ท่ามกลางสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย แม้จะไม่ได้หนักมากเทียบเท่าความแรงของพายุ แต่ก็มากพอที่จะทำให้คนป่วยสะท้านได้ง่าย ๆ ร่างเล็กที่สวมเสื้อตัวบาง นั่งกอดตัวเองคลายหนาว เมื่อลมพัดผ่าน ขณะที่ยังคงชะเง้อคอมองรถเมล์สายประจำ
ทว่าการแสดงออกของหล่อนแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเหยื่อตัวน้อย เปราะบาง เหมาะสมที่จะถูกเหล่านักล่าโจมตีให้จมเขี้ยว
“อ้าว! เฮียก็นึกว่าใคร! น้องเนยนี่เอง!”
น้ำเสียงทุ้มห้าวดังขึ้น พร้อมกันเสียงกลั้วหัวเราะและเสียวเครื่องยนต์ที่เพิ่งจะจอดเลียบฟุตบาท ร่างสูงโปร่ง ผิวหนังเต็มไปด้วยรอยสักไม่เป็นระเบียบปรากฏตัวขึ้น หลังจากที่ประตูรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นสีขาวเปิดออก นัยน์ตาส่อแววขี้เล่นและหยาบโลนมองมาทำเอาอัจฉราหน้าถอดสีอย่างช่วยไม่ได้
“เฮียโจ้...”
“โอ้โห ดีใจว่ะ... ยังจำเฮียได้ซะด้วย! ว่าแต่มาทำอะไรดึก ๆ แบบนี้คะ?”
เฮียโจ้ คลี่ยิ้มอย่างเบิกบานเมื่อได้ยินชื่อของเขาออกมาจากริมฝีปากอิ่มด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แววตาก็เป็นประกายวาววับขึ้นมา ก่อนที่เขาจะถือวิสาสะเดินไปนั่งข้างเธออย่างแนบชิด พลันกวาดแขนข้างหนึ่งออกไปโอบไหล่เข้ามาหาตัวเอง ก่อนที่เธอจะขยับหนีได้ทัน
อัจฉราสะดุ้งโหยงจากสัมผัสที่ไม่ต้อนรับ หัวใจดวงน้อยหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม แววตาฉ่ำไข้วูบไหว นั่งตัวเกร็งอยู่ในอ้อมแขนเล็ก ๆ ที่แทบจะหนังหุ้มกระดูกของอีกฝ่าย แต่แรงของเขากลับมากพอที่จะรั้งเธอเอาไว้ไม่ให้ขยับหนีไปไหนได้ ต้องทนอยู่กับความหวาดหวั่นระคนรังเกียจที่ทำอะไรไม่ได้
เพราะถ้าหากก้าวผิดไป... คนที่ซวยก็คือเธอ
“หนูเพิ่งเลิกงานค่ะ”
อัจฉราตอบกลับเสียงแผ่วแทบจะไม่ดังไปกว่าเสียงของสายฝนที่ยังเทลงมากระทบกับหลังคาป้ายรอรถเมล์ เสียงหวานสั่นเล็กน้อยด้วยความไม่สบายใจ ทว่ากลับยิ่งทำให้เฮียโจ้ได้ใจ เพราะเขาคิดว่าการแสดงออกของเธอมันเป็นจุดอ่อน น่าเอ็นดู มองหล่อนไม่ต่างอะไรไปจากลูกไก่ในกำมือ... กำมือของเจ้าหนี้อย่างเขา
“ขยันจังเลยนะเรา เฮียก็พึ่งเลิกงานเหมือนกัน...”
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก เขารั้งร่างบางให้เข้ามาใกล้อีกเล็กน้อยจนแทบไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน มองกลุ่มผมสีแดงเพลิงของหญิงสาวราวกับกำลังมองของเล่นชิ้นสนุก
“พอดีมีลูกหนี้คนหนึ่งมันติดเงินเฮียอยู่สองหมื่นน่ะ เบี้ยวแล้วเบี้ยวอีก... จนเฮียต้องไปจัดการด้วยตัวเอง”
เขาพูดเสียงระรื่น ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นหน้าไปใกล้ใบหูเล็กของคนในอ้อมแขน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระซิบบอกด้วยถ้อยคำที่เปี่ยมความหมาย โดยไม่สนว่าเธอจะหดตัวหนีหรือเปล่า
“แต่เฮียรำคาญ... เลยส่งมันไปคุยกับรากมะม่วงแล้วล่ะ”
ลมหายใจของอัจฉราสะดุดเล็กน้อย นัยน์สียางไม้กระตุกวูบไปจังหวะหนึ่ง สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว ทำความเข้าใจได้โดยที่ไม่ต้องคิดให้ลึกล้ำด้วยซ้ำ มันคือการขู่กันเรื่องหนี้ หนี้แค่หลักหมื่น... แต่ก็โดนหนักได้เช่นกันขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้าหนี้
อัจฉรากลืนน้ำลายลงคอฝืดเฝื่อน ดวงหน้าสวยซีดลงอีก ความร้อนที่เริ่มรุมเร้าจากพิษไข้ เทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกเย็นวาบที่แล่นผ่านกระดูกสันหลัง ความนิ่งเฉยของเธอที่เห็นได้ชัดเจน ทำให้เจ้าหนี้จอมโหดถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ยอมปล่อยให้หญิงสาวเป็นอิสระในที่สุด
“เฮียก็แค่พูดเล่น! แค่ไม่กี่หมื่นใครจะไปทำกับมันได้ลงล่ะ แต่ถ้าหลักแสนขึ้นไปแบบหนู... ก็น่าคิด”
เฮียโจ้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง โชว์ร่างผอมบางที่สร้างเงาทาบทับอัจฉราที่ยังคงนั่งก้มหน้าไม่ยอมสบตากัน มือใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยสักจึงถือวิสาสะอีกครั้ง ยื่นออกไปเชยคางของหล่อนอย่างจงใจ ให้เธอแหงนหน้าขึ้นมาสบตากับเขาได้อย่างเต็มที่ โชว์ความกระหายอย่างไม่คิดที่จะปิดบัง
“เฮียชื่นชมหนูนะ... ขยันแบบนี้ แต่กลับบ้านดึก ๆ มันไม่ดีนะรู้ไหม... ยอม ๆ มาเป็น ‘เมีย’ เฮียตั้งแต่แรกก็จบแล้ว... แค่สองแสน... ทำไมเฮียจะยกให้หนูไม่ได้”
“สองแสน...”
อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เสียงทุ้มเรียบดังตัดผ่านความตึงเครียดขึ้นมา ความคุ้นเคยนั้นทำให้อัจฉราเบือนหน้าหนีจากสัมผัสที่ไม่ชอบใจของเฮียโจ้ หันไปมองยังต้นเสียง แววตาสั่นไหวทันเมื่อสบตาเข้ากับนัยน์ตาคมดุแต่เย็นชานั่น หญิงสาวรู้สึกคอแห้งจนต้องกลืนน้ำลาย
‘นี่มัน... ซวยซ้ำซวยซ้อน’
“อ้าว... ใครครับเนี่ย”
เฮียโจ้ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกขัดใจที่ถูกขัดจังหวะ น้ำเสียงยียวนเอ่ยถามทันที พร้อมกันนั้นก็ดึงมือที่เคยสัมผัสปลายคางของลูกหนี้สาวไปมองคนมาใหม่ ที่กำลังเดินเข้ามาใต้หลังป้ายรถเมล์ โดยมีรถยุโรปคันหรูสีดำเงาตัดกับรถญี่ปุ่นคันสีขาวข้างหน้าอย่างร้ายกาจ เป็นความแตกต่างของวัตถุที่เหนือระดับกว่าชัดเจน
“สองแสน... นี่คือเหตุผลที่คนป่วยแบบเธอ มาอยู่ตรงนี้ดึก ๆ แทนที่จะกลับบ้านไปนอนพักหรือเปล่า?”
นัยน์ตาคมเข้มไม่สนใจชายรูปร่างบอบบางที่เพิ่งจะทักเขาไปอย่างไม่เป็นมิตรเลยด้วยซ้ำ มันมองไปที่อัจฉราคนเดียว จนกระทั่งเขาเดินเข้ามาอยู่ในจุดเดียวกับที่เธอและชายคนที่หล่อนยอมให้ถึงเนื้อถึงตัว... ง่าย ๆ แบบ ‘ไอ้ทรงเอ’ ที่สังคมเรียกกันตามภาพลักษณ์ที่เห็น
สายตาของนทีตวัดไปมองชายตรงหน้า เมื่อเห็นว่าอัจฉราไม่ยอมตอบเอาแต่นั่งนิ่ง เงาจากแสงสลัวสะท้อนภาพของชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ตัวสูงเหมือนเปรต สักลายเลอะเทอะอย่างไม่มีศิลปะและไร้ความประณีตอยู่ในครรลองสายตาของเขา
สายตาที่มองมานิ่ง ๆ ที่แฝงไปด้วยการประเมินอย่างเปิดเผยนั้น ก็ทำให้ให้เฮียโจ้รู้สึกสนุกขึ้นมาเช่นกัน เขาหัวเราะร่วนออกมา พลางมองชายหนุ่มตรงหน้าที่คล้ายว่าจะใส่แบรนด์เนมทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า และช้อนสายตากลับขึ้นไปจ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร
“โห คุณชายหน้าหล่อที่เนี้ยบขนาดนี้... สาระแนเข้ามาแล้ว... แต่ยังไม่ตอบผมเลยนะครับว่าเป็นใคร”
คนตัวบางกว่าก้าวเข้าไปใกล้ รุกคืบอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นยังคงนิ่งเฉยไม่ขยับ เขาก็ยิ่งได้ใจ เดินเข้าไปใกล้จนอยู่ในระยะที่ท้าทายพอสมควร มือหยาบก็ยื่นออกไปสัมผัสสาบเสื้อสูทเนื้อดี ไล่ไปตามแนวกระดุมเม็ดงามอย่างหน้าตาเฉย ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยเสียงที่ดังพอให้อัจฉราได้ยินด้วย
“หรือว่า... น้องเนยมีผัวแล้วแต่ไม่ยอมบอกพี่นะ?”
ประโยคคำถามพร้อมกับการพยักหน้าไปทางหญิงสาว ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย สายตามองมาทางนทีภายใต้สถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ ทว่าดวงตาคู่คมเพียงแค่หรี่ลงเล็กน้อยเท่านั้น พร้อมกับประกายบางอย่างแล่นผ่านนัยน์ตาสีนิล มันไม่ใช่ความถูกใจ... แต่ก็ใช่ว่าจะไม่พอใจเสียทีเดียว
“หึ”
สิ้นเสียงแค่หัวเราะในลำคอเบา ๆ มือหนาก็ยกขึ้นรัดรอบข้อมือของคนที่กล้าแตะต้องเขาด้วยความเฉียบขาด ฉับพลันจนทำให้อีกฝ่ายชักสีหน้าไม่พอใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ ขณะที่นทียังคงหน้านิ่ง ทว่าแรงที่ใช้นั้นมากพอที่จะบีบกระดูกข้อมือของเฮียโจ้ให้แหลกคามือได้ไม่ยาก หากคิดที่จะทำจริง ๆ
“ผัว... ตอนนี้... ไม่ใช่”
เสียงทุ้มกดต่ำ พร้อมกับออกแรงกระชากร่างผอมแห้งเข้ามาใกล้ โน้มลงไปกระซิบใกล้หู สิ้นประโยคที่รับรู้กันแค่สองคนแล้ว เขาก็ผลักอีกฝ่ายออกไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะตวัดสายตาไปมอง ‘ตัวปัญหา’ ที่นั่งทำหน้าตาตื่นไม่พูดไม่จาเหมือนอมสากเอาไว้ ขายาวย่างสามขุมเข้าไปตรงหน้าเธอ
ทันใดนั้นเฮียโจ้ที่รู้สึกว่าตัวเองโดยหักหน้าอย่างแรง แต่พึ่งตั้งหลักได้ก็หันขวับไปมองคนร่างสูงที่กล้าหันหลังให้เขาหลังจากดูถูกกัน ความร้อนแล่นเข้ามาในอก เต็มไปด้วยความเดือดดาลจนทนไม่ไหว ยิ่งต่อหน้าสาวที่เขาหมายปอง มันยิ่งยอมไม่ได้!
“ไอ้เหี้ยนี่! มึงกล้าทำแบบนี้กับกูเหรอวะ?!”
สิ้นประโยคคนถูกหยามก็คว้าไหล่อีกฝ่ายให้หันกลับมาเผชิญหน้า ไม่พูดพร่ำเพื่อ ง้างกำปั้นขึ้นฟ้าก่อนจะอัดเข้าใส่หน้าของอีกฝ่ายเต็มแรง
“คุณนที! เฮียโจ้!”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง เสียงหวานสั่นดังลอดผ่านเสียงฝน ร่างบางลุกขึ้นหมายจะไปห้าม แต่ก็ไม่ทัน จึงได้แต่ยืนตัวแข็งด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาของนทีสะบัดไปตามแรงปะทะต่อหน้าต่อตา โลกทั้งใบเงียบฉับพลันลงในความรู้สึก
“เก่งนักเหรอมึง! ฮ่า ๆ ๆ ไอ้หน้าอ่อน!...”
เฮียโจ้แค่นหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ ทว่าเสียงนั้นคงอยู่ได้ไม่นานก็ถูกทำให้เงียบหายไปอย่างรวดเร็ว
ผลัวะ!
กำปั้นหนักไม่แพ้กันสวนกลับไปจนคนที่เคยหัวเราะเยาะอย่างมีชัยเงียบปาก แรงที่ไม่มีการยับยั้งส่งผลให้คนตัวผอมแห้งถลาลงไปนอนกองอยู่บนพื้นอย่างไร้การทรงตัว นทีจะตามไปซ้ำก็ได้ ทว่าเขาเลือกที่จะยืนมองอีกฝ่ายนิ่ง สายตาเย็นเฉียบอย่างน่ากลัว
ข้อนิ้วแดงก่ำจากแรงปะทะ มุมปากแตกเปื้อนโลหิตสดใหม่ แต่เขาเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วเช็ดมันออก ก่อนที่จะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านในของสูทสีเข้ม แล้วหยิบนามบัตรสีดำด้านตัดกับตัวอักษรและสัญลักษณ์ตราชูสีทองใบหนึ่งขึ้นมา โยนลงบนพื้นข้างคนเจ็บที่ยังมึนอยู่
“ชื่อผมอยู่บนนั้น... เผื่ออยากแจ้งความ... จะได้ไม่ผิดตัว”
พูดจบดวงตาคมกริบที่ยังคงเย็นชาแต่แฝงไปด้วยความดุดันบางอย่าง ก็ตวัดกลับไปมองอัจฉราอีกครั้ง เขาไม่สนว่าเธอจะยังอยู่ในอาการตกใจหรือไม่ ก้าวเข้าไปคว้าที่ข้อมือเล็กของเธอแน่น สัมผัสได้ถึงความร้อนจากผิวแต่ไม่สนใจ
ดึงหล่อนให้เดินตามมาที่รถซึ่งยังจอดตากฝนอยู่ โดยไม่พูดอะไร กระชากประตูฝั่งผู้โดยสารออก แล้วดันร่างของเธอให้เข้าไปนั่ง ปิดประตูลงอย่างไม่เบานัก ก่อนจะเดินอ้อมไปประจำฝั่งคนขับ ในจังหวะเดียวกันรถเมล์สายสุดท้ายที่หญิงสาวรออยู่นานก็ขับผ่านป้ายไปพอดี
ซึ่งดีแล้ว... เพราะผู้โดยสารของคืนนี้... นทีจะเป็นคนพาเธอไปเอง