว่าปกติ ไข้ก็สูงมาก... น่าเป็นห่วงนะคะ ดีที่ไม่ชักไปเสียก่อน” ประโยคแรกพยาบาลสาวพูดกับอัจฉรา สายตาอ่านค่าบนปรอทวัดไข้ ประโยคสุดท้ายเธอหันไปบอกกับนที ชายหนุ่มที่ได้ยินแบบนั้นสายตาที่ปกติราบเรียบอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งนิ่งจนน่ากลัวกว่าเดิม คิ้วที่เคยขมวดแน่นคลายออกอย่างไร้ร่องรอย
“ญาติคนไข้ใช่ไหมคะ?”
“เปล่าครับ... ผมเป็นเจ้านายเธอ”
คำพูดที่ตอบกลับ การเว้นช่วงเล็กน้อยของนที ทำให้อัจฉรารู้สึกจุกในอกได้อย่างง่ายดาย แม้จะเป็นคำตอบที่ไม่น่าคาดหวังอะไรตั้งแต่แรกก็ตาม เธอเผลอหันไปมองเขา ก่อนจะพบเข้ากับสายตาคู่คมกริบที่มองอยู่แล้ว แรงกดดันที่แผ่ออกมาจนรู้สึกได้ทำให้ความรู้สึกแรกของอัจฉราเปลี่ยนไปทันที หล่อนตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ รีบหลบสายตานั้นและก้มหน้างุดทันที
“เจ้านายเหรอคะ... เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพาคนไข้พบแพทย์ได้เลยนะคะ” พยาบาลสาวชะงักไปเล็กน้อย แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพที่ไม่ได้กำหนดให้มาสงสัยอะไร ยิ้มให้และผายมือไปทางห้องตรวจอย่างสุภาพ
นทีพยักหน้า รอยยิ้มแตะริมฝีปากหยักได้รูปบาง ๆ เขาเดินเข้ามายืนข้างหลังของอัจฉรา ดวงตาคู่คมกดต่ำมองเธอที่เอาแต่ก้มหน้าด้วยความรู้สึกที่เขาไม่เข้าใจเช่นกัน ก่อนจะเข็นวีลแชร์พาเธอตรงไปยังห้องตรวจทันทีโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ราวกับว่าจงใจใช้ความเงียบให้ก่อเกิดความอึดอัดระหว่างเขาและเธอเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องมีใครที่ทนไม่ไหวไปเอง... ซึ่งคนนั้นต้องไม่ใช่เขา
“คุณนที...” อัจฉรานั่นเองที่ทนต่อความเงียบไม่ไหว เธอปริปากพูดออกมาในที่สุด สายตาที่เคยก้มต่ำช้อนขึ้น ขณะที่แหงนมองเขาเล็กน้อย กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนจะคลายพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้นทีหยุดเดินทันที
“ไม่หาหมอได้ไหมคะ...”
คิ้วหนาเลิกขึ้นข้างหนึ่ง สายตาของเขากดลงมองคนดวงตาคู่สวยที่กระตุกไหวของอัจฉราในยามที่เธอเอ่ยปากขอ นทีไม่ได้ตอบในทันที แต่เขาจ้องมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาสียางไม้คู่นั้น ราวกับว่าจะค้นหาทุกความคิดของเธอให้หมด เขาตรึงสายตาเอาไว้แบบนั้นไม่ให้เธอหันหนีไปได้ ก่อนจะถามกลับไปในที่สุด
“ทำไม... มีปัญหาอะไรกับการหาหมอหรือไง”
“เปล่าค่ะ...” อัจฉราตอบกลับไปเสียงแผ่ว ก้มหน้าลงอีกครั้งไม่กล้าสบตา รู้สึกอายที่จะต้องพูดความจริง
“มันน่าจะแพง... เนยไม่มีประกันเลยด้วย”
“แพง? ไม่มีประกัน?” นทีทวนคำตอบของอัจฉราออกมา มุมปากของเขากระตุกเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นเธอหลบตาไปอีกแล้ว แต่แววตากลับมีประกายความสงสัยบางอย่าง... คราวนี้เขาอยากรู้ว่ามันเกี่ยวกันไหม กับข้ออ้างเดียวกันที่ทำให้เธออ้างว่ารถเมล์หมด ไปเดินตากฝนดึก ๆ จนกลายเป็นไข้แบบนี้หรือเปล่า
“แล้วไม่มีเงินเก็บบ้างเลยหรือไง... หรืองานที่ทำอยู่เงินเดือนมันน้อยไป?”
นทีจงใจเน้นคำว่า ‘งาน’ อย่างชัดถ้อยชัดคำ เขารอคอยปฏิกิริยาของอัจฉราอยู่ ซึ่งเธอก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างในตอนที่เธอเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง แต่นทีไม่คิดที่จะปิดบังรอยยิ้มที่ยังค้างคาอยู่บนใบหน้าของเขาในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย
“ไม่ใช่นะคะ! เงินเดือนไม่น้อยเลยค่ะ” อัจฉรารีบแก้ต่างให้กับข้อกล่าวหาที่ไม่คาดคิด รีบยกไม้ยกมือปฏิเสธจนทำให้แจ็กเกตสูทที่คลุมอยู่บนบ่าหลุดออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ดวงตาของนทีหรี่ลงทันที รอยยิ้มมุมปากหายวับไปอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาตวัดมองไปยังคนอื่น ๆ โดยสัญชาตญาณ ก่อนจะรีบยื่นมือไปคว้าเสื้อตัวนั้นที่ตอนนี้กองอยู่กับพื้นมาโยนใส่คนร่างบางทันที แววตาของเขาตอนนี้ไม่มีประกายแบบเมื่อครู่อีกแล้ว แต่กลับแฝงไปด้วยแววกดดันที่ทำให้รู้สึกขนลุก
“คลุมเอาไว้ ถ้าไม่อยากให้คนอื่นมันมอง...” ดวงตาคู่คมมองอย่างกดดัน แต่อัจฉรากลับนิ่งด้วยความลังเลไม่ได้ตั้งใจ จนเขาพลั้งปากพูดประโยคที่แม้แต่ตัวเองยังไม่คาดคิดออกไปใส่เธอ
“หรืออยากจะโชว์ก็ไม่ว่ากัน... ถ้าไม่ห่วงว่าตัวเองจะหนาวตายก็เรื่องของเธอ”
อัจฉราอ้าปากค้างกับคำพูดอันแสนร้ายกาจ ซึ่งเป็นคำพูดแบบที่เธอไม่เคยเห็นเขาเคยพูดกับใครมาก่อน น้ำเสียงที่นิ่งขรึม แต่แฝงไปด้วยความดุดันนั้นทำให้อัจฉราใจฝ่อ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องพูดกับเธอแบบนี้ ตอนแรกก็พยายามที่จะไม่เก็บมาคิด แต่พอมันเริ่มบ่อยเข้าเธอก็ไม่คิดไม่ได้อีก
กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น หล่อนหลุบตาลงอีกครั้ง ก่อนจะทำตามคำสั่งด้วยการหยิบเสื้อตัวเดียวกันที่ตอนนี้กองอยู่บนตักขึ้นมาคลุมเอาไว้แต่ไม่กล้าสวม
นทีมองภาพนั้นเงียบ ๆ แต่ลึก ๆ เขากลับรู้สึกขัดใจอย่างบอกไม่ถูกที่เลือกที่จะทำตามคำสั่งของเขาซื่อ ๆ แทนที่จะคิดเอาเองว่าควรจะสวมมันจะได้ไม่หลุดเมื่อเผลอขยับตัว
“ฉลาดน้อยแบบนี้ถึงไปไหนไม่พ้นสักทีไง...” นทีพึมพำออกมากับตัวเอง อย่างไม่สบอารมณ์ เขาใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มเบา ๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เข็นวีลแชร์ที่เธอนั่งอยู่ด้วยความรวดเร็ว ไม่รอคอยพาเข้าไปในห้องตรวจที่เปิดประตูอ้ารออยู่แล้ว โดยไม่รอฟังเหตุผล ข้ออ้างใด ๆ ของอัจฉราอีกต่อไปแล้ว ไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดสุดท้ายให้ไปกระตุกใจคนป่วยอย่างร้ายกาจ
“ไม่มีเงินก็พูดมาตรง ๆ ไม่ต้องมาอ้าง... เดี๋ยวจ่ายให้เอง... คราวหน้าจะได้ไม่ต้องมาเป็นลมให้ฉันหามเล่นอีก”