No & Not
“โอ้ย... ”
ฉันร้องขึ้นด้วยความตกใจที่จู่ ๆ ใครคนนั้นที่เดินตามหลังมา ก็ดึงข้อมือฉันไว้ให้หยุดเดิน
“เจ็บนะ”
พอรู้ว่าคนผู้นั้นมันเป็นใครฉันก็ตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“ก็ช่างสิ”
เขายังคงไม่เดือดไม่ร้อนว่าใครจะเป็นยังไง บอกว่าเจ็บแต่ก็ยังจับไว้ไม่มีผ่อนแรงลงแม้แต่น้อย
“ทำไมเป็นคนแบบนี้เนี่ยน็อต”
อดตำหนิไม่ได้จริง ๆ เขาเคยใจดีกับฉันมาก ๆ ปกป้องทุกครั้งเวลาที่ฉันโดนเพื่อนวอแว
แล้วตอนนี้ทำไมกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์แบบนี้ไปได้!
“เป็นมายี่สิบสองปีแล้ว แปลกใจไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
เอาแต่ใจอีกแล้ว คำพูดขี้เอาแต่ใจแบบนี้ทำไมฉันถึงไม่เคยสังเกตเห็น
“แล้วนี่จะพาไปไหน จะเข้าเรียนแล้ว”
“ไปคุยกันให้รู้เรื่อง ชอบคิดไปเองไม่ใช่เหรอ”
ผิดอีกแล้ว แค่ความคิดก็ผิดอีก ไม่มีใครหรอกคิดไปเอง มีแต่เขานั่นแหละ ไม่พูดเอง แล้วชอบให้คนอื่นสรุปเรื่องราวของเขาไปเอง
ฉันมองรถคันนี้ที่ตรึงสายตาอย่างนึกประหลาดใจ เขาไปเอามาจากไหน ทั้งที่ตั้งแต่ได้รู้จักกันมา น็อตก็ขี่มอเตอไซด์คันเก่าอยู่ทุกวี่ทุกวัน
“ขโมยมา พอใจยัง”
เมื่อเห็นว่าฉันเงียบแล้วเอาแต่มองรถ น็อตก็เลยให้คำตอบที่ค่อนข้างจะบ้าบิ่นไปหน่อย
“พูดอะไรบ้า ๆ หัดคิดก่อนพูดซะบ้าง”
ฉันใช้ฝ่ามือปิดเข้าที่ปากเขาเหมือนกำลังตบ คล้ายจะปรามคำพูดห่าม ๆ นั้นออกจากปาก
“มาแตะนี่คิดอะไร”
เขาขมวดคิ้วใส่ ขณะที่ฉันกำลังจะลงแรงที่ฝ่ามืออีกรอบ
“คิดว่าจะตบให้เลือดกบปากดีไหม”
และพอฉันตอบกลับไป เขาก็ถลึงตาใส่ ก่อนจะปัดมือฉันออกอย่างไม่ใยดี แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ดันหลังฉันจับยัดเข้าไปในรถหรูสีขาวอยู่ดี
บางทีน็อตเวอร์ชั่นนี้ ฉันเองก็ไม่เข้าใจในเจตนาเขาจริง ๆ
รถยนต์คันนี้โลดแล่นไปตามถนนที่เป็นสายตรงไปยังที่ไหนสักแห่ง พลขับข้างกายขับรถไปเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา ดูท่าทางขับรถคล่องเชียว สี่ปีเคยเห็นขับเป็นอยู่อย่างเดียว พอวันนี้ดันได้รู้เสียทีว่าผู้ชายคนนี้ยังมีความลับอีกมากมายที่ไม่เคยบอกกัน
ไม่เคยบอกเพื่อนเลยสักคนมั้ง!
“พวกไอ้รบมาแล้วเหรอครับ”
ฉันได้ยินคนที่ลงจากรถไป เอ่ยถามใครสักคนที่อยู่ในร้านขายกีตาร์แห่งหนึ่งที่น็อตได้พาฉันมา
ฉันมองร้านนี้ด้วยความแปลกใจนิด ๆ อยู่ในเมืองกรุงมาหลายปี แถวนี้ก็ไม่เคยมา กีตาร์ละลานตามากมายแบบนี้ก็ไม่เคยพบเห็น น็อตมาทำอะไรที่นี่กันแน่
“มาแล้ว มีแต่มึงนั่นแหละมาสายประจำ”
ชายคนนั้นว่าให้น็อตด้วยน้ำเสียงติดจะกวน ต่อยไหล่เขาหนึ่งทีแบบไม่จริงจังนัก ก่อนจะผลักหลังน็อตพลางชี้มายังจุดที่ฉันนั่งอยู่
เห้อ!
ต้องเจอกับผู้คนเยอะ ๆ ก็ต้องปั้นหน้าเป็นอีกคนไปอีก
“ลงมาสิ”
บอกเลยว่าฉันอยากจะปิดประตูรถให้หนีบมือเขานัก พามาไกลขนาดนี้ พามาในที่ที่ฉันไม่ค่อยรู้จัก เกิดน็อตทิ้งฉันไว้ ฉันก็ต้องดั้นด้นหาทางกลับหอเองงั้นเหรอ
“ไม่ไปได้ไหม”
ฉันมองหน้าเขาอย่างจริงจัง เพื่อบ่งบอกว่าฉันยังไม่อยากรู้จักใครใหม่จริง ๆ
ไม่อยากเริ่มแนะนำตัวอะไรกับใคร อยากมาเรียน เพื่อเอาความรู้กลับไปพัฒนางาน สานต่องานที่บ้านก็เท่านั้น
“อยากตัวลอยไหม”
เขาเลิ่กคิ้วเชิงถาม และ มุมปากนั้นยกขึ้นคล้ายจะยืนยันคำพูดของตัวเองกลาย ๆ
“บังคับ ชอบบังคับ”
ฉันบ่นงึมงำก่อนจะก้าวขาลงจากรถแล้วจัดระเบียบชุดของตัวเองให้เข้าที่
“พูดดี ๆ แล้วทำตาม จะบังคับไหม”
ฉันส่งสายตาค้อนขวับให้เขา ไม่ได้อยากมาด้วยสักหน่อย ไม่เคยถามความสมัครใจก่อนเลยสักนิด เอาแต่คิดว่าอยากพามา ก็บังคับให้มาแบบนี้นี่ไง
บางทีน็อตก็น่าเบื่อ!
“ง่อววว... เชี่ยน็อตควงสาวเว้ย”
ใครสักคนเอ่ยแซว ซึ่งฉันไม่แม้จะกล้าแลสายตาไปมองว่าเป็นใคร
รับรู้ได้แค่ว่าคือเสียงผู้ชาย....
“หนวกหูหน่อยนะโน”
ก่อนที่เขาจะผลักประตูห้องหนึ่งเข้าไป เขาได้เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่ใช้กับฉันเป็นปกติ
“ไอ้ควาย ไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะ”
รองเท้าไนกี้สีดำเบอร์42ถูกใครบางคนเขวี้ยงมาใส่กางเกงของน็อตจนเป็นรอยรองเท้า
ฉันผวาตกใจ จนเผลอตัวไปจับมือของน็อตไว้แน่น
ห้องนี้คับแคบ มันอัดแน่นไปด้วยเครื่องดนตรีหลายอย่าง มีกลอง มีไมค์สำหรับร้อง มีเบส มีกีตาร์ อิเล็กโทน อย่างกับเขาเหล่านี้ จะสร้างวงดนตรีอย่างนั้นแหละ
“มาก็ดีละ ผู้หญิงของมึงสร้างเรื่องอีกแล้วนะ”
คนที่นั่งอยู่หลังกลองพูดขึ้น เขายิ้มให้ฉันเป็นมารยาท ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ต่อไป
“ไหนระหองระแหง ไหนว่ามึงจะปล่อยเขาไปดัง แล้วทำไมยังวนเวียนอยู่ใกล้มึงอีกล่ะ”
คนที่นอนอยู่พูดขึ้น เขาใช้เสื้อฮู๊ดสีดำคลุมใบหน้าไว้ ร่างกายที่นอนหงายอย่างสบายใจ ขาไขว่ห้างไม่ได้สนว่าคนที่อยู่ด้วยจะคุยหรือทำอะไรทั้งนั้น
“ดันมาเกือบถึงจุดสูงสุดแล้ว ปล่อยให้เดินเองบ้าง ขาไม่ได้เดี้ยงสักหน่อย”
คราวนี้คนที่นั่งพื้นพูดขึ้น เขาคือคนที่ปารองเท้าใส่น็อต เพราะเขากำลังถอดรองเท้าเขาอยู่
พูดเหมือนน็อตมาสายเป็นชั่วโมง ทั้งที่ตัวเองพึ่งถอดรองเท้า และ อีกสองคนก็เหมือนจะไม่สนโลกภายนอกสักเท่าไหร่
นี่ฉันมาทำอะไรตรงนี้กันนะ!
“เลิกพูดถึงเถอะน่า.... รำคาญเดี๋ยวกูกลับแม่ง”
เขาดึงฉันให้ไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่ว่าง ก่อนที่เขาจะเดินไปตบหัวคนที่นอน ตบแขนคนที่นั่งหลังกลอง แล้วเตะเข้าที่หัวเข่าของคนที่ปารองเท้าใส่เขา
ทั้งสามทำเฉย ราวกับสิ่งที่น็อตได้ลงมือทำนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
แล้วทุกสายตาก็มองมายังฉัน ที่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา
“สาวคนนี้ล่ะ”
ชายผู้ปารองเท้าตั้งข้อสงสัย
“หน้าไม่คุ้นว่ะ”
ชายที่โดนตบศีรษะส่ายหัวพรืด
“หึ... ”
คนหลังกลองส่งเสียงแบบนั้นหมายความว่ายังไง
“อะไร... ก็เพื่อนกูไง”
แววตาล้อเลียนถูกส่งไปยังต้นเสียงของคนพามา
อืม...
ล้อเลียนทำไม ก็เพื่อนกันไง!