ฎีกาฉบับที่ 28 (3)

2294 Words
รถม้ากลางเก่ากลางใหม่ หยุดตรงหน้าจวนแม่ทัพแห่งแคว้นฉิน  หวังกงกงรีบลงไปเคาะประตูจวน พ่อบ้านหลี่เดินออกมาพบหวังกงกง ก็จำได้โดยทันที รีบทำความเคารพด้วยความนอบน้อม  "คารวะกงกง"   "พ่อบ้านหลี่มิต้องเกรงใจ รบกวนช่วยแจ้งแม่ทัพกู่ด้วยว่า นายท่าน ฉงเจินมาพบ" หวังกงกงเลือกใช้คำและชื่อที่เป็นสามัญ เพื่อปกปิดการออกนอกวังครั้งนี้  พอได้ยินว่าผู้มาเยือนมิได้มีเพียงกงกงคนสนิทของฮ่องเต้ แต่ทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง พ่อบ้านหลี่รีบเอ่ยเชิญ "ไอ้หยา!!!  ข้าน้อยสมควรตาย เรียนเชิญนายท่านฉงเจิน เรียนเชิญกงกง" พ่อบ้านหลี่น้อมตัวแทบจะติดพื้น  หวังกงกง รีบทูลเชิญเสด็จฮ่องเต้ โดยมีพ่อบ้านหลี่นำทางไปยังห้องรับรองภายในจวนแม่ทัพ ฮ่องเต้ฉงเจินในชุดบัณฑิตธรรมดาสีขาว สายคาดเอวประดับหยกขาวเนื้อดีหายาก เสื้อคลุมตัวนอกสีน้ำเงินเข้มปักลายเมฆมงคลสีขาวเดินขอบสีเงิน  บนศีรษะครอบกวานหยกขาว ท่วงท่าสง่างาม องอาจผ่าเผย ด้วยเป็นบุรุษรูปงาม องคาพยพทั้งห้า หล่อเหลาล้ำลึก แฝงความสุขุมเยือกเย็น แผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์อย่างยากปกปิด ยามก้าวเข้าประตูเรือน สายตาทอดมองไปตามทิวทัศน์สบายตาเบื้องหน้า ด้วยจวนแม่ทัพไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่ามากนัก เพราะลักษณะนิสัยของเจ้าของจวน มิได้ชอบกอบโกยทรัพย์ หรือรักความสะดวกสบายมากนัก จวนแม่ทัพจึงเป็นจวนที่เรียบง่าย และสุขสงบยิ่ง เมื่อเดินมาถึงหน้าเรือนรับรองสายตาของฮ่องเต้ฉงเจิน พลันสะดุดกับ เด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งกอดเข่าอยู่ในศาลาริมน้ำ ท่าทางนางเหม่อลอยราวกับไม่รับรู้สิ่งใด จึงหยุดฝีเท้าลง  "นั่นใช่บุตรีของจางหย่งหรือไม่" จ้าวฉงเจินถามขึ้นโดยไม่ละสายตาจากเด็กหญิงตัวน้อย ในใจนึกอยากได้ยินคำปฏิเสธอย่างยิ่ง  หวังกงกงหันไปมองพ่อบ้านหลี่ผาดหนึ่ง ใบหน้าชราปรากฏความเศร้าใจก่อนพยักหน้ารับติดกันสองครั้ง "เรียนนายท่าน.... นั่นคือ คุณหนู กู่เหมยฮวา บุตรีคนเล็กของท่านแม่ทัพมิผิด ขอรับ" หวังกงกงรายงาน เบนสายตาไปตามผู้เป็นนาย เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็รู้สึกถึงความยุ่งยากที่กำลังจะต้องเผชิญ อาการของคุณหนูหนักถึงเพียงนี้ เรื่องนี้ไม่ง่ายเสียแล้ว ร่างสูงสง่าพลันเปลี่ยนเส้นทาง เดินตรงไปยังศาลาริมน้ำ ก่อนหยุดยืนอยู่ด้านหลังเด็กหญิงตัวน้อย สายตาเพ่งมองร่างเล็กคุดคู้อย่างพินิจ เหมยกุ้ยฮวายังคงนั่งเหม่อมองไปอย่างเลื่อนลอย แต่ละวันไม่มีอะไรให้ทำ อ่าน เขียน เย็บ ปัก ที่เธอเรียนมา เธอกลับทำไม่ได้เลย อยู่ดีๆ เด็กน้อยวัยห้าขวบลุกขึ้นมาเก่งกาจไปเสียทุกสิ่ง จากที่สติเลอะเลือน จะไม่กลายเป็นภูตผีปีศาจไปเลยหรือ ร่างเล็กที่ไม่ได้สนใจคนรอบข้าง หรือสิ่งรอบตัวใดๆ ด้วยทุกวันเหมยกุ้ยฮวา จะเป็นจุดสนใจของบ่าวรับใช้ในเรือนอยู่แล้ว ทุกคนมักมองเธอด้วยแววตาสงสาร เข้าขั้นเวทนา ซึ่งนั่นเธอก็พอเข้าใจได้อยู่ แต่ไม่ได้แปลว่าไม่อึดอัด แต่จะให้ทำอย่างไรได้ นอกจากแสร้งทำเป็นไม่สนใจ สิ่งเดียวที่เยียวยาจิตใจได้คือการจดจ่อรอให้เล่าพี่ชายกลับจากสำนักศึกษาโดยเร็ว  เมื่อยืนอยู่ราวครึ่งถ้วยชา เด็กน้อยตรงหน้ายังไม่มีทีท่าจะหันมาสนใจ จ้างฉงเจินจึงกระแอมไอ ในลำคอคราหนึ่ง แล้วรอให้นางหันมา รอคอยอีกอึดใจก็ทนไม่ไหว เอ่ยเรียกเสียงนุ่มนวลเอื้อเอ็นดู "เด็กน้อย"  อยู่ๆ มีเสียงเรียงใกล้ถึงเพียงนี้ เหมยกุ้ยฮวา สะดุ้งตกใจ แต่ไม่ได้อุทานหรือ เปล่งเสียงออกไป รีบหันกลับไปมองเจ้าของเสียงด้วยสีหน้าประหลาดใจ 'ใครกัน ท่านแม่ทัพมิใช่สั่งเด็ดขาดว่าไม่รับแขกหรอกหรือ'  ท่าทางเอียงคอ กับแววตาฉงนสงสัย ทำให้จ้าวฉงเจินผุดยิ้ม มิน่ากู่จางหย่งจึงรักและถนอมบุตรีเพียงนั้น นางช่างน่ารักไร้เดียงสายิ่งนัก  หวังกงกงกำลังจะเอ่ยแนะนำให้คุณหนูถวายความเคารพฮ่องเต้ แต่ถูกห้ามด้วยการปรายตามองเสียก่อน ถึงก้มหน้าแล้วถอยไปยืนรออยู่ด้านหลัง  จ้าวฉงเจินเดินเข้าไปนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเหมยกุ้ยฮวา ท่าทางสง่าผ่าเผย แต่ทว่ากลับมีความอบอุ่นเมตตายามมองมา ทำให้นางยกยิ้ม ยังคงเอียงคอมองสำรวจอย่างพิจารณา บุรุษผู้นี่จะว่าแต่งกายธรรมดา แต่ก็มิอาจพูดได้ว่าธรรมดา สามารถเข้ามาภายในจวนได้ทั้งที่มีคำสั่งปิดตายประตูจวน ย่อมต้องสนิทสนมกับท่านแม่ทัพมากเป็นแน่ จ้าวฉงเจินที่เห็นเด็กน้อยตรงหน้าเอียงคอมองหน้าเขาไปมาก็เอ่ยขึ้น "เจ้าคือฮวาเอ๋อรึ" เหมยกุ้ยฮวากำลังจะพยักหน้ารับคำ พลันนึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้เธอเป็นเด็กสติเลอะเลือน จะเข้าใจคำถามพวกนี้ได้อย่างไร จึงทำเพียง ยกยิ้มน่ารัก แบบโง่ๆ ส่งไปให้  "ฮวาเอ๋อพูดไม่ได้" เป็นกู่จางหย่งที่ตอบคำถามนั้น พร้อมกับก้าวเข้าไปยืนข้างๆ บุตรี น้ำเสียงไม่หนักไม่เบา แต่แฝงความเจ็บปวดอยู่หลายส่วน มือหนาวางบนศีรษะเล็กลูบเบาๆ คล้ายปลอบโยน  หลังจากที่ฮ่องเต้เสด็จมายังศาลาริมน้ำ พ่อบ้านหลี่ก็รีบไปรายงานท่านแม่ทัพอย่างรวดเร็ว และด้วยกลัวว่าฮวาเอ่อจะตกใจกลัวคนแปลกหน้า เขาจึงเร่งมาทันได้ยินคำถามของฮ่องเต้เข้าพอดี เหมยกุ้ยฮวาที่ไม่ได้เห็นหน้าบิดาของเจ้าของร่างมาหลายวัน เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างยินดี ใบหน้าของกู่จางหย่งดูอิดโรยมาก คล้ายไม่ได้หลับสนิทมากหลายคืน ดูๆ แล้วเหมือนคนตรอมใจ เธออดรู้สึกผิดไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่างให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง คิดได้ดังนั้น ร่างเล็กก็ผุดลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ตัวเดิม รอยยิ้มสดใสเต็มใบหน้า ก่อนโผเข้ากอดกู่จางหย่ง เอ่ยในใจว่า 'ท่านพ่อ...ข้าต้องขอโทษท่านด้วย' กู่จางหย่งชะงักงัน ก่อนจะยกมือขึ้นอุ้มร่างเล็กนุ่มนิ่มลอยขึ้น มือหนาตบเบาๆ ลงบนหลังเล็ก กระชับกอดบุตรีแน่นขึ้น ขอบตาแดงรื้น อย่างห้ามไม่อยู่ ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง เขาเอาแต่พร่ำโทษตนเอง เสียใจและรู้สึกผิดต่อภรรยาผู้ล่วงลับ มุ่งมั่นแก้ไขข้อผิดพลาด ไม่ได้ดูแลฮวาเอ๋อให้ดี แต่พอถูกบุตรีผู้เป็นที่รักโอบกอดเช่นนี้ สติของเขาจึงแจ่มชัดขึ้น จ้าวฉงเจินมองภาพตรงหน้าด้วยความสะเทือนใจ เขาผิดต่อสหายผู้นี้แล้วจริงๆ เขาตำหนิกู่จางหย่งที่ไม่เข้าไปคุยกับเขาด้วยตัวเอง ส่งฎีกากดดันเขาอย่างบ้าคลั่ง โมโหที่เขากล้าส่งคืนตราแม่ทัพโดยพลการ แต่มิได้คิดเลยว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้  กู่จางหย่งจะเจ็บปวดเพียงใด อดถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ "จางหย่ง..." ฮ่องเต้ฉงเจินเรียกเพียงชื่อ เพื่อให้กู่จางหย่งรู้สึกว่าเขามาอย่างมิตร มิใช่ ในฐานะฮ่องเต้กับแม่ทัพคู่บัลลังก์ กู่จางหย่งพละออกจากอ้อมกอดเล็กๆ ของบุตรี วางนางลงที่เก้าอี้ตัวเดิมที่นางนั่งก่อนหน้าแล้วหันไป ถวายความเคารพเต็มพิธีการ "ถวายพระพรฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี" เหมยกุ้ยฮวาถึงกับตกตะลึง นี่...นี่...เขาคือฮ่องเต้หรือ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่านางลบหลู่เบื้องสูงหรอกหรือ คือได้พลันผุดลงจากเก้าอี้ไปนั่งด้านข้างบิดาคว้าแขนเขามากอดแน่น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีก จ้าวฉงเจินหน้าเครียดขึ้นมาทันที กู่จางหย่งคารวะเต็มพิธีการเช่นนี้ มิใช่ ไม่ยอมคุยกับเขาในฐานะสหายหรอกหรือ ช่างดื้อดึงยิ่งนัก ฮ่องเต้ฉงเจิน แค่นเสียง "หึ" คำหนึ่ง ก่อนสะบัดมือหันหน้าหนีด้วยแรงโทสะ หวังกงกงเห็นท่าทางไม่ไดีจึงรีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์  "ท่านแม่ทัพกู่ นายท่านมาให้ฐานะ สหายเก่า ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้ รีบลุกขึ้นเถอะ" ว่าพลางประคองกู่จางหย่งให้ลุกขึ้นพร้อมกับเหมยกุ้ยฮวา  ก่อนจะกุมมือเด็กน้อยพาเดินไปส่งให้พ่อบ้านหลี่ที่ยืนอยู่ไม่ไกล "กระหม่อมขอลาออกแล้ว ตราแม่ทัพก็ส่งคืนแล้ว เหตุใดฝ่าบาทจึงยังไม่ทรงอนุญาต" ในเมื่อบอกว่ามาในฐานะสหายเก่า เขาก็คงไม่ต้องเกรงอกเกรงใจแล้วกระมัง "เจ้า!!!" จ้าวฉงเจินหันกลับมาชี้หน้ากู่จางหย่ง ก่อนจะถอนหายใจแรงๆ หนึ่งครั้งอย่างจำยอม นี่คือบุรุษคนเดียวกับที่กอดบุตรีน้ำตาคลอเมื่อครู่จริงหรือ ไยจึงเปลี่ยนไปได้รวดเร็วเพียงนี้เล่า แต่เห็นเยี่ยงนี้แล้ว จะให้เขาเป็นฮ่องเต้ใจดำ ปล่อยให้ผู้ที่เป็นทั้งสหายและแม่ทัพคู่บัลลังก์ไม่ได้รับความเป็นธรรมได้อย่างไร กู่จางหย่งยังคงยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีลดละ ยินยอม หรือ จำนนให้เห็น จ้างฉงเจินนั่งลง หวังกงกงรีบยกชุดน้ำชาเข้ามา ก่อนรินถวายอย่างเอาอกเอาใจ  "นั่ง... เรามีเรื่องต้องพูดกับเจ้า" ฮ่องเต้ฉงเจินกล่าวสั่งคล้ายไม่สั่ง เพราะน้ำเสียงเจือความขอร้องอยู่บางส่วน กู่จางหย่งยอมนั่งลง แต่ยังคงเงียบเฉยไม่ปริปาก "จางหย่ง... เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกเรา" ด้วยรู้ว่าหากแข็งขืนจ้องเอาชนะต่อไป คนดื้อด้านอย่างกู่จางหย่งไม่มีทางยอมถอยให้เขาเป็นแน่ ต้องพูดคุยกันด้วยเหตุผลเท่านั้น "ราชโองการมิอาจขัดได้ ซ้ำเป็นจางฮองเฮาที่ทูลขอราชโองการ หากทรงยกเลิกจะต้องมีปัญหากับเสนาบดีจางตามมาเป็นแน่" กู่จางหย่งอธิบาย เขาคิดดีแล้วนี่เป็นวิธีเดียวที่จะพาตัวเองและตระกูลออกมาจากเรื่องวุ่นวายได้ "เจ้าคิดแทนข้าถึงเพียงนั้นเชียว" ฉงเจินทำน้ำเสียงไม่เชื่อ ดวงตาฉายแววล้อเลียน มุมปากยกยิ้ม ดีเท่าไหร่ที่เขาตัดสินใจออกมาจวนแม่ทัพด้วยตัวเอง กู่จางหย่งผู้นี้ ไม่ทำให้ต้องผิดหวังจริงๆ เมื่อเห็นว่า กู่จางหย่งไม่มีแววล้อเล่น จ้างฉงเจิน จึงได้เอ่ยต่อ ไม่หยอกล้อเขาอีก "มีเจ้าอยู่ ข้ายังต้องกลัวเสนาบดีเฒ่าผู้นั้นด้วยหรือ แต่หากไม่มีเจ้า คิดหรือไม่ว่าอำนาจของตระกูลจางจะยิ่งใหญ่คับฟ้าขึ้นเพียงใด จางหย่ง...เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมถึงเพียงนี้ ข้ากลับนิ่งเฉยดูดาย ข้ายังถือเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้อยู่หรือ รับตราแม่ทัพของเจ้าคืนไป แล้วอย่าเอามาคืนส่งเดชอีก ส่วนเรื่องราชโองการข้าออกได้ ข้าก็เปลี่ยนได้ นับเป็นอะไร ข้าจะคืนความเป็นธรรมให้ ฮวาเอ๋อ นางจะต้องหายในเร็ววัน อีกอย่าง ฎีกาทั้งหมดของเจ้า ลายมืออัปลักษณ์นัก คราหน้าอย่าได้ส่งเข้าวังหลวงอีก เข้าใจหรือไม่"  จ้าวฉงเจินออกคำสั่ง มัวแต่ต่างคนต่างคิดกันไป หากหันหน้าเข้าคุยกันเสียแต่แรกก็ไม่ต้องโมโหอยู่นานหลายวันแล้ว ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างหวังดีแก่กัน ด้วยเขาถือทิฐิ อยากให้สหายมาขอร้อง ส่วนกู่จางหย่งก็ถือทิฐิไม่ขอร้องผู้ใด เรื่องถึงได้ยืดยาวมาขนาดนี้  กู่จางหย่งจนด้วยคำพูด ซ้ำถูกตำหนิว่าลายมืออัปลักษณ์ก็หน้าดำคล้ำ เขาตั้งใจเขียนถึงเพียงนั้น ลายเส้นหนักแน่นมั่นคง หาได้อัปลักษณ์ที่ใดไม่ ฮ่องเต้ฉงเจินกล่าวเช่นนี้มิเกินไป หน่อยหรือ เห็นฮ่องเต้ทรงแย้มพระสรวลอย่างสบายพระทัยหวังกงกงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก คนจริงจังเยี่ยงแม่ทัพกู่ กับฝ่าบาทที่ถูกประจบเอาใจจนเคยตัว จบลงเช่นนี้ถือว่าสวรรค์เมตตาผู้เฒ่าเช่นเขามากแล้ว จ้าวฉงเจินอยู่กินมื้อกลางวันที่จวนแม่ทัพ แม้เจ้าของจวนจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าใดนัก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ฮ่องเต้ทรงยอมลดเกียรติเป็นฝ่ายมาหาเขาถึงจวนก็นับว่าเมตตาตระกูลกู่อย่างที่สุดแล้ว ยิ่งได้เห็นท่าทางมีความสุข สบายอกสบายใจของฮ่องเต้ฉงเจินด้วยแล้ว กู่จางหย่งจึงไม่อยากขัด ปล่อยให้พระองค์ได้ทรงปลดวางภาระหน้าที่ไว้ชั่วคราว ผ่อนคลายสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน วันรุ่งขึ้น มีราชโองการมาถึงจวนแม่ทัพ เป็นหวังกงกงมาด้วยตัวเอง โปรดเกล้ายกเลิกงานมงคลสมรสของแม่ทัพกู่จางหย่ง และพระราชทานของปลอบขวัญให้ กู่เหมยฮวา มีขบวนยาวสุดลูกหูลูกตา ซึ่งในขบวนนั้นมีของปลอบขวัญจากฮองเฮารวมอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าฉงเจินฮ่องเต้ทรงจัดการอย่างไร เรื่องจึงจบลงเช่นนี้  จริงสิ...ในขบวนของปลอบขวัญ ยังมีหีบบรรจุฎีกา 28 ฉบับส่งคืนมา มีใบปิดหน้าหีบเขียนว่า 'ลายมืออัปลักษณ์' กำกับอยูู่ด้วย หวังกงกงถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นี่เขาผู้เฒ่าอยู่ตรงกลางระหว่างเด็กตีกันใช่หรือไม่ 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD