ฉันเดินมาตามทางด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ใครจะหยั่งรู้ได้ ว่าการประคองความสัมพันธ์ที่เราบังอาจคิดเกินเลยนั้นยากแค่ไหน
คำพูดที่แสนธรรมดา ใครจะคิดล่ะว่า มันจะเป็นมีดที่เชือดเฉือนหัวใจได้เป็นอย่างดี
สิ่งแรกที่อยากทำ เมื่อกลับถึงห้อง ฉันควรจะทิ้งตัวลงที่ฟูกเตียงขนาดหย่อมแล้วจมอยู่กับอารมณ์เศร้านั้นสักหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะนำพาร่างกายอันไร้หัวใจของตัวเองไปทำในสิ่งที่ควรทำ
ด้วยการกินข้าว การดูข่าวสารต่าง ๆ นานาในโลกโซเชี่ยล หรืออาจจะเลื่อนฟีดเพื่อส่องความเคลื่อนไหวของเพื่อนแต่ละคน
การที่น็อตไม่เคยรับรู้ว่าความจริงฉันรู้สึกต่อเขาแบบไหน ระยะความห่างไกลของคำว่าเพื่อนสนิทก็ยังคงเป็นอยู่ ฉันไม่อยากให้เขารู้ เพราะกลัวเสียเขาไป ฉันไม่อยากให้มันพังตั้งแต่มันยังไม่ได้เริ่ม
ความจริงฉันไม่กล้าแม้แต่จะปริปากด้วยซ้ำ ขออมพะนำคำว่ารักเอาไว้ในลำคอก็เพียงพอสำหรับหัวใจแล้ว
เรื่องอื่นช่างมันเถอะ.....
ครืด ๆ...
ขณะที่ฉันกำลังซ้อมเล่นเอ็มวีเพียงลำพัง เสียงมือถือก็ดังขึ้นแจ้งเตือนว่ามีคนต่อสายมาหา
“ฮัลโหลค่ะ”
(อโณทัยจ๋า..... เจ้าขามีเรื่องจะรบกวนได้ไหมเอ่ย)
“สองหมื่น”
(ขี้งก... ยัยแดดออกจอมขี้งก)
“ว่ามาสิคะคุณเจ้าขา......ใหญ่”
(กรี๊ด... จะฟ้องเฮียนาย)
“กลัวที่ไหน แฟนใครทำไมโนต้องกลัวล่ะ”
(มาเถอะนะ)
“มารับด้วยละกัน”
(ขอบคุณน้า... รักอโณทัยที่สุดเลย)
ฉันวางสายจากญาติคนสนิทที่เธอคิดต่างจากคนอื่น ใครหลายคนประนามว่าเจ้าขานั้นแก่แดด ที่ออกมาอยู่กินกับแฟนตั้งแต่อายุยังน้อย ยอมรับว่าฉันมีความคิดจะเข้ามาเรียนในเมืองกรุง ส่วนหนึ่งก็เพราะเจ้าขาเป็นคนชักชวนมานั่นเอง
ส่วนเรื่องที่เจ้าขานั้นเอ่ยชวน ก็เป็นกิจการเล็ก ๆ ที่แฟนของเธอนั้นทำเวลาว่างจากงานหลัก ขายแค่บางวัน และ เลือกออกขายในบางสถานที่
ปิ้งย่างหมาล่า ที่ใครหลายคนนั้นไม่ชอบเพราะกินแล้วลิ้นจะชา ส่วนบางท่านนั้นก็ชอบเพราะซาบซ่าในความรู้สึก
ด้วยความที่ฉันสนิทสนมกับเจ้าขามากที่สุด การพูดคุยกันในทุก ๆ เรื่องก็เลยจะเป็นปกติเฉกเช่นเพื่อนทั่วไป บางทีฉันอาจจะมีกำแพงที่สร้างมากั้นเพื่อนอีกกลุ่มไว้ด้วยก็ได้
“พี่เจ้านายสวัสดีค่ะ”
ฉันไหว้เคารพคนที่มีอายุกว่ามาก ๆ เขาไม่ใช่คนหล่อมาก แต่เขารักญาติของฉันมาก ๆ อันนี้ต้องยอมรับเขาเลย
“ขึ้นเลยน้องโน วันนี้เมียพี่ระริกระรี้เป็นพิเศษแน่เลย”
ฉันยิ้มรับกับคำแซวนั้น คู่นี้เขาขยันกัดกันแต่รักกันมากแทบกลืนกินหัวกันเลยทีเดียวล่ะ
บนถนนที่ผู้คนต่างพากันสัญจรไปมาในยามค่ำคืนกึ่งราตรีเช่นนี้ ช่างเป็นเมืองแสงสีที่ไม่มีวันหลับใหลเลยจริง ๆ
แม้นจะอยู่มาหลายปีเพราะเข้ามาศึกษาร่ำเรียน แต่ก็ใช่ว่าฉันจะเซียน เรื่องถนนหนทางสักเท่าไหร่ ด้วยความที่ฉันไม่ค่อยชอบไปไหนมาไหน ถ้าจะไป ก็อาศัยเพื่อนชวน หรือไม่.. ก็เป็นพี่เจ้านายมารับเหมือนกับตอนนี้
“เรียนเป็นไงบ้าง”
พลขับเอ่ยถามด้วยท่าทีสบาย
“ก็เรื่อย ๆ ค่ะ ช่วงนี้ใกล้จบแล้ว โพรเจคต์จบก็ปรึกษากับเพื่อน ๆ บ้างแล้วค่ะ”
“โนคงไม่กลับบ้านเลยหรอกใช่ไหม”
พี่เจ้านายหันมองมาเหมือนกับว่าเขากำลังเป็นห่วงการเป็นอยู่ของญาติฉันที่เป็นเมียเขา
“ถ้าโนได้งานทำที่นี่ ก็คงอยู่ยาวค่ะพี่นาย มีอะไรรึเปล่าคะ”
“ก็เจ้าขานั่นแหละ... ห่วงก็แต่ความรู้สึก เห็นคึกดีอย่างนั้นน่ะ บางทีเครียดมาก็พาพี่ใจหายอยู่นะ สงสารเมีย... ”
ฉันเข้าใจในทันควัน เพราะเจ้าขาเรียนช้ากว่าหนึ่งปี มิหนำซ้ำยังเรียนแบบไม่บอกทางบ้านอีกด้วย ปล่อยให้ใครต่อใครเข้าใจว่าหนีตามผู้ชายจะได้ไม่โดนรังควาน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผู้เป็นมารดาที่ให้กำเนิด ก็ยังคงทวงบุญคุณอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาสเสมอ
“เจ้าขาเก่งอยู่แล้วค่ะ พี่นายน่ะต้องรักเพื่อนโนให้มาก ๆ รักนางคนเดียวก็พอแล้ว คนอื่นนางไม่สนใจหรอก”
ฉันพูดติดตลกให้เขายิ้มออกได้บ้าง สองคนนี้มักไม่ค่อยแสดงความห่วงใยต่อหน้าให้อีกฝ่ายได้รู้
ส่วนฉัน... ไม่ว่าสถานการณ์ไหน ก็ยังได้รับหน้าที่เป็นคนกลางเสมอ.....
“อโณ.... คิดถึงมาก ขอกอดโหน่ย”
คนตัวเล็กรีบเข้ามาสวมกอดอย่างแสนคิดถึง ยัยจิ๋วหลิวคนนี้หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“วันนี้ตาบวม ๆ ร้องไห้มาใช่มะ”
นอกจากจะน่ารัก เธอยังจับผิดเก่งอีกด้วย
“ใครร้อง... มโนนะเราน่ะเจ้าขา”
ฉันค้านเสียงแข็ง เขกมือลงที่กลางหน้าผากมนเพื่อบ่ายเบี่ยง
วันนี้เราขายของกันอย่างสนุกสนาน พลิก ๆ ย่าง ๆ แม้กลิ่นจะค่อนข้างแรง แต่พออยู่หน้างานแบบนี้ มันก็สนุกดีเหมือนกันนะ
“คิดถึงตอนเด็กเนอะ”
จู่ ๆ รอบเอวของฉันก็ถูกมือบางนุ่มนิ่มเข้ามาเกาะไว้
“ไม่เห็นคิด ไม่น่าคิดด้วยซ้ำ”
ฉันทำเป็นไม่สน ทั้งที่ในใจนั้นรู้ดี ว่าตอนนั้นเรามีความสุขกันมากแค่ไหน
“คิดแหละทำเป็นพูด.... ตอนนั้นโนพูดเยอะกว่าตอนนี้ ขาคิดถึงอโณทัยผู้น่ารักของขาเสมอ”
นานขนาดนั้น ยังไม่ลืมอีกเหรอเนี่ย ฉันเคยสูญเสีย เลยกลายเป็นคนพูดน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่พูดเลยนี่นา
ยอมรับว่าพอได้ออกมาเจอเจ้าขา มันทำให้ฉันลืมความเสียใจก่อนหน้านี้ไปบ้าง แต่สวรรค์ดันไม่เข้าข้างเท่าไหร่ เมื่อผู้มาใหม่ที่เข้ามานั่งในโต๊ะที่ทางเราจัดวางไว้ ไม่ใช่คนอื่นคนไกล
มันคือผู้ชายที่ฉันแอบชอบ กับแฟนสาวที่ชื่อปีใหม่ของเขานั่นเอง...
“อ้าวโน... ไม่คิดว่าจะเจอ”
น็อตทักทายเมื่อเงยหน้าขึ้นมาจากการยิ้มให้แฟนสาว แล้วพอมองเห็นว่าใครเป็นคนมาจดรับรายการอาหาร เขาก็ยิ่งยิ้มกว้าง โดยไม่ได้สนใจว่าแฟนของเขาจะคิดยังไง
“รับจ็อบงานแบบนี้เหรอ”
น้ำเสียงของปีใหม่ที่ใช้ มันคือการกระแนะกระแหนอย่างเห็นได้ชัด
“เห็นเงียบ ๆ ที่แท้ก็ร้อนเงินอยู่นิ เหม็นจะตาย อย่างกับงานเสริมมันหายาก”
ฉันมองหน้าเธอ ที่ใช้คำพูดคล้ายจะหาเรื่อง แม้จะเคืองแค่ไหนก็ต้องข่มใจไว้ไม่พูดอะไรรุนแรงออกไป
“มาช่วยเพื่อนน่ะ จะรับอะไรดีล่ะ”
ฉันพยายามมองข้ามสายตาเยาะเย้ยนั้น แล้วทำหน้าที่ของตัวเองให้สิ้นสุด
“ปี... น็อตขอไปเลือกเอานะ อะไรก็ได้ใช่ไหม”
เธอพยักหน้าแบบขอไปที ผู้ชายแสนดีขี้ตามใจแฟนอย่างน็อต เลยใช้จังหวะนี้ยืนขึ้นพลางดึงแขนฉันให้เดินตามเขามาติด ๆ
“ไม่เห็นบอกเลยว่ามีเพื่อนอีกนอกจากพวกเราสี่คน”
คล้ายจะตำหนิที่ฉันเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ซึ่งถ้านับแล้ว มันก็ควรจะเป็นสิทธิส่วนตัวของฉันไม่ใช่หรือ
“รีบเลือกเถอะ เธอมองนานแล้ว เดี๋ยวก็ไม่พอใจอีก”
ฉันรีบตัดบทเมื่อได้รับรู้ถึงการส่งสายตาที่เดาว่าคงไม่พอใจนัก ที่เห็นชายที่เธอรัก จับมือถือแขนเพื่อนอย่างฉันอยู่
“อย่าถือสาปีเลยนะ”
เขากำลังจะสื่ออะไร
“เราแค่อยากมีความสุขที่สุด เท่าที่ยังมีโอกาส”
ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องตามมาย้ำถึงขนาดนี้ก็ได้มั้ง
แค่นี้ก็ทำเอาตั้งตัวให้ยืนตรงแทบไม่ไหวแล้วนะ.....