บทที่ 4 วิญญาณของเวินเยว่เล่อ

2288 Words
บทที่ 4 วิญญาณของเวินเยว่เล่อ 'ข้ากลับคิดว่าเมื่อเจ้าอ่านจบ คงจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนเรื่องราว' สิ่งที่ผู้อาวุโสคาดการล้วนคือความจริงทั้งสิ้น หลังจากที่เวินเยว่เล่ออ่านหนังสือเล่มนั้นจบก็ถูกพาตัวกลับมาที่จวนสกุลเวิน นางเข้าใจเรื่องราวในหนังสืออย่างละเอียด เนื้อหาของหนังสือเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพี่ชายและพี่สาวของนาง อีกทั้งยังมีเรื่องราวของผู้คนที่นางไม่รู้จักมากมาย และสิ่งที่ทำให้เวินเยว่เล่อต้องตกใจคือจุดจบที่น่าอนาถใจของพี่ทั้งสองคนของนาง ในหนังสือพี่ใหญ่ของนางถูกวางบทให้เป็นมือขวาตัวร้าย เขาเป็นกุนซือที่เก่งกาจแต่เพราะหลงรักกับผู้หญิงที่มีบทบาทเป็นนางเอกของเรื่อง ทำให้เขาเข้าไปรับคมกระบี่แทนนางจนต้องตายอยู่ในป่า ศพของเขาถูกจิ้งจอกรุมทึ้งจนมีสภาพไม่น่ามอง ส่วนพี่หญิงรองนางถูกวางบทเป็นนางร้าย เป็นสตรีที่คนทั้งเมืองหลวงต่างเกลียดชัง ในหนังสือกล่าวว่านางหลงรักบุรุษที่เป็นพระเอกของเรื่อง นางร่วมมือกับฮูหยินเวินวางยาพระเอกให้มาร่วมรักอีกทั้งยังบีบบังคับให้เขาแต่งนางเข้าจวน หลังจากแต่งงานพระเอกไม่เคยร่วมเตียงกับนางเลย อีกทั้งยังแต่งนางเอกเข้ามาในจวนหลังจากแต่งนางร้ายได้เพียงไม่นาน สุดท้ายแม้ร่วมรักเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้นางร้ายตั้งครรภ์ได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสุดท้ายนางร้ายก็เกิดแท้งลูก นางร้ายพยายามเรียกร้องความสนใจจากพระเอกอีกทั้งยังตามกลั่นแกล้งนางเอกลับหลัง ทำให้ความอดทนของพระเอกหมดลง จุดจบของนางร้ายคือถูกพระเอกวางแผนล่อลวงให้นางร่วมรักกับองค์ชายห้าที่ขึ้นชื่อว่าอัปลักษณ์ ตั้งใจจะยกนางให้องค์ชายผู้นั้นไป แต่ใครเลยจะรู้ว่านางร้ายทนความอับอายที่ร่างกายของนางแปดเปื้อนจากบุรุษอื่นไม่ได้จึงปลิดชีพตัวเอง "ทำชั่วช้ากับพี่ใหญ่กับพี่หญิงรองของข้าขนาดนี้ ยังเรียกว่าพระเอกและนางเอกได้หรือ" เวินเยว่เล่อพึมพำกับตัวเอง แววตาที่เคยไร้เดียงสาในยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ นางตั้งมั่นไว้ในใจว่าจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งให้ได้ พี่ชายและพี่สาวของนางจะต้องไม่พบจุดจบเช่นนี้ ต่อให้ผลมันตกอยู่ที่นาง จะดีจะร้ายนางก็ยินดีที่จะรับไว้!! ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ!!! เสียงตีบางอย่างดังขึ้นจากลานหน้าเรือนหลัก วิญญาณของเวินเยว่เล่อก้าวเท้าเดินตรงไปตามเสียงด้วยความสงสัย แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้านางก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ!!! "พวกเจ้าจะยอมรับได้หรือยัง หรือต้องรอให้ข้าโบยพวกเจ้าจนตายก่อนจึงจะยอมรับ!!" ฮูหยินเวินพูดออกมาเสียงเย็น ดวงตาจับจ้องไปที่เวินหมิงเย่และเวินหนิงเอ๋อร์ที่ถูกโบยมาครึ่งชั่วยามแล้ว สาเหตุนั่นก็เพราะเมื่อช่วงเช้าบุตรสาวของนางวิ่งร้องไห้ไปหาถึงห้องนอน อีกทั้งยังพูดว่าพวกชั่วทั้งสองร่วมมือกันเพื่อสังหารบุตรสาวนาง ข้าคิดไว้ไม่มีผิด!! "ข้ามิได้ทำสิใดผิด ข้าบริสุทธิ์ขอฮูหยินใหญ่อย่าได้ฟังความข้างเดียว" เพล้ง!! ถ้วยน้ำชาราคาหลายตำลึงถูกปาลงบนศีรษะของเวินหมิงเย่จนแตกกระจายด้วยฝีมือของฮูหยินเวิน บ่าวรับใช้ในจวนต่างก้มหน้าไม่กล้ามองเหตุการณ์อีกต่อไป "ดี ข้าจะคอยดูว่าหากพวกเจ้าใกล้ตายจะยังปากแข็งอยู่หรือไม่!! จับพวกมันไปขังไว้ในห้องเก็บฟืนห้ามส่งข้าวส่งน้ำหรือแม้แต่ยารักษา" ในเมื่อพวกมันคิดจะเอาชีวิตบุตรสาวข้า ข้าเองก็จะไม่ปล่อยให้พวกมันมีชีวิตรอดเช่นเดียวกัน!! "ท่านแม่ข้ากลัวเจ้าค่ะ" "เยว่เล่อไม่ต้องกลัว แม่จะปกป้องเจ้าเอง" เวินหมิงเย่และเวินหนิงเอ๋อร์ที่กำลังถูกพาตัวไปห้องเก็บฟืน ดวงตาจับจ้องสองแม่ลูกชั่วช้าแววตาเต็มไปด้วยความอาฆาต พวกเขารู้สึกว่าตัวเองโง่เขลาที่คิดว่าเด็กชั่วช้าเช่นนั้นไร้เดียงสาและน่าเอ็นดู แท้จริงนางก็เป็นงูพิษไม่ช่างจากแม่ของนางเลยสักนิด!! เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วยาม บรรยากาศภายในห้องเก็บฟืนเงียบสนิทเวินหมิงเย่และเวินหนิงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่คนละมุมห้องไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา พวกเขาถูกโบยไปครึ่งชั่วยามในตอนนี้เจ็บทั้งร่างกายและเจ็บทั้งใจ "ขอโทษ ข้าขอโทษนะเจ้าคะ พี่ใหญ่ พี่หญิงรอง พวกท่านเจ็บมากใช่หรือไม่" เสียงร้องไห้ที่คุ้นเคยดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ สองพี่น้องสกุลเวินรีบหันไปทางต้นเสียงแต่เพราะภายในห้องเก็บฟืนมืดมาก มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทำให้พวกเขาเห็นเพียงเงาของใครบางคนนั่งกอดเข่าร้องไห้ตัวสั่นอยู่ "ข้าขอโทษ ขอโทษที่ช่วยอะไรพวกท่านไม่ได้เลย" แม้จะไม่เห็นหน้า แต่เมื่อฟังน้ำเสียงทั้งสองก็รับรู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคือใคร พวกเขาหันไปสบตากันราวกับต้องการถามว่า เวินเยว่เล่อเข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่? "เจ้ามาเสแสร้งอะไร คิดจะทำอะไรอีกเยว่เล่อ" วิญญาณเวินเยว่เล่อที่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่หยุดชะงัก ใบหน้าสวยเงยขึ้นพบว่าตอนนี้พี่ชายและพี่สาวของนางกำลังจับจ้องมาที่นางอยู่ "พะ...พวกท่านเห็นข้าหรือเจ้าคะ" "คิดว่าพวกข้าตาบอดหรือยังไง เจ้าร้องไห้เสียงดังเพียงนี้พวกข้าไม่เห็นนะสิแปลก" คำพูดของพี่ใหญ่ทำให้เวินเยว่เล่อน้ำตาคลอ เพราะก่อนที่นางจะมาหาพวกเขานางได้เข้าไปหาบิดามารดามาก่อน แต่พวกเขาไม่เห็นนาง ไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของนางด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าคนที่เห็นนางจะเป็นพี่ใหญ่และพี่หญิงรอง คนที่นางอยากจะขอโทษที่สุดในเวลานี้ "พี่หญิงรองเจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ" เวินเยว่เล่อพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนจะเดินเข้าไปจับที่แขนของเวินหนิงเอ๋อร์ตั้งใจจะจับพลิกดูว่ามีรอยแผลด้วยหรือไม่ แต่สิ่งที่ทำให้คนทั้งสามตกใจคือมือของเวินเยว่เล่อทะลุผ่านร่างกายของเวินหนิงเอ๋อร์ออกไป เดิมทีเพราะพวกเขาเห็นนางเลยนึกว่าจะสัมผัสกันได้เสียอีก "นะ...นะ...นี่มันเรื่องบ้าอะไร!!" "ยะ...เยว่เล่อ..ทำไมเจ้า..." "พี่ใหญ่ พี่หญิงรอง คือว่า....." หลังจากนั้นเวินเยว่เล่อก็ได้เอ่ยเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนางให้ทั้งสองฟังโดยละเอียด โดยนางเลือกที่จะไม่เล่าถึงเนื้อเรื่องในหนังสือออกไป เวินหมิงเย่และเวินหนิงเอ๋อร์ที่ได้ฟังเรื่องราวน่าเหลือเชื่อจากปากผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาก็ได้แต่ทำใจยอมรับ การที่ได้เห็นวิญญาณของเวินเยว่เล่ออยู่ตรงหน้านั่นถือว่าเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่นางพูดออกมาทั้งหมดคือเรื่องจริง จู่ ๆ คนทั้งสองก็รู้สึกโล่งอกที่เวินเยว่อเล่อมิใช่งูพิษในแบบที่พวกเขาเข้าใจ นางยังคงเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาและน่าเอ็นดู... "แล้วเจ้าจะเอาร่างคืนมาได้ยังไง ต้องเชิญนักพรตมาทำพิธีขับไล่วิญญาณร้ายออกจากร่างเจ้าหรือไม่" เวินหนิงเอ๋อร์เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง "ข้ามีสหายที่น่าจะพอรู้จักนักพรตอยู่บ้าง" เวินหมิงเย่ออกความเห็นสมทบ พลางนึกถึงสหายคนหนึ่งของเขาที่ชอบทำนายดวงชะตากับเหล่านักพรต "คือว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ ท่านผู้อาวุโสบอกแก่ข้าว่าอีกเจ็ดวันเส้นชะตาชีวิตของข้าจะขาดอีกครั้ง ในยามที่วิญญาณตนนั้นออกจากร่างข้า ให้ข้ารีบนำวิญญาณของตัวเองเข้าไปอยู่ในร่างทันทีเจ้าค่ะ" "แล้วหากเจ้าเข้าร่างตัวเองไม่ได้เล่า" "หากถึงตอนนั้นคนที่อยู่ในร่างของข้าเป็นนาง วิญญาณของข้าก็ต้องไปอยู่ในร่างของนางในที่ไกลแสนไกลเจ้าค่ะ" "เยว่เล่อเจ้าต้องกลับเข้าร่างให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม" "ใช่ ข้าไม่ยอมอยู่กับผีร้ายที่มาขโมยร่างเจ้าไปจนตายหรอกนะ" เวินเยว่เล่อเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนางอย่างลวก ๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา ทั้งที่ช่วงเวลานี้นางควรจะกังวลไม่รู้ทำไมนางกลับรู้สึกดีใจ "เรื่องของข้ายังคงต้องรออีกเจ็ดวัน ตอนนี้พวกเรามาหาทางให้ท่านแม่ปล่อยพวกท่านออกไปก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ" "ไม่ต้องหรอก พรุ่งนี้ก็คงได้ออกไปแล้ว" "เจ้าคะ?" "อีกสองวันข้าต้องไปพบสหายเพื่อสานสัมพันธ์ตามคำสั่งท่านพ่อ ส่วนหนิงเอ๋อร์ร่างกายของนางมีค่าดั่งทองคำท่านพ่อคงไม่ยอมให้เสียราคาหรอก" "คือว่า..พี่ใหญ่...พี่หญิงรอง...ปกติพวกท่านโดนปรนนิบัติเช่นนี้ตลอดเลยหรือเจ้าคะ" เหตุใดถึงได้ทำราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องปกติเช่นนี้? เวินเยว่เล่อตัดสินใจเอ่ยถามออกไปเสียงสั่น เดิมทีนางคิดมาตลอดว่าท่านพ่อท่านแม่ที่แสนใจดีของนาง จะให้ความรักพี่ใหญ่และพี่หญิงรองเช่นเดียวกับที่ให้นาง แต่มาเห็นเหตุการณ์วันนี้นางรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจผิด "ขะ...ข้าไม่เคยรู้เลยว่าพวกท่านถูกกระทำเช่นนี้มาตลอด ข้าควรจะปกป้องพวกท่านแท้ ๆ อย่างน้อยข้าก็ควรจะทำอะไรบ้าง ข้า...ข้า" "เจ้าที่ป่วยจนต้องกักตัวอยู่แต่ในห้องจะมาปกป้องอะไรพวกข้าได้" เวินหมิงเย่พูดออกมาตั้งใจอยากให้คนตัวเล็กตรงหน้าคลายกังวล แต่เขาก็ไม่อยากแสดงให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความเป็นห่วงของตนมากเกินไป "เด็กโง่เจ้าอย่าได้โทษตัวเองเลย พวกข้าในตอนนี้ไม่ได้คิดโกรธเจ้าเลย เจ้าไม่ได้ผิดอะไรเลย" "แต่ท่านแม่ของข้า..." "นางก็คือนาง เจ้าก็คือเจ้า สิ่งที่นางทำเจ้าไม่จำเป็นต้องแบกรับไว้" เวินหมิงเย่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจัง เขาไม่อยากให้เด็กน้อยตรงหน้าโทษตัวเองหรือแบ่งรับความรู้สึกผิดไว้ "จริงสิ อีกสองวันเจ้าติดตามหมิงเย่ออกไปนอกจวนดีหรือไม่ ถึงยังไงก็ยังกลับเข้าร่างไม่ได้" เวินหนิงเอ๋อร์ตั้งใจที่จะพูดเปลี่ยนบรรยากาศ เพื่อให้คนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้าไม่ต้องรู้สึกเศร้าจนเกินไป ถึงอย่างไรนางก็อายุเพียงสิบสามปียังเด็กนัก นางไม่ควรต้องมารับรู้เรื่องเลวทรามที่บิดามารดาทำไว้กับพวกเขา "ออกไปนอกจวน? ข้าไปได้หรือเจ้าคะ" "ได้สิ เจ้าในตอนนี้เป็นวิญญาณคงจะดีหากฉกฉวยโอกาสนี้เที่ยวเล่นด้านนอก ถึงอย่างไรก็ไม่รู้ว่าหากกลับเข้าร่างแล้วเจ้าจะเจ็บป่วยจนต้องกักตัวในห้องอีกหรือเปล่า ใช่หรือไม่หมิงเย่" "ข้าไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กเสียหน่อย อีกอย่างสถานที่ที่ข้าไปมีแต่บุรุษนางเป็นสตรียังไม่พ้นวัยปักปิ่นติดตามข้าไปคงไม่เหมาะสม" "ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครเห็นนางอยู่แล้ว นางอยู่แต่ในจวนสกุลเวินมาตลอดสิบสามปีไม่เคยย่างกายออกไป ในเมื่อมีโอกาสแล้วเจ้าก็พานางออกไปสัมผัสอิสระดูสักครั้งเถิด" เวินเยว่เล่อที่นั่งฟังบทสนทนาแม้จะรู้สึกสนใจกับการออกไปด้านนอกอย่างเช่นพี่หญิงรองพูด แต่นางก็ไม่คิดที่จะสร้างความลำบากใจให้กับผู้เป็นพี่ใหญ่ "ข้าไม่ไปก็ได้เจ้าค่ะ จริงอย่างที่พี่ใหญ่พูดหากข้าไปในที่ที่มีแต่บุรุษคงจะไม่เหมาะสม" เวินหมิงเย่มองรอยยิ้มที่ซ่อนความผิดหวังและเสียดายของคนตรงหน้า แม้นางจะพยายามปิดบังความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ แต่นางคงไม่รู้ว่าทุกอย่างมันออกมาทางสีหน้าทั้งหมด "ติดตามข้าไปแล้วอย่าทำตัววุ่นวาย ข้าไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กที่จะตามใจเจ้าหรอกนะ" "เฮอะ เจ้าโง่" เวินหนิงเอ๋อร์แค่นหัวเราะในลำคอ เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าบุรุษที่มีสถานะเป็นพี่ชายต่างมารดาของนางกำลังรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยตรงหน้า แต่เพราะโง่งมจึงไม่กล้าแสดงออกมาเท่านั้น "เจ้าค่ะ ข้าจะไม่ทำตัววุ่นวายให้พี่ใหญ่ต้องกังวล" รอยยิ้มสดใสของเวินเยว่เล่อช่างทำให้คนทั้งสองตรงหน้าอดที่จะคลี่ยิ้มตามไม่ได้ ทั้งที่อยู่ร่วมจวนเดียวกันมาหลายปี แต่วันนี้กับเป็นครั้งแรกที่ทั้งสามรู้สึกถึงสายสัมพันธ์พี่น้องจริง ๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD