Chapter 8 / เพื่อนกันไง

1189 Words
No & Not “โอ้ย... ” ฉันร้องขึ้นด้วยความตกใจที่จู่ ๆ ใครคนนั้นที่เดินตามหลังมา ก็ดึงข้อมือฉันไว้ให้หยุดเดิน “เจ็บนะ” พอรู้ว่าคนผู้นั้นมันเป็นใครฉันก็ตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “ก็ช่างสิ” เขายังคงไม่เดือดไม่ร้อนว่าใครจะเป็นยังไง บอกว่าเจ็บแต่ก็ยังจับไว้ไม่มีผ่อนแรงลงแม้แต่น้อย “ทำไมเป็นคนแบบนี้เนี่ยน็อต” อดตำหนิไม่ได้จริง ๆ เขาเคยใจดีกับฉันมาก ๆ ปกป้องทุกครั้งเวลาที่ฉันโดนเพื่อนวอแว แล้วตอนนี้ทำไมกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์แบบนี้ไปได้! “เป็นมายี่สิบสองปีแล้ว แปลกใจไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” เอาแต่ใจอีกแล้ว คำพูดขี้เอาแต่ใจแบบนี้ทำไมฉันถึงไม่เคยสังเกตเห็น “แล้วนี่จะพาไปไหน จะเข้าเรียนแล้ว” “ไปคุยกันให้รู้เรื่อง ชอบคิดไปเองไม่ใช่เหรอ” ผิดอีกแล้ว แค่ความคิดก็ผิดอีก ไม่มีใครหรอกคิดไปเอง มีแต่เขานั่นแหละ ไม่พูดเอง แล้วชอบให้คนอื่นสรุปเรื่องราวของเขาไปเอง ฉันมองรถคันนี้ที่ตรึงสายตาอย่างนึกประหลาดใจ เขาไปเอามาจากไหน ทั้งที่ตั้งแต่ได้รู้จักกันมา น็อตก็ขี่มอเตอไซด์คันเก่าอยู่ทุกวี่ทุกวัน “ขโมยมา พอใจยัง” เมื่อเห็นว่าฉันเงียบแล้วเอาแต่มองรถ น็อตก็เลยให้คำตอบที่ค่อนข้างจะบ้าบิ่นไปหน่อย “พูดอะไรบ้า ๆ หัดคิดก่อนพูดซะบ้าง” ฉันใช้ฝ่ามือปิดเข้าที่ปากเขาเหมือนกำลังตบ คล้ายจะปรามคำพูดห่าม ๆ นั้นออกจากปาก “มาแตะนี่คิดอะไร” เขาขมวดคิ้วใส่ ขณะที่ฉันกำลังจะลงแรงที่ฝ่ามืออีกรอบ “คิดว่าจะตบให้เลือดกบปากดีไหม” และพอฉันตอบกลับไป เขาก็ถลึงตาใส่ ก่อนจะปัดมือฉันออกอย่างไม่ใยดี แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ดันหลังฉันจับยัดเข้าไปในรถหรูสีขาวอยู่ดี บางทีน็อตเวอร์ชั่นนี้ ฉันเองก็ไม่เข้าใจในเจตนาเขาจริง ๆ รถยนต์คันนี้โลดแล่นไปตามถนนที่เป็นสายตรงไปยังที่ไหนสักแห่ง พลขับข้างกายขับรถไปเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา ดูท่าทางขับรถคล่องเชียว สี่ปีเคยเห็นขับเป็นอยู่อย่างเดียว พอวันนี้ดันได้รู้เสียทีว่าผู้ชายคนนี้ยังมีความลับอีกมากมายที่ไม่เคยบอกกัน ไม่เคยบอกเพื่อนเลยสักคนมั้ง! “พวกไอ้รบมาแล้วเหรอครับ” ฉันได้ยินคนที่ลงจากรถไป เอ่ยถามใครสักคนที่อยู่ในร้านขายกีตาร์แห่งหนึ่งที่น็อตได้พาฉันมา ฉันมองร้านนี้ด้วยความแปลกใจนิด ๆ อยู่ในเมืองกรุงมาหลายปี แถวนี้ก็ไม่เคยมา กีตาร์ละลานตามากมายแบบนี้ก็ไม่เคยพบเห็น น็อตมาทำอะไรที่นี่กันแน่ “มาแล้ว มีแต่มึงนั่นแหละมาสายประจำ” ชายคนนั้นว่าให้น็อตด้วยน้ำเสียงติดจะกวน ต่อยไหล่เขาหนึ่งทีแบบไม่จริงจังนัก ก่อนจะผลักหลังน็อตพลางชี้มายังจุดที่ฉันนั่งอยู่ เห้อ! ต้องเจอกับผู้คนเยอะ ๆ ก็ต้องปั้นหน้าเป็นอีกคนไปอีก “ลงมาสิ” บอกเลยว่าฉันอยากจะปิดประตูรถให้หนีบมือเขานัก พามาไกลขนาดนี้ พามาในที่ที่ฉันไม่ค่อยรู้จัก เกิดน็อตทิ้งฉันไว้ ฉันก็ต้องดั้นด้นหาทางกลับหอเองงั้นเหรอ “ไม่ไปได้ไหม” ฉันมองหน้าเขาอย่างจริงจัง เพื่อบ่งบอกว่าฉันยังไม่อยากรู้จักใครใหม่จริง ๆ ไม่อยากเริ่มแนะนำตัวอะไรกับใคร อยากมาเรียน เพื่อเอาความรู้กลับไปพัฒนางาน สานต่องานที่บ้านก็เท่านั้น “อยากตัวลอยไหม” เขาเลิ่กคิ้วเชิงถาม และ มุมปากนั้นยกขึ้นคล้ายจะยืนยันคำพูดของตัวเองกลาย ๆ “บังคับ ชอบบังคับ” ฉันบ่นงึมงำก่อนจะก้าวขาลงจากรถแล้วจัดระเบียบชุดของตัวเองให้เข้าที่ “พูดดี ๆ แล้วทำตาม จะบังคับไหม” ฉันส่งสายตาค้อนขวับให้เขา ไม่ได้อยากมาด้วยสักหน่อย ไม่เคยถามความสมัครใจก่อนเลยสักนิด เอาแต่คิดว่าอยากพามา ก็บังคับให้มาแบบนี้นี่ไง บางทีน็อตก็น่าเบื่อ! “ง่อววว... เชี่ยน็อตควงสาวเว้ย” ใครสักคนเอ่ยแซว ซึ่งฉันไม่แม้จะกล้าแลสายตาไปมองว่าเป็นใคร รับรู้ได้แค่ว่าคือเสียงผู้ชาย.... “หนวกหูหน่อยนะโน” ก่อนที่เขาจะผลักประตูห้องหนึ่งเข้าไป เขาได้เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่ใช้กับฉันเป็นปกติ “ไอ้ควาย ไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะ” รองเท้าไนกี้สีดำเบอร์42ถูกใครบางคนเขวี้ยงมาใส่กางเกงของน็อตจนเป็นรอยรองเท้า ฉันผวาตกใจ จนเผลอตัวไปจับมือของน็อตไว้แน่น ห้องนี้คับแคบ มันอัดแน่นไปด้วยเครื่องดนตรีหลายอย่าง มีกลอง มีไมค์สำหรับร้อง มีเบส มีกีตาร์ อิเล็กโทน อย่างกับเขาเหล่านี้ จะสร้างวงดนตรีอย่างนั้นแหละ “มาก็ดีละ ผู้หญิงของมึงสร้างเรื่องอีกแล้วนะ” คนที่นั่งอยู่หลังกลองพูดขึ้น เขายิ้มให้ฉันเป็นมารยาท ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ต่อไป “ไหนระหองระแหง ไหนว่ามึงจะปล่อยเขาไปดัง แล้วทำไมยังวนเวียนอยู่ใกล้มึงอีกล่ะ” คนที่นอนอยู่พูดขึ้น เขาใช้เสื้อฮู๊ดสีดำคลุมใบหน้าไว้ ร่างกายที่นอนหงายอย่างสบายใจ ขาไขว่ห้างไม่ได้สนว่าคนที่อยู่ด้วยจะคุยหรือทำอะไรทั้งนั้น “ดันมาเกือบถึงจุดสูงสุดแล้ว ปล่อยให้เดินเองบ้าง ขาไม่ได้เดี้ยงสักหน่อย” คราวนี้คนที่นั่งพื้นพูดขึ้น เขาคือคนที่ปารองเท้าใส่น็อต เพราะเขากำลังถอดรองเท้าเขาอยู่ พูดเหมือนน็อตมาสายเป็นชั่วโมง ทั้งที่ตัวเองพึ่งถอดรองเท้า และ อีกสองคนก็เหมือนจะไม่สนโลกภายนอกสักเท่าไหร่ นี่ฉันมาทำอะไรตรงนี้กันนะ! “เลิกพูดถึงเถอะน่า.... รำคาญเดี๋ยวกูกลับแม่ง” เขาดึงฉันให้ไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่ว่าง ก่อนที่เขาจะเดินไปตบหัวคนที่นอน ตบแขนคนที่นั่งหลังกลอง แล้วเตะเข้าที่หัวเข่าของคนที่ปารองเท้าใส่เขา ทั้งสามทำเฉย ราวกับสิ่งที่น็อตได้ลงมือทำนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แล้วทุกสายตาก็มองมายังฉัน ที่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา “สาวคนนี้ล่ะ” ชายผู้ปารองเท้าตั้งข้อสงสัย “หน้าไม่คุ้นว่ะ” ชายที่โดนตบศีรษะส่ายหัวพรืด “หึ... ” คนหลังกลองส่งเสียงแบบนั้นหมายความว่ายังไง “อะไร... ก็เพื่อนกูไง” แววตาล้อเลียนถูกส่งไปยังต้นเสียงของคนพามา อืม... ล้อเลียนทำไม ก็เพื่อนกันไง!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD