เสียงเครื่องยนต์ดับลง รถยนต์คันหรูจอดนิ่งอยู่ในช่องจอดประจำของผู้บริหารระดับสูง เบื้องหน้าอาคารสำนักงานใหญ่โตของ L&T Law ดวงตาของอัจฉราเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความตกตะลึง กำลังจะหันไปถามคนข้าง ๆ ว่าทำไมถึงพาเธอมาที่นี่ ทว่าเขากลับลงจากรถไปเสียแล้ว
“ลงมา”
เจ้าของเสียงทุ้มออกคำสั่งห้วน ๆ เจือความคุกรุ่นที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นผิว ขณะที่ดวงตาคู่คมจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ราวกับจะท้าทายเขาอย่างไรอย่างนั้น
“บอกให้ลงมา”
นทีย้ำอีกรอบ น้ำเสียงกดต่ำลงกว่าเดิม เขาตัดสินใจแล้วว่าถ้าเธอยังไม่ยอมทำตามอีก เขาจะไปกระชากเธอลงมาด้วยตัวเอง อาจเป็นความคิดที่ดูรุนแรง แต่เขามั่นใจแน่ว่าจะทำหากเธอยังทำเป็นนิ่งใส่อยู่แบบนั้น เขาจ้องเธอเขม็งรอคอยให้หล่อนดื้อเงียบใส่อีกครั้ง
“รู้แล้วค่ะ... กำลังจะลง...”
อัจฉราตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ห้วนสั้นกว่าที่ตั้งใจและกว่าที่เธอจะทันได้คิด หญิงสาวไม่รอให้ชายหนุ่มได้มีโอกาสทำอย่างที่คิด ก็ปลดเข็มขัดนิรภัยและเปิดประตูรถลงไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ยังคงหิ้วถุงยาติดมือมาด้วย พร้อมปิดประตูลงอย่างไม่เบามือนัก
นทีกัดกรามแน่น เขามองว่าการกระทำของอัจฉราคือความท้าทายรูปแบบหนึ่ง และมันยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของเขาให้เดือดยิ่งขึ้น เขาไม่ชอบให้ใครมาทำตัวไม่เคารพกันแบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อมันมาจากคนที่เคยก้มหัวให้เขามาตลอดแบบเธอ
“ดื้อด้าน”
เสียงทุ้มสบถออกมาเบา ๆ เขาปิดประตูรถตัวเองลงอย่างแรงเช่นกัน จนหญิงสาวสะดุ้ง เขากำลังสะท้อนการกระทำของหล่อนก่อนหน้านี้ออกมาในแบบที่รุนแรงยิ่งกว่า อัจฉรากำลังทำให้เขาเสียการควบคุมไปเรื่อย ๆ ความดื้อรั้นของเธอมันหยามใจนัก
ดวงตาคู่คมดุตวัดมองเธออย่างคาดโทษ ถ้าไม่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังป่วยอยู่ เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทำอะไรลงไป ก่อนที่จะขาดสติไปมากกว่านี้ นทีก็ก้าวสามขุมอ้อมรถเข้าไปกระชากข้อมือของอัจฉรา แล้วบังคับให้คนร่างเล็กกว่าต้องเดินตามเขามาอย่างไม่ทันขืน
“คุณนที! ทำอะไร?! ปล่อยเนยนะ!”
เสียงแหวของเธอไม่ได้ทำให้นทีเย็นลงเลยแม้แต่น้อย เขากำลังเดือดกับเธอแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็ในเมื่อเขาเห็นเธอเป็นเหยื่อแล้ว ‘เหยื่อ’ อย่างเธอไม่มีสิทธิ์มาทำตัวจองหองใส่เขา
“เงียบ!”
เสียงคำสั่งนั้นไม่ทันหายก็มีเสียงหนึ่งกล่าวทัก แต่นทีก็ไม่สนใจ สายตาของเขายังคงฉายแววกราดเกรี้ยวภายใต้สีหน้าที่นิ่งเฉย
“คุณนทีสวัสดีครับ!”
น้ำเสียงกดต่ำสะท้อนความเกรี้ยวกราดนั้นทำให้หัวใจของอัจฉรากระตุกวูบ เธอสะดุ้งและหุบปากทันทีอย่างไม่กล้าต่อกร ปล่อยให้คนตัวใหญ่กว่าจูงผ่านหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยังไม่ทันตะเบ๊ะ ก็ต้องรับไปเปิดประตูให้กับผู้เป็นเจ้านายของคนทั้งตึกอย่างรวดเร็ว
นทีรับรู้ได้ถึงแรงต้านที่อ่อนลงของลูกไก่ในกำมือ ทว่าเขากลับไม่คิดที่จะออมแรงเลยแม้แต่น้อย มือใหญ่พันรอบข้อมือเล็กแน่นขึ้น แต่ไม่ขนาดทำให้เธอเจ็บ แค่ต้องการที่จะไม่ให้เธอหลุดมือไปเท่านั้น เขาหยุดอยู่หน้าลิฟต์ที่เปิดออกพอดี ไม่สนใจสายตาของพนักงานที่พึ่งเดินออกมา เพียงแค่ปรายตามองนิ่ง ๆ จนอีกฝ่ายต้องรีบหลบไปเอง
พาอัจฉราเข้าไปในลิฟต์ก่อนจะกดเลขชั้นสูงสุด ประตูเหล็กทึบปิดลงตรงหน้าของคนทั้งสอง ในที่สุดนทีก็ยอมปล่อยข้อมือของเธอออก ฉับพลันราวกับว่าเนื้อหนังของเธอเป็นของร้อนที่ไม่อยากสัมผัสต่อไป
ทันทีที่เขาปล่อยมือ ก็รีบถอยไปพิงกับผนังอีกด้านหนึ่งของตัวลิฟต์ ดวงตาคู่สวยสั่นระริก ขณะที่จ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่ม ความรู้สึกกลัวมันชัดเจนมากขึ้น และสายตาที่อัจฉราใช้มองนทีก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วจริง ๆ ไม่เหลือความชื่นชมอีกแล้วแม้แต่น้อย
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาแผลงฤทธิ์ใส่...”
ชายหนุ่มเอ่ยปากทำลายความเงียบลงในที่สุด แต่มันไม่ได้ช่วยให้ความตึงเครียดคลายลงได้เลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงของเขาเย็นเฉียบจับขั้วหัวใจ พร้อมกับสายตาคมดุตวัดไปมองเจ้าของร่างเล็กที่ยืนตัวลีบอย่างเห็นได้ชัด และสะดุ้งเมื่อเขาหันไปมอง
“แต่เนยไม่ได้ทำแบบที่คุณนทีพูด...”
อัจฉราเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา และสั่นเล็กน้อย เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน... ความรู้สึกที่อยากจะถอยออกไปให้ห่างจากผู้ชายคนนี้ เขาทำให้เธอมั่นใจแล้วว่าภาพลักษณ์อันแสนดีที่เธอเห็นมาตลอด... เป็นของปลอมทั้งนั้น
“กล้าพูดจังเลยนะ... แล้วที่ไม่ยอมกินยาตามที่ฉันสั่ง แล้วก็ปิดประตูรถเสียงดังใส่กันคืออะไร?”
คิ้วหนาเลิกขึ้น รอยยิ้มหยันปรากฏให้เห็น เขาหันไปเผชิญกับเธอเต็มตัว ร่างสูงบดบังแสงไฟกลายเป็นเงาทาบทับร่างเล็กของอีกฝ่าย จนกลายเป็นเงาทมิฬที่ข่มขวัญหล่อนได้ไม่น้อยเลย
“เนย... เรื่องนั้นเนยไม่ได้ตั้งใจ”
หัวใจของอัจฉรากระตุกวูบ คำตอบของเธอเปรียบเสมือนการแก้ตัวในหูของนที หญิงสาวเม้มปากเบา ๆ พลางกลืนน้ำลายด้วยความเหนียวคอ ก่อนที่จะตัดสินใจเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายในที่สุด แววตาของหล่อนฉายความรู้สึกที่ผสมผสานหลากหลายจนแทบแยกไม่ออก แต่ที่แน่ ๆ มีแววท้าทายซ่อนอยู่ในนั้น
“แล้วคุณนทีล่ะ... ทำไมต้องทำอะไรแบบนั้นด้วย... เนยน่ารำคาญขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
ดวงตาคู่คมหรี่ลงเมื่อสิ้นคำถามของหญิงสาว เขามองเข้าไปในดวงตาสียางไม้ที่ฉายแววหวาดหวั่นนั่น แต่ก็เห็นความท้าทายเช่นกัน รอยยิ้มของนทีขยายกว้างขึ้น แต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่น่าพึงพอใจเลยแม้แต่น้อย... ดูเหมือนลูกนกจะรู้จักวิธีกางปีกแล้วสินะ
“ใช่”
คำตอบสั้น ๆ นั้นทำให้ดวงตาคู่สวยที่แต่เดิมสั่นไหวกระตุกวูบ นิ่งชะงักงันไปชั่วขณะ แต่แค่นี้ยังไม่พอใจ ร่างสูงใหญ่ขยับเข้าไปใกล้เธอช้า ๆ ราวกับแมวที่กำลังตะครุบเหยื่อ สายตาของเขาจับจ้องเธอไม่วางตา ก่อนจะใช้มือดันกำแพง กักเธอเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง โน้มใบหน้าลงไปใกล้จนปลายจมูกแทบจะสัมผัสกัน แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนเป้าหมายไปกระซิบข้างหูของเธอแทน
“เธอมันน่ารำคาญเนย... น่ารำคาญมาตลอด... วิธีที่เธอมองฉัน... วิธีที่เธอหน้าแดงตอนที่ฉันเผลอทำดีด้วย... มันน่ารำคาญจนอยากจะกำจัดเธอไปให้พ้นด้วยซ้ำ”
ลมหายใจอุ่นคลอเคลียใบหูของอัจฉรา ส่งผลให้ขนลุกซู่ทั้งตัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ หล่อนยืนตัวแข็งทื่อ เผลอกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่คำพูดของเขายังไม่หยุดสร้างบาดแผลสดใหม่ให้ใจของเธอ นทีที่เห็นแบบนั้นก็ยิ่งได้ใจ เขาโน้มใบหน้าลงอีกเล็กน้อยจนริมฝีปากเฉียดใบหูของเธอเล็กน้อย
“แต่รู้อะไรไหม ว่าอะไรที่ทำให้ฉันรำคาญที่สุด... เธอไง... การมีอยู่ของเธอ... มันทำให้ฉันรำคาญใจจนแทบบ้า...”
นทีกลืนน้ำลายเบา ๆ กลิ่นน้ำหอมจากกายหล่อนทำให้เขาเผลอสูดหายใจเข้าลึก นัยน์ตาสีนิลที่เคยฉายแววกราดเกรี้ยวเมื่อครู่ ตอนนี้ผสมความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้มันวาวโรจน์ขึ้นมา ดวงตาคู่คมตวัดมองเสี้ยวหน้าที่ซีดเผือดของหญิงสาว ดวงตาที่สั่นไหว ริมฝีปากอิ่มที่เม้มเข้าหากัน... มันทำให้นึกอยากทำตามใจตัวเอง
‘ติ้ง’ ทว่าประตูลิฟต์ก็เปิดออกเสียก่อน นทีกระตุกยิ้มมุมปากเบา ๆ แน่ใจแล้วว่าข่มขวัญอัจฉราได้สำเร็จ เมื่อเห็นว่าเธอเงียบและไม่ตอบโต้อีกต่อไปแล้ว เขาดันตัวเองขึ้นจนกลับมายืนสูงสง่าเหนือเธออีกครั้ง ดวงตาคู่คมจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาสียางไม้ที่ฉายแววเจ็บปวดของเธอ
“ตามมา”
สิ้นคำสั่งคนร่างสูงก็เดินนำออกไปจากลิฟต์ทันที เขาไม่เหลียวกลับไปมองคนที่พึ่งถูกคำพูดทำร้ายหัวใจไปหมาด ๆ ปล่อยให้เธอซึมซับมันไปอย่างเต็มที่ แค่อย่าหลบไปเลียแผลใจตัวเองก็พอ และนทีก็มั่นใจว่าหล่อนจะไม่ทำ... ผู้หญิงแบบอัจฉราเจ็บไม่ใช่ประเภทที่จะเจ็บแล้วจำ
ถ้าจำ... เธอคงไม่วนเวียนอยู่รอบตัวเขามานานหลายปีขนาดนี้ ทั้งที่ตัวเธอเองมีความสามารถพอที่จะไปสยายปีกเป็นหงส์ที่ไหนก็ได้แท้ ๆ
อัจฉรายืนนิ่งงัน จุกไปหมดแล้ว... หัวใจของเธอเหมือนถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้น ๆ กับคำตอบที่แสนจะร้ายกาจนั่น ที่เธอเป็นคนถามหามันเอง แต่เหมือนจะรับความจริงได้ไม่ดีเอาเสียเลย กระบอกตามันร้อนผ่าว ดวงตาเริ่มฉ่ำน้ำ
ในขณะที่เธอมองตามร่างสูงไป ความรู้สึกเหมือนมองใครที่ไม่ใช่คนที่ตัวเองรู้จักก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นทุกที อัจฉราสูดหายใจเข้า แหงนหน้าขึ้นฟ้าห้ามน้ำตาตัวเอง ก่อนที่จะก้าวเดินออกไปจากลิฟต์ ทุกก้าวที่ตามเขาหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็น
โชคดีที่บริเวณโดยรอบไม่มีใครอยู่เห็น... ความอัปยศของเธอ
นทีหยุดลงหน้าห้องทำงานส่วนตัวของเขา ความเงียบสงัดทำให้ยกข้อมือที่สวมนาฬิกาเรือนหรูขึ้นมาดูเวลา คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยเมื่อพบว่าตอนนี้เพิ่งจะเที่ยงวันกว่า ๆ เท่านั้น มือใหญ่สอดเข้าไปพักในกระเป๋ากางเกงผ้าเนื้อดี คอยฟังเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาที่เดินตามหลังมา
ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูออกมา กดไม่กี่ครั้งและเอาแนบหู รอสายเพียงไม่กี่อึดใจสัญญาณก็ตอบรับ
“เลขาภีม... ช่วยซื้อข้าวมาให้ผมหน่อย... อะไรก็ได้... เอามาสองชุด... เร็วหน่อยก็ดี”
เสียงทุ้มนุ่มลงกว่าตอนที่ใช้กับหญิงสาวชัดเจน หลังจากสั่งการเสร็จแล้ว เขาก็เปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวอันโอ่อ่าของตัวเอง ที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเข้มครบครัน เหมาะสมทุกมุม
เขาไม่ได้เรียกให้อัจฉราตามเข้ามา แต่เปิดประตูอ้าเอาไว้... รอให้หนูน้อยวิ่งเข้ามาในถ้ำด้วยขาของตัวเอง และเมื่อถึงเวลานั้นนทีจะทำให้หล่อนรู้ว่า ถ้ำของเขา พื้นที่ส่วนตัวที่เขาหวงนักหวงหนา ถ้าได้เข้ามาแล้วจะไม่สามารถหาออกได้ง่าย ๆ
เพราะเขาไม่ใช่ประเภทที่จะปล่อยเหยื่อออกจากถ้ำง่าย ๆ ถ้าเขาง่าย... คงไม่มีชื่อของ ‘นที เลิศธารินทร์’ เป็นหนึ่งในทนายฝีมือดีที่แม้แต่ฝั่งตรงข้ามยังไม่อยากเจอเขาหน้าบังลังก์