บทที่ 5
สหายของพี่ใหญ่
หลายวันผ่านไปทุกอย่างก็เป็นไปตามคำพูดของเวินหมิงเย่ หลังจากนายท่านเวินกลับมาจากราชการก็สั่งปล่อยตัวเวินหมิงเย่และเวินหนิงเอ๋อ ร์อีกทั้งยังส่งหมอมารักษาพวกเขาทันที
ในวันนั้นเกิดการโต้เถียงระหว่างฮูหยินเวินและนายท่านเวินอย่างรุนแรง แต่ผลสุดท้ายก็เป็นฮูหยินเวินที่ยอมทำตามคำพูดของสามี ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดข้อตกลงอะไรขึ้นระหว่างสามีภรรยาในวันนั้น ทุกคนรู้เพียงว่าหลังจากวันนั้นจวนสกุลเวินมีแม่สื่อวิ่งเข้าออกจวนเพื่อทาบทามสู่ขอเวินหนิงเอ๋อร์ไม่ขาดสาย
คิดว่าอีกไม่นานคุณหนูรองสกุลเวินคงแต่งออกไปให้ขุนนางสักคนในไม่ช้า
"ข้าอยากให้นางแต่งเป็นอนุ ไม่ใช่ฮูหยิน เจ้าพวกบุรุษโง่นี่คิดอะไรอยู่ถึงได้อยากแต่งนังสวะนี่ไปเป็นเมียเอก"
ฮูหยินเวินพูดออกมาน้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางไม่อยากให้เวินหนิงเอ๋อร์แต่งกับบุรุษที่ดี จึงใช้เวลานานเพื่อเลือกสามีสารเลวให้ แต่ใครเลยจะคิดว่าตอนนี้มีแต่พวกโง่เท่านั้นที่มาสู่ขอให้เวินหนิงเอ๋อร์ไปเป็นฮูหยินใหญ่
"ท่านแม่..ขายนางออกไปให้หอนางโลมดีหรือไม่เจ้าคะ"
คำพูดของเวินเยว่เล่อทำให้จางลี่หญิงรับใช้และฮูหยินเวินชะงัก เพราะไม่คิดว่าคำพูดโหดร้ายเช่นนี้จะออกมาจากปากของเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาเช่นนางได้
"ข้าเพียงหวาดกลัวนาง ข้าอยากส่งนางออกไปให้ไกลจากข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ"
เวินเยว่เล่อที่รู้ตัวว่าตัวเองเผลอพูดในสิ่งที่คิดออกไปรีบเอ่ยแก้ตัวทันที ในนิยายไม่ได้บรรยายว่าเวินเยว่เล่อแท้จริงนิสัยเป็นเช่นไร มันจึงเป็นเรื่องยากที่นางจะแสดงให้ดีได้
"แม้แม่จะเกลียดชังนาง แต่ขายนางออกไปเป็นนางโลมไม่ได้หรอก ถึงอย่างไรนางก็มีสายเลือดของสกุลเวิน"
"ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ"
"เยว่เล่อ เจ้าอย่าหวาดกลัวไปเลย แม่ไม่มีทางปล่อยให้พวกมันมาทำร้ายเจ้าอีกแน่"
คำปลอบโยนของฮูหยินเวินไม่ได้ทำให้เวินเยว่เล่อรู้สึกอุ่นใจเลยสักนิด นางยังคงรู้สึกว่าตนเองไม่ปลอดภัยหากนางร้ายยังวนเวียนอยู่รอบตัวแบบนี้ หญิงสาวพยายามครุ่นคิดแผนการภายในหัวเพื่อขับไล่นางร้ายให้ออกห่างจากตัวเอง ก่อนจะนึกถึงเรื่องราวที่อยู่ในต้นฉบับขึ้นมา
นางร้ายวางยาปลุกกำหนัดพระเอกและร่วมรักจนตั้งครรภ์ เพราะเป็นแบบนี้นางจึงถูกแต่งออกไป...
"ท่านแม่ข้ามีแผนการดีดีแล้วเจ้าค่ะ"
อีกด้านกลางตลาดที่มีผู้คนพลุกพล่าน วิญญาณของเวินเยว่เล่อในยามนี้กำลังรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่พบเห็นตรงหน้า ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาดวงตาคู่สวยจับจ้องไปที่ร้านขายน้ำตาลปั้นตาเป็นประกาย
"พี่ใหญ่สิ่งนี้คืออะไรหรือเจ้าคะ เหตุใดถึงมีรูปร่างเหมือนกระต่ายเลย"
"น้ำตาลปั้น เจ้าไม่เคยเห็นหรือ"
เวินหมิงเย่มองคนตัวเล็กตรงหน้าที่กำลังส่ายหน้าอย่างโง่งม เขาเกิดความสงสัยในใจว่าตลอดสิบสามปีที่ผ่านมานางเติบโตมาดั่งไข่ในหินมากเกินไปหรือไม่
"รสชาติเป็นเช่นไรเจ้าคะ ท่านพี่เคยกินหรือไม่"
"หวาน"
เวินเยว่เล่อที่ได้รับคำตอบก็พยักหน้ารับรู้ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไป น่าเสียดายที่ตอนนี้นางเป็นเพียงวิญญาณโง่งมไม่สามารถกินสิ่งใดได้
แต่ว่าวิญญาณกินอะไรไม่ได้จริงหรือ?
"พี่ใหญ่ท่านว่าวิญญาณสามารถกินอาหารของโลกมนุษย์ได้หรือไม่เจ้าคะ"
"หากเจ้าสงสัยเช่นนั้นก็ลองกัดดูสักคำสิ"
เวินหมินเย่พูดออกมาเสียงเรียบใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดใด ในมือของเขาถือน้ำตาลปั้นรูปกระต่ายที่พึ่งซื้อมาเมื่อครู่
"พี่ใหญ่ซื้อมาให้ข้าหรือเจ้าคะ"
"ไม่ใช่ว่าหนิงเอ๋อร์กำชับให้ข้าดูแลเจ้าให้ดีหรือ ข้าเพียงไม่อยากถกเถียงกับนางเท่านั้น"
คำตอบของผู้เป็นพี่ชายทำให้เด็กสาวคลี่ยิ้มออกมา แม้คนตรงหน้าจะไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาแต่เวินเยว่เล่อก็สัมผัสได้ว่าเขาเองก็ห่วงใยนางเช่นเดียวกัน
"หมิงเย่!!! เจอเจ้าพอดีเลยนับว่าโชคดียิ่งนัก"
เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นทำลายบทสนทนาของพี่น้องสกุลเวิน เวินเยว่เล่อหันไปมองทางต้นเสียงพบบุรุษรูปร่างสูงโปร่ง การแต่งกายของเขาราวกับเป็นคุณชายชาติตระกูลสูง อีกทั้งยังมีใบหน้าที่งดงามโดดเด่นราวกับเป็นอิสตรี
"พี่ใหญ่คนผู้นี้เป็นสหายของท่านหรือเจ้าคะ"
"อืม"
สายตาของเวินหมิงเย่ตอนนี้จับจ้องไปที่ จ้าวซืออี้ ผู้ที่เขาคบหาเป็นสหายมานานหลายปี บุรุษที่มีนิสัยแปลกประหลาดต่างจากสถานะที่สูงส่งของตัวเอง
"ไปเถอะ เฟิงหู่คงรอพวกเรานานแล้ว"
ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายตอบรับ จ้าวซืออี้ก็ลากตัวเวินหมิงเย่ตรงเข้าไปที่โรงน้ำชาที่นัดไว้กับสหายอีกคนทันที พวกเขาขึ้นไปยังชั้นสองก่อนจะเปิดประตูห้องส่วนตัวที่ตอนนี้มีบุรุษผู้หนึ่งนั่งรออยู่
"เฟิงหู่เจ้ารอนานหรือไม่"
"คิดว่าอย่างไรล่ะ"
หม่าเฟิงหู่บุรุษวัยสิบแปดเอ่ยออกมาสำเนียงทุ่มต่ำเต็มไปด้วยความกระด้าง มือหนาคว่ำไหสุราที่ว่างเปล่าลงเพื่อบอกเป็นนัยกับสหายว่าเขานั่งดื่มสุรารอจนหมดไปหนึ่งไหแล้ว
เวินเยว่เล่อที่เดินตามผู้เป็นพี่ชายกับสหายของเขาเข้ามาในห้อง ดวงตาจับจ้องไปที่บุรุษสวมใส่อาภรณ์สีดำไร้ลวดลายที่นั่งอยู่ตรงหน้า ชายผู้นั้นใบหน้าคมเข้มมีกลิ่นอายดุดัน สันกรามคมชัด คิ้วองอาจผึ่งผายท่าทางดูน่าเกรงขาม
แม้บุรุษผู้นี้จะรูปงามแต่สำหรับเวินเยว่เล่อเขาช่างดูน่ากลัวยิ่งนัก หรืออาจจะเพราะนางจำเนื้อหาในหนังสือเล่มนั้นได้ดี หม่าเฟิงหู่ เขาคือบุรุษอันตรายที่ใช้ตำแหน่งแม่ทัพของเขาสังหารผู้คนอย่างโหดเหี้ยม บุรุษผู้ถูกวางบทเป็นตัวร้ายของหนังสือเล่มนี้....
"หมิงเย่ในมือเจ้านั่นอะไร? น้ำตาลปั้น?"
เวินหมิงเย่ที่ถูกคนตรงหน้าเอ่ยทักก็ชะงักเล็กน้อย เขาลืมไปด้วยซ้ำว่าซื้อสิ่งนี้มาเพื่อให้คนตัวเล็กที่ติดตามเขามาให้ได้ลิ้มลองรสชาติ
"วันนี้ข้ามีธุระคงอยู่กับพวกเจ้าไม่ได้นานเช่นทุกวัน"
ชายหนุ่มพูดออกมาเสียงเรียบก่อนจะมองไปที่เวินเยว่เล่อผู้เป็นน้องสาวที่ยืนคลี่ยิ้มส่งให้เขาที่มุมห้อง ในใจนึกโทษตัวเองไม่น่าใจอ่อนให้นางติดตามมาเจอพวกสหายบ้าของเขาเลย
โชคดีที่ไม่มีใครเห็นนาง..
"หมิงเย่เจ้ามีนางในใจแล้วหรือ? น้ำตาลปั้นนี้ไม่ใช่ว่าซื้อไปให้นางหรือ? บอกข้าหน่อยเป็นบุตรสาวสกุลใด? นางงดงามหรือไม่?"
จ้าวซืออี้เอ่ยถามผู้เป็นสหายที่ยืนอยู่ข้างกายแววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้ เขาสนิทกับเวินหมิงเย่มาหลายปีไม่เคยมีสักครั้งที่จะเห็นอีกฝ่ายสนใจสตรี ทำให้เขาอยากรู้เสียจริงว่าสตรีแบบไหนที่ได้ใจของสหายเขาไปครอบครอง
"เฟิงหู่ ข้าได้ยินจากท่านพ่อว่าเจ้าจะตัดขาดจากสกุลหม่า เรื่องจริงหรือไม่"
เวินหมิงเย่เลือกที่จะเมินสหายที่ยืนอยู่ข้างกาย ร่างสูงก้าวเท้าเดินไปนั่งที่ก้าวอี้พลางเอ่ยถามสหายที่นั่งดื่มสุราอยู่ตรงหน้า
"ข้ามีเหตุผลของข้า"
"แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อไป"
หม่าเฟิงหู่เลือกที่จะไม่ตอบอะไรราวกับมีเหตุผลมากมายที่ไม่อาจบอกผู้ใดให้รับรู้ได้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นสหายก็ตาม เขาทำเพียงยกกาสุราขึ้นตั้งใจจะเทใส่จอกให้สหายตรงหน้า แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเวินหมิงเย่ใช้ฝ่ามือปิดที่จอกสุรา
"วันนี้ข้าไม่ดื่มสุรา"
เวินหมิงเย่พูดจบก็ปรายตามองไปที่เวินเยว่เล่อที่กำลังจับจ้องการกระทำของเขาอยู่ จะให้ข้าดื่มสุราต่อหน้าน้องสาวได้ยังไง
"เจ้ามีสตรีในดวงใจอย่างซืออี้พูดจริง ๆ หรือ"
"เฟิงหู่ ดูท่าหมิงเย่จะแต่งงานก่อนข้าและเจ้าเสียแล้ว แต่หมิงเย่เจ้าซื้อน้ำตาลปั้นไปฝากสตรีได้เช่นไร ต้องเป็นเครื่องประดับสินางถึงจะดีใจ"
"ข้าซื้อให้เยว่เล่อ พวกเจ้าเลิกคิดอะไรไร้สาระเสียที"
เวินเยว่เล่อที่ถูกกล่าวถึงในยามนี้กำลังยืนส่งยิ้มให้กับบุรุษผู้เป็นพี่ชาย นางเลือกที่จะยืนเงียบ ๆ ไม่เข้าไปรบกวนเขากับสหายตามสัญญา
ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้พี่ใหญ่เด็ดขาด!!
"เยว่เล่อ? น้องสาวต่างมารดาของเจ้า? ไม่ใช่ว่าเจ้าเกลียดชังนางหรือ?"
คำพูดของจ้าวซืออี้ทำให้รอยยิ้มที่เคยมีบนใบหน้าของเวินเยว่เล่อค่อย ๆ เลือนหายไป แววตาที่เคยสดใสแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าเมื่อรับรู้ว่าพี่ใหญ่เกลียดชังตัวเอง
"ข้าได้ยินว่าหลายวันมานี้จวนสกุลเวินเกิดเรื่องมากมาย เรื่องที่เจ้าและคุณหนูรองถูกลงโทษก็เพราะนางไม่ใช่หรือ"
"หากเป็นเช่นนั้น นางก็ร้ายกาจไม่ต่างจากมารดาของนางเลยมิใช่หรือ หมิงเย่...นี่เจ้าคงไม่ได้คิดวางยาพิษในน้ำตาลปั้นเพื่อมอบให้นางหรอกนะ"
ตึง!!
"หากยังเห็นข้าเป็นสหายหยุดพูดไม่ดีถึงน้องสาวข้าได้แล้ว"
"……"
"…..."
"ข้าก็ไม่เคยเกลียดชังนาง เยว่เล่อคือน้องสาวที่ไร้เดียงสาของข้า ขอให้พวกเจ้าจำให้ขึ้นใจ"
น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความจริงจังที่ออกมาจากปากของเวินหมิงเย่ ทำให้คนตัวเล็กที่ยืนฟังอยู่มุมห้องรอยยิ้มคืนกลับมาประดับลงบนใบหน้าอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยจับจ้องไปที่ใบหน้าของพี่ชายที่กำลังมองมาที่นางเช่นเดียวกัน
"พี่ใหญ่ขอบคุณนะเจ้าคะที่ไม่เกลียดข้า"
เสียงหวานและรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าคนตรงหน้าไร้ซึ่งความกังวลใจแล้ว ทำให้เวินหมิงเย่รู้สึกโล่งเขามองไปที่สหายทั้งสองก่อนจะถอนหายใจออกมา
"พวกเจ้าก็อย่าเชื่อข่าวลือมากจนเกินไป เยว่เล่อนางเป็นเด็กดี"
"เช่นนั้นแนะนำน้องสาวของเจ้าให้พวกข้ารู้จักบ้างสิ ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีพวกเราจะกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันก็ได้"
"ไม่ พวกเจ้าไม่เหมาะสมกับน้องสาวของข้า"
เวินหมิงเย่ตอบกลับจ้าวซืออี้ผู้เป็นสหายของเขาไปในทันที ในบรรดาบุรุษทั่วทั้งเมืองหลวงคนที่เขาไม่อยากให้เวินเยว่เล่อเด็กสาวที่ไร้เดียงสารู้จักมากที่สุดคือสองคนตรงหน้า
หนึ่งคนมีนิสัยแปลกประหลาด..
ส่วนอีกหนึ่งคนแข็งกระด้างไร้มารยาท..
หากไม่ใช่เพราะวันนี้อยากพานางออกมาเที่ยวเล่นนอกจวน เขาคงไม่มีทางพาเวินเยว่เล่อมาที่นี่
ให้คบเป็นสหายเขายังพอทน แต่หากต้องมาเป็นทองแผ่นเดียวกันเขาไม่มีทางยินยอมเด็ดขาด!!
"ซืออี้อย่าพูดไร้สาระ น้องสาวของหมิงเย่นางยังเด็กนัก"
"เฟินหู่ ข้าเพียงแค่อยากแกล้งหมิงเย่เท่านั้น"
หม่าเฟิงหู่ส่ายหัวให้กับความคิดของสหายก่อนจะยกสุราขึ้นดื่ม ในหัวของเขาตอนนี้มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น ชะตาชีวิตที่พลิกผัน ความจริงเรื่องชาติกำเนิดของเขาที่พึ่งได้รับรู้หลังจากมารดาตายไป ความลับที่ไม่อาจบอกแก่สหายหรือใครได้ เหตุผลที่เขาพาตัวเองออกจากตระกูลหม่า...
เขาจะกล้าบอกใครได้ยังไงว่า ทายาทเพียงคนเดียวของแม่ทัพหม่าที่ล่วงลับไป แท้จริงเป็นเพียงลูกชายชู้เท่านั้น...