เป็นที่โปรดปรานจนล่ำลือ (2)

2327 Words
เนื่องจากต้องพาบุตรีเข้าเฝ้าไทเฮา กู่จางหย่ง จึงมิได้เข้าประชุมขุนนาง ตรงมาที่ตำหนักปิงจิ้งเหอ ในตอนสายของวัน ท่าทีกระวนกระวาย เดินวนไปมาทำให้ของแม่ทัพกู่ เหมยกุ้ยฮวา ลอบหัวเราะอยู่หลายครั้ง นี่มิใช่กลัวนางทำให้ต้องโทษทั้งตระกูลหรือ แต่นางจะปลอบใจบิดาด้วยวิธีใดได้เล่า พูดก็ไม่ได้ แต่จะปล่อยให้เขาหวาดหวั่นอยู่อย่างนี้ก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย จึงตัดสินใจเอื้อมมือเล็กไปจับมือของเขาไว้ กู่จางหย่งหันมองบุตรี เห็นนางยิ้มอวดฟันซี่เล็กเรียงตัวสวยก็พลันถอนหายใจ ยิ้มอบอุ่นส่งกลับไปให้ ยกมือข้างที่วางขึ้นลูบศีรษะเล็กอย่างทะนุถนอม พร้อมกับเอ่ย "อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด คิดหลีกหนีตอนนี้ก็คงไม่ทันเสียแล้ว อย่างไรนี่ก็คงไม่ทำให้ตระกูลเราต้องจบสิ้นไปได้โดยง่ายหรอก  ฮวาเอ๋อ อย่าได้กังวลไป" กู่จางหย่งพูดให้กำลังใจบุตรี พอคิดได้ว่านางไม่รู้ความก็พ่นลมหายใจอีกครา เหมยกุ้ยฮวาได้ฟังคำปลอบโยนแทบจะหลุดหัวเราะ มิใช่เขาหรือที่แค่ได้ยินเสียงลมก็คิดว่าเป็นฝนไปเสียแล้ว  เหตุใดจึงโยนมาให้นางได้เล่า จากที่ตั้งใจจะปลอบบิดา นางจนด้วยคำพูด ไม่รู้ว่าจะทำอันใดต่อไปดี เป็นจังหวะเดียวกับที่ กงกง ตำหนักปิงจิ้งเหอ เดินตรงมาหาพอดี "กงกง" กู่จางหย่งน้อมตัวลงเอ่ยทักทาย กงกง คนสนิทของไทเฮา "ท่านแม่ทัพกู่ ไทเฮาทรงประทับรอท่านอยู่แล้ว เชิญท่านแม่ทัพ" กงกงพูดด้วยท่าทีนอบน้อม สายตารอบสังเกตเด็กน้อยตรงหน้าไปด้วย "รบกวน กงกง แล้ว เชิญกงกง" กู่จางหย่งผายมือออกให้ กงกง เป็นผู้นำทาง มือหนากุมมือเล็กของบุตรีพาเดินไปด้วยกัน เหมยกุ้ยฮวารู้สึกถึงความชื้นจากมือบิดา 'นี่หรือคนไม่กังวล เหงื่อออกเต็มมือไปหมด ท่านมิต้องห่วง ฮวาเอ๋อคนนี้ไม่ทำให้ท่านและพี่ชายต้องเดือดร้อนหรอกเจ้าค่ะ' นางกระชับมือที่จับไว้ให้แน่นขึ้น เป็นการให้กำลังใจบิดา แต่กู่จางหย่งกลับคิดไปอีกทาง พอรู้สึกถึงแรงบีบเบาๆ ที่มือ ก็เข้าใจว่าบุตรีรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา จึงรีบก้มลงมอง บุตรี แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า "พ่อจะอยู่กับเจ้า" เหมยกุ้ยฮวายิ้มแห้ง หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก การพูดไม่ได้ลำบากเกินไปแล้ว ตำหนักปิงจิ้งเหอ แม้มิใหญ่โตโอ่อ่าเท่ากับตำหนักเทียนหลงของฮ่องเต้ แต่ก็วิจิตรงดงาม แฝงไปด้วยความสงบร่มเย็นสมกับชื่อ  ปิงจิ้งเหอ  ภายในโถงรับรองประดับด้วย เครื่องลายคราม หายากหลายชิ้น ผ้าม่านโปร่งระย้าสีฟ้าเขียวปักลายดอกหมู่ตาน  (ดอกโบตั๋น) สีชมพูแซมขาว ให้ความหมายถึงความมีเกียรติ และเป็นสิริมงคล  "ทูลไทเฮา แม่ทัพกู่ กับคุณหนูกู่มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ" กงกง คนสนิทรายการลี่ไทเอาที่นั่งจิบน้ำชาอยู่ตรงโต๊ะกลางห้อง "ถวายพระพรไทเฮา ทรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี" กู่จางหย่งแสดงความเคารพเต็มพิธีการ ขาสองข้างคุกเข่าลง สองมือประสานก้มศีรษะจรดพื้น  ในขณะเดียวกัน เหมยกุ้ยฮวา ก็ทำความเคารพเต็มพิธีการเช่นกัน เพียงแต่มิได้เอ่ยคำพูดใด กู่จางหย่ง ถึงกับตกตะลึง ด้วยคิดว่าบุตรียังเล็กและไม่รู้ความ เหตุใดจึงทำความเคารพเต็มพิธีการได้งดงาม ราวกับถูกฝึกฝนมาอย่างดีเช่นนี้ "ตามสบายเถอะ ไม่ต้องมากพิธี" ลี่ไทเฮาเอ่ยพร้อมโบกมือเป็นเชิงห้ามปราม "ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ" กู่จางหย่งเอ่ย ก่อนลุกขึ้นยืน ไม่ลืมประคองเหมยกุ้ยฮวาให้ลุกขึ้นตามมาด้วย เหมยกุ้ยฮวาอดลอบมองลี่ไทเฮาไม่ได้ สตรีผู้ทรงอำนาจ ทรงศักดิ์สูงสุด แม้พระชนมายุเข้าวัยโรยรา แต่ยังคงมีเคล้าโครงความงดงาม พระเกศาสีดอกเลาประดับด้วยเครื่องผม และปิ่นทองรูปหงส์สยายปีก มีสายระย้าปลายมีไข่มุกห้อยอยู่ ทรงพระศิริโฉม งดงามโดยแท้ เพียงแต่ สายตาพินิจราวกับกำลังประเมินนาง ช่างดูไม่น่าไว้ใจเสียเลย สตรีที่อยู่ในที่ที่มีแต่ความแก่งแย่งชิงดีกันเช่นวังหลวงมาได้นานถึงเพียงนี้ จะให้เป็นสตรีในห้องหอ บอบบางอ่อนโยนได้เช่นใดเล่า นึกได้เช่นนี้เหมยกุ้ยฮวาก็พลันรู้สึกสะท้านขึ้นมา "แม่ทัพกู่ บุตรีของท่านชื่อว่าอะไรนะ" ลี่ไทเฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงท่าทีกดดัน แต่ก็ไม่อาจเรียกว่าตามสบายอย่างแท้จริง "ทูลไทเฮา บุตรีของกระหม่อม ชื่อ กู่เหมยฮวา พ่ะย่ะค่ะ" กู่จางหย่งยังคงเอ่ยวาจาอย่างนอบน้อมและมั่นคงเช่นเดิม ด้วยเห็นว่า เหมยกุ้ยฮวา ไม่ได้มีกิริยาไม่น่าดูจึงรู้สึกวางใจขึ้นมาได้บ้าง ส่วนกุ้ยเหมยฮวายังคงยืนก้มหน้าสงบนิ่ง เรียกได้ว่าเรียบร้อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน "ให้นางมาใกล้ๆ สิ เห็นว่านางน่ารักน่าเอ็นดูจนนางกำนัลแอบทิ้งงานไปเล่นกับนางอยูบ่อยๆ อายเจียขอดูหน้านางชัดๆ หน่อย" ลี่ไทเฮาเอ่ยพร้อมกับโบกมือเรียกให้เข้ามาใกล้ เหมยกุ้ยฮวาเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นบิดาผาดหนึ่ง เห็นเขาพยักหน้าให้ จึงยอบกายคารวะคราหนึ่งก่อนเดินเข้าไปเบื้องหน้าพระพักตร์แล้วคุกเข่าลง ลี่ไทเฮาเชยคางเล็กขึ้นก่อนจับให้เอียงซ้ายขวาอย่างพิจารณา เครื่องหน้าจิ้มลิ้ม ดวงตากระจ่างใสไร้พิษภัย ผิวขาวเนียนละเอียดราวหยกเนื้อดี กิริยานบนอบ เรียบร้อย ไฉน จ้าวฉงเจินจึงว่านางถูกทำร้ายจนสติเลอะเลือน มิใช่ว่าแกล้งตบตาเพื่อให้ยกเลิกงานมงคลหรอกหรือ ด้วยชีวิตในวังหลวงทำให้นางไม่เคยเชื่ออะไรได้ง่ายๆ "ฮ่องเต้บอกอายเจียว่านางป่วย"  ลี่ไทเฮาอดสงสัยไม่ได้จึงถามออกไปตรงๆ เมื่อวานหลังจากที่กู่จางหย่งกลับไปแล้ว ฮ่องเต้ฉงเจินก็เสด็จมาถวายพระพรไทเฮา พร้อมกับเล่าเรื่องบุตรีของกู่จางหย่งให้ฟัง ด้วยเห็นว่าสหายว้าวุ่นใจนัก จึงได้มาบอกกล่าวกับผู้เป็นมารดาไว้ก่อน หากบุตรีของสหายทำเรื่องไม่เหมาะสมอันใด อย่างน้อยก็อ้างอาการป่วยของนางได้ "อาการเหม่อลอย ไร้สติดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังพูดไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ" กู่จางหย่งกราบทูลลี่ไทเฮาตามตรง พูดไม่ได้ นี่ไม่เท่ากับเสียโอกาสในชีวิตไปหลายอย่างหรอกหรือ ในอกพลันเกิดความสงสาร "น่าสงสารนัก ตัวเล็กเท่านี้ ทั้งอายุเพียงเท่านี้ ต้องมาพูดไม่ได้" ลี่ไทเฮาพึมพำ พระหัตถ์ละจากคางเล็กขึ้นลูบศีรษะเหมยกุ้ยฮวาอย่างนึกเอ็นดู เหมยกุ้ยฮวาที่อยู่ใกล้ที่สุด จับน้ำเสียงและท่าทีที่เปลี่ยนไปของลี่ไทเฮาได้ จึงเงยหน้าขึ้นมองเอียงคอยิ้มประจบเต็มใบหน้า แววตาสดใสราวท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว มือเล็กยกขึ้นวางบนตักก่อนซบหน้าตามลงไป กู่จางหย่งตกใจกับท่าทางล่วงเกินไทเฮาของลูกสาว กำลังจะเอ่ยเรียกบุตรี แต่ถูกไทเฮายกมือขึ้นปรามเสียก่อน "ดูสิ...เด็กคนนี้รู้จักประจบเอาใจคนแก่ มิผิดที่นางกำนัลจะเอ็นดูเจ้า" ลี่ไทเฮาทรงพระสรวลเบาๆ อย่างพอพระทัย พระหัตถ์ยังคงลูบศีรษะเล็กบนตักไม่หยุด รู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อยตรงหน้าอย่างมาก อยากให้นางอยู่ในตำหนักให้นานอีกหน่อยจึงหันไปบอกกับแม่ทัพกู่ "แม่ทัพกู่...ท่านไปช่วยงานฮ่องเต้เถอะ ไม่ต้องห่วงฮวาเอ๋อ อายเจียจะดูแลนางให้เอง" น้ำเสียงมิได้มีแววขอร้องแต่เป็นการออกคำสั่งที่กู่จางหยางไม่สามารถปฏิเสธได้ แม่ทัพกู่หันมองไปยังลูกสาว ด้วยความเป็นห่วง แต่พอเขาเห็นรอยยิ้มที่ตอบกลับมาว่าไม่เป็นไร ก็สงบใจลง เอ่ยขอตัว "กระหม่อมทูลลา"แล้วออกจากตำหนักไป  นี่นับเป็นครั้งแรกกระมังที่บิดาเข้าใจความหมายที่นางพยายามจะบอก เหมยกุ้ยฮว่าลอบถอนใจ ไทเฮาทรงจับเด็กน้อยให้ลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตัวข้างกัน ก่อนเริ่มพูดคุย "เจ้าชื่อฮวาเอ๋อใช่หรือไม่"  เหมยกุ้ยฮวาพยักหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มติดกันสามครั้ง "พูดไม่ได้เช่นนี้ ลำบากมากหรือไม่"  เหมยกุ้ยฮวาพยักหน้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่มีรอยยิ้มน่ารักอีก ดวงตาเจือแววโศกเศร้า จนลี่ไทเฮารู้สึกใจหาย เด็กคนนี้รู้สึกเช่นไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาจนหมด มิมีเสแสร้งแกล้งทำแม้แต่น้อย ช่างบริสุทธิ์ใสซื่อเสียจริง "เช่นนั้น อายเจียเอาใจเจ้าหน่อยดีหรือไม่ ทดแทนความลำบากที่เจ้าได้รับ ดีหรือไม่" ดวงตาผลเมล็ดซิ่งมีประกายแวววาวในทันที ท่าทางตื่นเต้นดีใจของเหมยกุ้ยฮวาทำให้ไทเฮาทรงพระสรวลออกมาอีกครั้ง "เด็กดี...เด็กดี"  ไทเฮาทรงมีรับสั่งให้กงกงนำของมาให้เหมยกุ้ยฮวาเลือก ไม่นานของหลายอย่างก็ถูก กงกง และนางกำนัลลำเลียงเข้ามา ถาดหลายใบวางเรียงกันอยู่ภายในถาดเต็มไปด้วยเครื่องประดับแวววาว ทำเอาเหมยกุ้ยฮวาตาพร่ามัว ถัดไปเป็นหีบของเล่นมองดูแล้วเป็นของเล่นแปลกๆ ไม่เหมือนกันที่จ้าวหลี่จิ้นและพี่ชายของนางเคยซื้อมาให้ มีหลายชิ้นที่นางไม่เคยเห็นมากก่อน อืม..น่าสนใจยิ่งนัก แต่ที่น่าตื่นตาตื่นใจคือหีบอีกใบภายในบรรจุตำราหลายเล่ม มีอยู่เล่มหนึ่งที่เขียนว่า สมุนไพรล้ำค่า นี่แหละคือของที่เหมยกุ้ยฮวาอยากได้ที่สุด แต่...นางอยู่ในร่างเด็กอายุ ๕ ขวบ จะเลือกตำราสมุนไพรได้อย่างไรเล่า เหมยกุ้ยฮวามองตำราตรงหน้าอย่างตัดใจไม่ลง ถอนหายใจคราหนึ่งก่อนเดินไปหยิบ เก้าห่วงปริศนา (***) ขึ้นมาแล้วหันไปยิ้มตาเป็นเส้นโค้งให้ลี่ไทเฮา ก่อนยอบกายลงเป็นการแสดงความขอบคุณ  ลี่ไทเฮามองท่าทางของเด็กน้อยอย่างเอ็นดู แม้แต่แววตาหลงใหลที่เหมยกุ้ยฮวาใช้มองตำราในหีบก็ไม่รอดพ้นสายพระเนตรของลี่ไทเฮาไปได้ เด็กคนนี้เฉลียวฉลาด รู้จักเลือก และรู้จักวางตัวจริงๆ ทั้งที่มีอายุเพียง ๕ ปี กลับเปล่งประกายเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง เหมยกุ้ยฮวาอยู่เล่นในตำหนักปิงจิ้งเหอจนถึงยามเซิน ลี่ไทเฮาจึงให้ กงกง ไปส่งนางที่ตำหนักเทียนหลง ทำให้กู่จางหย่งโล่งใจเป็นอย่างมาก แต่เพียง กงกง เอ่ยประโยคที่ลี่ไทเฮามีรับสั่งให้เหมยกุ้ยฮวาเข้าวังมาพร้อมกับเขาทุกวัน เท่านั้น เข่าของแม่ทัพใหญ่ก็แทบทรุด 'สวรรค์ไยจึงลงโทษข้าเช่นนี้' กู่จางหย่งร่ำร้องในใจ กู่จางหย่งทูลลาฮ่องเต้ฉงเจินด้วยอารมณ์ที่ไม่สงบนัก แต่ฮ่องเต้ฉงเจิน กลับทรงเกษมสำราญเป็นพิเศษ เห็นทีแม่ทัพคู่บัลังก์ของเขาจะไม่สามารถหนีไปจากเขาได้โดยง่ายแล้ว เมื่อไทเฮาทรงโปรดบุตรีของแม่ทัพกู่เช่นนี้ ก็อย่าหวังจะได้ขอย้ายไปอยู่ชายแดนอีกเลย จ้างฉงเจินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกราวกับทำศึกได้รับชัยชนะ หลังจากกลับถึงจวนแม่ทัพได้ไม่นาน ก็มีขบวนของขวัญตามมาถึงจวนนับได้ราวสิบรถม้า ประกอบไปด้วยผ้าไหม แพรพรรณ เครื่องประดับ และของเล่นในหีบที่เหมยกุ้ยฮวา ไม่ได้เลือกเมื่อตอนอยู่ที่ตำหนักปิ้งจิงเหอ เป็น กงกง คนสนิทของลี่ไทเฮาเป็นผู้นำมามอบให้ แจ้งว่าไทเฮาทรงเห็นว่าที่จวนมิมีฮูหยินเกรงว่าจะไม่มีใครดูแล กู่เหมยฮวาในเรื่องของเสื้อผ้า และเครื่องประดับ จึงให้นำมามอบให้เป็นการส่วนพระองค์ กู่จางหย่งไม่ลืมมอบสินน้ำใจให้กับ กงกง ตามธรรมเนียม ก่อนกลับ กงกง หยิบตำราเล่มหนึ่งออกจากแขนเสื้อมอบให้เหมยกุ้ยฮวา  "ไทเฮาทรงรับสั่งว่า เมื่อเรียนรู้หมดแล้วก็ให้ไปทูลขอเล่มใหม่ได้" กงกงกล่าวด้วยรอยยิ้ม  เหมยกุ้ยฮวารับมาด้วยความแปลกใจระคนดีใจ รีบทำความเคารพ กงกง อย่างนอบน้อม กงกง เมื่อเห็นแววตาเป็นประกายของเหมยกุ้ยฮวาก็เข้าใจในทันทีว่า เหตุใด ลี่ไทเฮาจึงได้โปรดบุตรีแม่ทัพผู้นี้ นางฉลาด น่ารัก และน่าเอ็นดู ซื่อบริสุทธิ์อย่างหาได้ยาก กงกง กลับไปแล้ว กู่จางหย่งนั่งมองบุตรีด้วยความสงสัย ใบหน้าเล็กเปื้อนยิ้ม ที่ส่อแววประจบประแจงยังคงทำเหมือนไม่เข้าใจสายตาคาดคั้นจากเขา  "ฮวาเอ๋อ เจ้าทำอันใดไปบ้างเหตุใดจึงได้รับความโปรดปรานมากมายเช่นนี้" กู่จางหย่งเอ่ยถามบุตรี แต่ไม่ได้รับคำตอบ เหมยกุ้ยฮวาทำเพียงส่งยิ้มใสซื่อกลับมาให้ 'ท่านพ่อข้ามิได้ทำอันใดเลยเจ้าค่ะ หากแต่ผู้ใหญ่ให้ของข้าจะปฏิเสธได้เช่นไรเล่าเจ้าค่ะ' เพียงวันรุ่งขึ้นเท่านั้น ข่าวที่ไทเฮาทรงมีพระราชทานสิ่งของมากมายให้แก่บุตรีแม่ทัพ ก็เป็นที่โจษขานกันไปทั่ว ทั้งยังคาดเดากันไปต่างๆ นานา ที่ กงกง บอกว่าลี่ไทเฮาทรงมอบให้เป็นการส่วนพระองค์ พอข่าวกระจายออกไป ใยจึงกลายเป็นได้รับความโปรดปรานจนได้รับพระราชทานเล่า เหมยกุ้ยฮวาไม่เข้าใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD