บุตรีผู้เป็นที่รัก

3960 Words
    ทันทีที่กู่จางหย่งเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้า พ่อบ้านหลี่วิ่งหน้าตาตื่น มาแจ้งอย่างร้อนรนว่า กู่เหมยฮวา ถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บ ใจผู้เป็นพ่อได้ฟัง ร้อนดั่งไฟสุมขอน อาศัยวิชาตัวเบาทะยานถึงหน้าเรือนบุตรีเพียงชั่วพริบตา หลี่มามา ฮูหยินของพ่อบ้านหลี่ผู้เลี้ยงดูกู่เหมยฮวารายงานทั้งน้ำตาว่า ได้ เชิญท่านหมอมาถึงแล้ว กำลังตรวจดูอาการคุณหนูอยู่ด้านใน     ตึง!!! โครม!!! เสียงดังสะท้านสะเทือนจวนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฉิน     ร่างสูงใหญ่ที่ผ่านการกรำศึกมายาวนานกว่าสิบปีเดินวนไปวนมา มือด้านหนาจากการจับดาบฟาดสิ่งกีดขวางเพื่อระบายโทสะที่ไม่อาจข่มกลั้น     ถัดไปไม่ไกล สตรีร่างแบบบางวัยไม่เกินยี่สิบปี ยืนสะดุ้งตัวสั่นไหว พลางก้ม หน้าปิดตาอย่างหวาดหวั่น ข้างกายมีสาวรับใช้คุกเข่ากอดขาด้วยความขลาด กลัวอยู่ข้างละคน     “เหตุใดจึงช้านัก ฮวาเอ๋อเป็นอย่างไรกันแน่”      กู่จางหย่ง ตวาดเสียงดังลั่น ไอสังหารแผ่กระจาย สร้างแรงกดดันไปทั่วบริเวณ บ่าวไพร่ต่างคุ้นชินแต่ก็ยังพากันตัวสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ เดิมทีแม่ทัพกู่เจ้าของจวนมิใช่คนอารมณ์ร้อน ปกครองบ่าวรับใช้ในเรือนด้วยความเมตตาแต่ด้วยเรื่องตอนนี้เกี่ยวข้องกับ กู่เหมยฮวา บุตรีคนเล็กที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ จึงไม่อาจสงบอารมณ์ลงได้โดยง่าย ทันใดบานประตูห้องก็ถูกเปิดออก ชายผู้มีผมขาวเคราขาวมองแม่ทัพเจ้าของจวนอย่างสุขุม ยกมือขึ้นประสานทำความเคารพอย่าง นอบน้อมคราหนึ่งเอ่ย     “คารวะท่านแม่ทัพกู่”      กู่จางหย่ง รีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นประสานแสดงความเคารพตอบกลับ พร้อมเอ่ยอย่างรู้สึกผิด     “ล่วงเกินท่านหมอจงแล้ว”      ถึงอย่างไรจงหลิวก็อาวุโสกว่าเขาหลายปีนัก ทั้งยังเป็นหมอมากฝีมือที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวง เขาไม่ควรเสีย กิริยาเช่นเมื่อครู่ จงหลิวพยักหน้าเข้าใจไม่ได้ถือโทษ ด้วยรู้ถึงความรักในบุตรีเพียงคนเดียวของแม่ทัพหนุ่มรุ่นลูก ว่ากันว่า หากเปรียบคุณหนูกู่เหมยฮวาในใจท่านแม่ทัพ แม้แต่ไข่มุกหรือหยกล้ำค่า ก็หาเปรียบได้ไม่     “เชิญท่านแม่ทัพ”      จงหลิวเบี่ยงตัวผายมือข้างที่ไม่ได้ไขว้หลังเชิญเจ้าของจวนให้เข้ามาด้านใน ก่อนเดินตามไปที่เตียงนอนภายในห้อง ด้านหลังยังมีพ่อบ้านหลี่ หลี่มามา และสตรีแบบบางนางนั้นกับสาวใช้ส่วนตัวสองคนตามเข้ามาด้วย         กู่จางหย่ง เพ่งมองเด็กหญิงตัวเล็กผิวขาวละเอียดราวไข่มุกที่นอนไร้สติบนเตียงกว้าง รอบศีรษะถูกผ้าสีขาวพันไว้โดยรอบ รอยสีแดงจางๆ ทำให้รู้ว่าบาดแผลภายใต้ผ้านั้นยังมีโลหิตซึมออกมาไม่หยุด แขนเรียวมีรอยแดง ช้ำทั้งสองข้าง เขาพลันรู้สึกเจ็บจุกตรงกลางอกจนต้องห่อตัว มือหนาที่สั่นเทาเอื้อมไปข้างหน้าก่อนจะหยุดชะงักลงเพราะเสียงท้วงติงของจงหลิว     “ท่านแม่ทัพโปรดให้คุณหนูได้พักอีกหน่อยเถิด แผลไม่สาหัสมาก เพียงแต่บอบช้ำรุนแรงนัก รอให้คุณหนูคืนสติข้าจะตรวจดูอีกครั้ง ตอนนี้ท่านคงอยากรู้ไม่ต่างจากข้า ว่าเหตุใดคุณหนูกู่จึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้”     กู่จางหย่งกำมือที่ชะงักค้างแน่น ตาเรียวลึกหลับลงก่อนพ่นลมหายใจเพื่อสงบโทสะอีกครั้ง เขาค้อมศีรษะให้จงหลิว หันตัวเดินนำออกมาที่โต๊ะกลางห้อง จงหลิวเดินตามออกมาเงียบๆ ต่างฝ่ ายต่างผายมือเชิญให้คนตรงข้ามนั่งลง กู่จางหย่งลงมือรินน้ำชาให้จงหลิวด้วยตัวเอง เป็นการให้เกียรติผู้อาวุโส ทั้งคู่จิบน้ำชาเพื่อผ่อนคลายก่อนเริ่มสืบสาวราวเรื่อง     “หลี่มามา”      กู่จางหย่งเอ่ยเรียกคนดูแลบุตรีหลี่มามา เป็นหญิงอายุราวห้าถึงหกสิบปี พี่เลี้ยงคนสนิทของ หยู่เยี่ยน อดีตฮูหยินแม่ทัพที่จากไปหลังจากกู่เหมยฮวาอายุได้เพียงหนึ่งปี นางรับหน้าที่ดูแลคุณหนูฮวาเอ๋อ ตามคำสั่งเสียของอดีตฮูหยิน รัก และดูแลประหนึ่งเป็นบุตรีของตน หลี่มามาก้าวออกมา ยอบกายทำความเคารพ เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ     “เรียนนายท่าน วันนี้คุณหนูเดินเล่นอยู่หน้าเรือนรอคุณชายใหญ่เหมือนเช่นทุกวันเจ้าค่ะ บ่าวกลัวว่าคุณหนูจะหิว จึงเดินไปหาของว่างในเรือนครัว เพียงชั่วครู่ ชั่วครู่เดียวเท่านั้น กลับมาก็เห็นคุณหนูถูกบ่าวรับใช้กับแม่นางท่านนี้ทุบตีอย่างน่าสงสาร บ่าวรีบวิ่งเข้าไปห้ามแต่ก็ถูกทุบตีทำร้าย ต่อเมื่อคุณหนูถูกเหวี่ยงจนหัวกระแทกกับหินหมดสติ พวกนางถึงได้หยุดมือ คุณหนูที่น่าสงสาร บ่าวดูแลคุณหนูไม่ดี ผิดต่อฮูหยินยิ่งนัก ขอนายท่านโปรดลงโทษบ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ”      หลี่มามาทิ้งตัวเข่ากระแทกพื้นดัง ปึก!!! ตามด้วยเสียงโขกศีรษะหนักๆ ติดกันอีกหลายครั้ง ปากพร่ำขอรับโทษไม่หยุด     “หลี่มามา อย่าได้ทำเช่นนี้ หากเยี่ยนเอ๋อรับรู้จะตำหนิข้าได้”      กู่จางหย่งโบกมือให้พ่อบ้านหลี่เข้ามาช่วยพยุงหลี่มามาให้ลุกขึ้น หันหน้าไปทาง ‘แม่นาง’ ที่หลี่มามากล่าวถึง จางหลีหลิว จากที่หวาดหวั่นเพราะถูกไอสังหารกดดันในคราแรกพอรู้ว่าคนที่ตนลงมือทำร้ายมิได้หมดลมหายใจลงไปก็สามารถกลับมาควบคุมตนเองได้อีกครั้ง นางนิ่งเชิดหน้ารอสายตาของกู่จางหยงอยู่ก่อนแล้ว ด้วยเป็นถึงพระญาติสนิทของจางฮองเฮา ถูกเลี้ยงดูมาเยี่ยงคุณหนูสูงศักดิ เย่อหยิ่งและเอาแต่ใจ ผูกใจรักต่อกู่จางหย่งตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ถึงขั้นยอมเป็นฮูหยินรอง แต่กลับถูกกู่จางหย่งปฏิเสธเพราะต้องการอยู่กินเพียงคู่สามีภรรยากับหยู่เยี่ยนเขาไม่ต้องการมีสามภรรยา สี่อนุ จนกระทั่งฮูหยินแม่ทัพจากไป กู่จางหย่งก็ยังคงปฏิเสธนางตลอดมาแต่จางหลีหลิวไม่ยอมพ่ายแพ้อ้อนวอนจนจางฮองเฮาเห็นใจทูลขอฮ่องเต้จ้าวฉงเจินให้ออกราชโองการพระราชทานสมรสกับแม่ทัพกู่ได้สำเร็จ วันนี้หมายมาทำความรู้จักกับบุตรีคนเล็กของว่าทีสามี ด้วยหวังว่าหากนางสามารถสนิทสนมกับแก้วตาดวงใจของเขาได้ เขา ย่อมไม่มีหนทางที่จะปฏิเสธงานมงคลได้อีกยังไม่ทันที่จางหลีหลิวจะได้เอ่ยวาจาแก้ต่าง หน้าประตูห้องก็ปรากฏร่างชายหนุ่มสามคนขึ้นพร้อมกัน     คนแรกคือองค์ชายใหญ่ จ้าวหลี่จิ้น โอรสองค์โตของฮ่องเต้และพระสนมหม่ากุ้ยเฟย ชายหนุ่มสูงสง่า วัยสิบแปดปี ผู้มีใบหน้าเรียว ดวงตาคมดุจพยัคฆ์ คิ้วหนาเข้ม ขับให้ดูดุดันแต่ทรงเสน่ห์ กลิ่นอายสูงศักดิเหนือสามัญชนสมเป็นโอรสมังกร     คนที่สองคือ กู่จางเหว่ย บุตรชายคนโตของแม่ทัพกู่ วัยสิบหกปี ผู้มีท่าทางองอาจผ่าเผย แม้รูปหน้าจะไม่งดงามเท่าองค์ชายใหญ่ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นรองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น     คนที่สามคือ กู่หวังเหว่ย บุตรชายคนรองของแม่ทัพกู่ แม้จะมีอายุเพียงสิบสามปี แต่กลับมีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ อย่างหาได้ยากที่เด็กวัยเดียวกันจะมี      เมื่อเห็นชัดว่าผู้มาใหม่เป็นใคร คนในห้องพากันลุกขึ้นแสดงความ เคารพโดยพร้อมเพรียง     “ถวายพระพรองค์ชายใหญ่”     “ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้น ลุกขึ้น”      จ้าวหลี่จิ้นกล่าวพลางโบกมือห้ามปราม ก้าวเข้าไปประคองแม่ทัพกู่ที่กำลังค้อมกายทำความเคารพ          “ท่านลุงมิต้องเกรงใจ ข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าว เสียมารยาทแล้ว”     ด้วยกู่จางหย่งเป็นสหายกับฮ่องเต้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทั้งยังเป็นแม่ทัพคู่บัลลังก์มานานหลายปี กู่จางเหว่ยก็เป็นสหายร่วมเรียนกับจ้าวหลี่จิ้นด้วยเช่นกัน องค์ชายใหญ่จึงให้ความเคารพ และเรียกขานกู่จางหย่งว่าท่านลุงอย่างสนิทสนม     “มิกล้า มิกล้า เหตุใดองค์ชายใหญ่จึงเสด็จมาถึงจวนกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ มิใช่ต้องอยู่ที่สำนักศึกษาหรือ”      กู่จางหย่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย ดูเหมือนเรื่องที่บุตรีของเขาถูกทำร้ายจะกลายเป็นเหตุจุดไฟเผาจวนเสียแล้ว     “มีคนไปแจ้ง จางเหว่ย กับ หวังเหว่ย ว่า ฮวาเอ๋อโดนทำร้าย เราจึงขอตามมาด้วยความเป็นห่วง ฮวาเอ๋อตัวเล็กถึงเพียงนั้นใครกันที่กล้าทำร้ายนาง แล้วนี่อาการเป็นอย่างไรบ้างให้เราตามหมอหลวงมาดีหรือไม่”      องค์ชายจ้าวหลี่จิ้นตรัสด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ เพราะตามหวังเหว่ยกลับมาที่จวนแม่ทัพบ่อยๆ จึงทรงเอ็นดูฮวาเอ๋อไม่ต่างจากน้องสาว เป็นโอกาสให้สองพี่น้องตระกูลกู่ทำความเคารพผู้อาวุโสพร้อมกัน จงหลิวค้อมกายเล็กน้อยรับการคารวะ     “กราบทูลองค์ชาย ท่านหมอจงตรวจอาการของฮวาเอ๋อแล้วพ่ะย่ะค่ะ อาการไม่สาหัส เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ได้สติ กระหม่อมขอขอบพระทัยองค์ชายที่ทรงเป็นห่วง ความหวังดีของพระองค์ กระหม่อมน้อมรับไว้ด้วยใจแล้ว พ่ะย่ะค่ะ”      กู่จางหย่งเอ่ยอย่างนอบน้อมในที่นี้มีจางหลีหลิวอยู่ด้วย ในวังหลังแก่งแย่งชิงตำแหน่งกันเงียบๆ มีหรือแม่ทัพอย่างกู่จางหย่งจะไม่รู้ องค์ชายรองผู้กำเหนิดจากจางฮองเฮาหวังตำแหน่งรัชทายาทเพียงใด ที่ฮองเฮาทรงทูลขอราชโองการให้เขาสมรสกับจางหลีหลิวผู้นี้ มิใช่หวังจะใช้ตำแหน่งแม่ทัพของเขาเป็นเครื่องมือเสริมอำนาจสู่การขึ้นเป็นรัชทายาทให้บุตรของตนหรอกหรือ เรื่องความสนิทชิดเชื้อความห่วงใยที่องค์ชายใหญ่มีต่อตระกูลกู่ ย่อมถึงพระเนตรพระกรรณ จางฮองเฮา จากนี้มิใช่จะวางตัวเป็นกลางได้โดยง่าย ช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก     แต่นี่ไม่ใช่เวลามาขบคิดเรื่องศึกชิงบัลลังก์ ที่ต้องห่วงคือ ฮวาเอ๋อ บุตรีผู้เป็นที่รักคิดได้เช่นนี้กู่จางหย่งไม่มีใจจะเคร่งครัดพิธีการหรือเชิญแขกให้นั่งต่อไปอีก     “แม่นางจาง เชิญอธิบาย”      กู่จางหย่งเอ่ยเรียกว่าที่ฮูหยินแม่ทัพพระราชทานอย่างให้เกียรติ แต่น้ำเสียงห้วน และกระด้างช่างขัดหูคนถูกเรียก ยิ่งนัก จางหลีหลิว ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยอบกายทำความเคารพ หน้าเชิดคอตั้ง กริยายังคงงดงาม ทว่าแฝงความเย่อหยิ่งวางตัวเหนือผู้อื่น     “ทูลองค์ชายใหญ่ เรียนท่านแม่ทัพกู่ หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อพบคุณหนูกู่หวังสานไมตรีเยี่ยงมารดากับบุตรีก่อนงานพิธีสมรส”     จางหลีหลิวหยุดพูด สูดลมหายใจลึก เพื่อเรียกสติ ความรู้สึกเก้อกระดากตีตื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่นางเป็นใคร ยังมีผู้ใดกล้าตำหนิ กล้าลงโทษนางอย่างนั้นหรือ เมื่อแน่ใจเช่นนี้จึงกล่าวต่อไปอย่างมั่นใจ     “หม่อมฉันเข้ามาภายในจวนเพราะไม่ต้องการรบกวนเวลาเล่นสนุกของคุณหนูไม่นานก็ถูกเด็กคนหนึ่งวิ่งมาชนเข้า นางสวมใส่ชุดธรรมดาไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่าเป็นคุณหนูของจวน หม่อมฉันจึงเข้าใจว่านางเป็นเพียงบ่าวรับใช้ เด็กนั่นร้องไห้ฟูมฟายมิยอมเอ่ยคำขอโทษ ด้วยเห็นว่าที่นี่เป็นจวนท่านแม่ทัพ หากปล่อยให้บ่าวไพร่ไร้มารยาท วันหน้าอาจทำให้ขายหน้าได้ หม่อมฉันจึงให้สาวใช้ลงโทษ ไม่คิดว่าเด็กคนนั้นคือ คุณหนูกู่เพคะ”     สตรีนางนี้ช่างไร้ยางอาย ด้าน!!! หน้าด้านเกินไปแล้วจริงๆ “ฮึ!!!”     จางเหว่ย และ หวังเหว่ย แค่นเสียงคำหนึ่งขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย กู่จางหย่ง หันไปตำหนิด้วยสายตา แต่บุตรทั้งสองก็หาได้สนใจไม่ด้วยรู้ว่าไม่ว่าเรื่องใดที่เกี่ยวกับ น้องสาวเพียงคนเดียวของพวกเขา บิดาไม่มีทางปล่อยผ่านไปโดยง่าย     “แม่นางจาง เป็นเพราะท่านไม่เคยพบฮวาเอ๋อ ที่ไม่รู้ว่าเป็นนางข้าพอเข้าใจได้ และจริงที่เสด็จพ่อทรงพระราชทานสมรสท่านแต่งให้ท่านลุงกู่แต่ยังมิได้แต่งมิใช่หรือ แล้วท่านอาศัยอันใดมาอบรมบ่าวในเรือนแม่ทัพเล่า”     จ้าวหลี่จิ้นถามอย่างตำหนิ สตรีผู้นี้เย่อหยิ่งบนความโง่เขลา รู้ว่าฮวาเอ๋อคือบุตรีที่ท่านแม่ทัพรักใคร่เอ็นดูเป็นที่สุด แม้แต่คำเรียกขานยังไม่สำรวม ยังหวังตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพได้อีกหรือ เมื่อถูกจ้าวหลี่จิ้นตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า จางหลีหลิวดวงตาสั่นไหวมือกำแน่นจนรู้สึกเจ็บ จึงได้สติ คิดเล่นงานนาง คิดว่านางเป็นใครกัน     “ทูลองค์ชายใหญ่ ถึงอย่างไรงานมงคลย่อมเกิดขึ้น นี่เป็นราชโองการจากฝ่าบาท ไม่ว่าใครก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ หากแค่อบรมบ่าวไพร่ในเรือนยังทำได้ไม่ดี หม่อมฉันจะกล้าสู้พระพักตร์ฮองเฮาได้หรือเพคะ”      จางหลีหลิวยังคงพูดด้วยท่าทางนอบน้อมไม่เปลี่ยน ทว่าความหมายในคำพูดนั้น มิใช่ต้องการประกาศความสำคัญของตนในใจจางฮองเฮาเพียงอย่างเดียว ยังข่มขู่แม่ทัพกู่ด้วยราชโองการของฮ่องเต้อีกด้วย     “เจ้า!!! บังอาจนัก”      จ้าวหลี่จิ้นยกนิ้วเรียวขึ้นชี้หน้าจางหลีหลิว ก่อนจะสะบัดมือลง แล้วหันมามองแม่ทัพกู่ที่ยืนฟังนิ่ง ไม่แสดงท่าทีใดๆ เมื่อเห็นองค์ชายใหญ่จ้าวหลี่จิ้นโกรธจนใบหน้าเปลี่ยนสี กู่จางหย่งลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะยังมีทางเลือกอื่นให้เดินอีกหรือ     “องค์ชายใหญ่ อย่าทรงกริ้ว ที่แม่นางจางพูดมาก็ถูก เรื่องนี้กระหม่อมจะกราบทูลฮ่องเต้ด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”      กู่จางหย่งเอ่ยตัดบท หากยังโต้เถียงกันไป จะยิ่งก่อให้เกิดรอยแผลใหญ่ขึ้น ไม่ว่าทางใดก็ไม่เป็นผลดี กับคนตระกูลกู่ทั้งสิ้น     “แต่...ท่านพ่อ!!!”     จางเหว่ย และ หวังเหว่ย พูดขึ้นพร้อมกันอีกครั้งไม่คิดว่าบิดาจะยอมให้เรื่องจบง่ายถึงเพียงนี้     “ไม่มีแต่!!! หรือพวกเจ้าไม่เชื่อฟังคำพ่ออย่างข้าแล้ว”      กู่จางหย่งตวาดเสียงลั่น ทำให้คนในห้องไม่มีใครกล้าเปิดปากอีก     “อ๊ากกกกกก!!!”      เสียงเล็กแผดขึ้นดังลั่น เรียกความสนใจจากคนทั้งหมดให้หันไปมองที่เตียง     เสียงใครดังหึ่งๆ รบกวนเวลานอนกันเนี่ย เหมยกุ้ยฮวาค่อยๆ รวบรวมสติอันน้อยนิดเข้าด้วยกันจึงพลันรู้ตัว ไม่สิ เธอตกเขา ใช่!!! เธอตกเขาตอนที่พยายามปีนไปเก็บตัวอย่างสมุนไพรหายากตัวหนึ่ง ความรู้สึกเจ็บแปลบทั่ว ร่างพลันแจ่มชัดขึ้น เจ็บที่สุดน่าจะเป็นที่ศีรษะ ตกเขาแล้วไม่ตายหรือนี่ สวรรค์เห็นใจเธอบ้างแล้วจริงๆ     ตาเรียวเล็กเปิดปรือขึ้น แสงจ้าทำให้เหมยกุ้ยฮวาต้องกะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับการมองเห็น ภาพเสาเตียงที่มีผ้าระโยงระยางปรากฏชัดขึ้น ทำไมไม่มีสายน้ำเกลือ หรือเครื่องมือกู้ชีพอยู่ใกล้ๆ เลยล่ะ ‘ทีนี่ ไม่ใช่โรงพยาบาลหรือ’ ความรู้สึกแปลกๆ ทำให้เธอตั้งใจฟังเสียงพูดคุยกัน เหมือนดังหึ่งๆ อยู่ในคราแรก เริ่มชัดเป็นคำขึ้นแล้ว เสียงที่ได้ยินเป็นคำพูดประหลาดเหมือนที่เธอเคยเรียนมา      ‘นีคงไม่ใช่คำสังเสียของบรรพบุรุษเป็นจริงขึ้นมาหรอกนะ’      เหมยกุ้ยฮวาพยายามขยับตัว แต่รู้สึกเจ็บมากเกินไป ในใจร้องขึ้นว่า ซวยแล้ว!!! ซ้ำๆ นี่มันเรื่องบ้าบอคอแตก แหวกกฎ ฟิ สิกส์ เคมี หลุมดำ ควอนตัม นิวเครียส อะตอม ที่เธอเคยศึกษาไปทั้งหมด เธอข้ามมิติเวลามาแล้วจริงๆ เธอขอถอน คำพูดที่สวรรค์เห็นใจเธอ ถอน!!! ถอนออกให้หมด!!!     หลังจากพยายามตั้งสติ รวบรวมกำลังใจอยู่พักหนึ่งเหมยกุ้ยฮวาก็สงบสติตัวเองลงได้ เธอเตรียมตัวมาเพื่อสิ่งนี้ เพราะบันทึกตกทอดจากบรรพบุรุษเล่มนั้นเล่มเดียว ที่ระบุ วัน เดือน ปี เกิดของเธอ ตั้งชื่อไว้ให้เธอ และกำหนดให้เรียนวิชาโบราณที่แสนน่าเบื่อทุกอย่าง ต้องท่องจำ สามเชื่อฟังสี่จรรยาของสตรีศาสตร์ศิลป์ ทั้งสี่ พิณ หมาก อักษร วาดภาพ ต้องเชี่ยวชาญเพื่อวันนี้ ทุกอย่างเพื่อวันนี้และแล้ววันนี้ก็มาถึงเธอต้องอยู่ต่อไป ใช้ชีวิตให้ดีรักษาต้นสกุลให้อยู่รอดปลอดภัย เหมยกุ้ยฮวาบอกกับตัวเองในนิยายย้อนอดีตที่เคยอ่านมา นางเอกมักย้อนเวลามาเป็นสาวงามล่มแคว้น วัยไม่เกินสิบห้า แล้วเธอเล่า คิดแล้วจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นมามองดู พลันดวงตาของเหมยกุ้ยฮวาต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ นะ...นี่มัน....นี่มัน....     “อ๊ากกกกกก!!!!”      เสียงเล็กแผดขึ้นดังลั่น เรียกความสนใจจากคนทั้งหมดให้หันไปมองที่เตียง     “ฮวาเอ๋อ!!!”     “คุณหนู”      เสียงเรียกร้อนรนดังขึ้นพร้อมกัน กู่จางหย่งก้าวได้รวดเร็วที่สุดตามด้วยจ้าวหลี่จิ้น จางเหว่ย และหวังเหว่ย ด้วยทั้งสี่คนมีวรยุทธ จงหลิวก้าวมาถึงเตียงก็ถูกล้อมจนปิดทางหมดเสียแล้ว เขาจึงกระแอมไอออกมาคราหนึ่ง เพื่อให้คนร้อนใจทั้งหมดเปิดทางให้ เมื่อได้สติสี่คนที่มาถึงเตียงก่อนต่างถอยหลบไปคนละก้าวเปิดทางให้จงหลิวเข้าไปตรวจดูอาการของนางร่างเล็กบนเตียงถอยกรูดจนติดด้านใน ผ้าพันศีรษะมีรอยสีแดงขยายวงใหญ่ขึ้น เหมือนการขยับตัวรวดเร็วจะทำให้บาดแผลกระเทือนจนปริออกแววตาสั่นไหวหวาดกลัว ขดตัวจนสั่นราวกับลูกนก สายตาเคลือบแคลงระแวดระวัง ทำให้บุรุษทั้งห้างุนงง เหตุใดฮวาเอ๋อของพวกเขาจึงมาท่าทางเช่นนี้     “คุณหนู ข้าจงหลิวเป็นหมอ ขอตรวจดูอาการบาดเจ็บของท่านได้หรือไม่”      จงหลิวเอ่ยอย่างอ่อนโยน มือเหี่ยวย่นตามวัยยื่นออกไปรออย่างคาดหวัง แม้เห็นถึงความผิดปกติ แต่เขาต้องการตรวจดูให้แน่ใจเสียก่อน ไม่อาจรีบด่วนสรุปได้เหมยกุ้ยฮวาตกใจที่เห็นมือป้อมๆ เล็กจ้อยของตัวเองจึงร้องออกมาเสียงดัง ยังไม่ทันได้ตั้งสติก็มีบุรุษมารุมล้อมจึงถอยหนี แต่ชายชราที่บอกว่าตัวเขาเป็นหมอ ดูสุภาพ และใจดี น่าจะพอไว้วางใจได้ นางจึงขยับตัวค่อยๆ ยื่นมือออกไป กู่จางหย่งเห็นท่าทีของบุตรีก็แทบสิ้นสติ ท่าทางหวาดกลัวเช่นนี้     มิใช่....มิใช่!!!     “ฮวาเอ๋อ เจ้าจำพ่อได้หรือไม่” ความหวาดหวั่นทำให้กู่จางหย่งโพล่งคำถามออกไป ใจภาวนาขอให้อย่าเป็นตามที่เขาคิด มือหนาหยาบคว้ามือเล็กที่ยื่นออกมายังไม่ถึงมือของอจงหลิวไว้เหมยกุ้ยฮวาดึงมือออกทันที ถอยกลับไปอยู่ด้านในสุดของเตียงอีกครั้ง พ่อหรือ พ่อใครเล่า!!!     กู่จางหย่งเซถอยหลังด้วยความปวดใจกู่จางเหว่ยรีบเข้ารับร่างของบิดาเอาไว้หันไปสบตากับจ้าวหลี่จิ้น และกู่หวังเว่ย ก่อนประคองให้ร่างซวนเซของกู่จางหย่งเดินไปนั่งที่โต๊ะกลางห้อง สองคนที่เหลือก้าวตามมา ปล่อยให้ งหลิวตรวจดูอาการฮวาเอ๋อตามลำพัง เพื่อไม่ให้นางหวาดกลัวจงหลิวเริ่มต้นตรวจชีพจรเหมยกุ้ยฮวาอีกครั้ง พันผ้าพันแผลบนศีรษะให้นางใหม่ ก่อนสอบถามถึงความทรงจำของนางอีกหลายคำถาม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่ เหมยกุ้ยฮวาตอบไม่ได้ หรือจะพูดให้ถูกคือนางไม่ตอบเอาแต่ส่ายหน้า จงหลิวจึงได้ข้อสรุปจากอาการป่วยของนาง     เหมยกุ้ยฮวา เลือกที่จะไม่พูด เพราะยังไม่คุ้นชินกับการใช้ภาษาแปลกๆ ถึงแม้จะเรียนมาแต่ก็ไม่ใช่ภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเก จึงแกล้งไม่พูด เป็นใบ้ไปก่อนสักช่วงหนึ่งแล้วกัน ปรับตัวได้เมื่อไหร่ค่อยพูดก็ไม่สาย จงหลิวเดินออกมานั่งที่โต๊ะกลางห้อง สีหน้าไม่สู้ดี เขียนใบสั่งยาส่งให้พ่อบ้านหลี่ ก่อนจะหันมาสบตากับกู่จางหย่ง ถึงแม้ไม่อยากเอ่ย แต่ก็จำเป็นต้องบอกให้ผู้เป็นบิดาของฮวาเอ๋อเข้าใจ จะได้ดูแลกันอย่างถูกต้องต่อไป     “ท่านแม่ทัพ...” จงหลิวเว้นช่วงเพื่อเรียบเรียงคำพูด     “ศีรษะของคุณหนูถูกกระแทกอย่างแรง ทำให้ความทรงจำหายไปตอนนี้แม้แต่วิธีพูดก็ยังไม่รู้” จงหลิวถอนหายใจเฮือกหนึ่งทุกคนที่ได้ฟังล้วนมีสีหน้าตกใจ ส่วนบุรุษตระกูลกู่ นั้นโกรธจนหน้าเปลี่ยนสีประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวเขียวไปแล้ว     “นางจะหายหรือไม่”      กู่จางหย่งเอ่ยถามในน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง     “ข้าเองก็มิอาจตอบได้ ต้องสุดแล้วแต่สวรรค์จะเมตตา ให้คุณหนูพักผ่อนให้มาก กินยาตามที่ข้าจัดให้อาการปวดบวมช้ำจะทุเลาภายในสามวันโปรดให้คนเฝ้าคุณหนูอย่างใกล้ชิด ระวังพิษไข้ด้วย หากมีอะไรให้คนไปตามข้าได้ ข้าขอตัวลาก่อน”     จงหลิวรีบเอ่ยลาด้วยไม่อยากเห็นความทุกข์ใจของกู่จางหย่ง บิดารักใคร่บุตรีเช่นนี้ จะทำใจยอมรับว่าลูกตัวเองสติเลอะเลือนได้เช่นใดเล่า     “ขอบคุณท่านหมอจง หลี่มามาส่งท่านหมอจงด้วย”      กู่จางหย่งลุกขึ้นคารวะจงหลิวคราหนึ่ง ก่อนหันไปมองร่างเล็กที่ยังคงขดตัวอยู่บนเตียง จงหลิวกับหลี่มามาออกไปแล้ว ความโกรธของกู่จางหย่งก็ประทุขึ้นมาอีกระลอกหันไปมองจางหลีหลิวด้วยสายตาแข็งกร้าว มือหยาบหนาก�ําแน่นจนสั่น     “เชิญแม่นางจางกลับไปเถิด ข้าไม่ส่ง” กู่จางหย่งพูดเร็วรัว แล้วหันหน้าไปอีกทาง จางหลีหลิวร้อนรนก้าวขึ้นหน้ามาหมายจะเอ่ยคำ ก็ถูก จางเหว่ยและ หวังเหว่ย ที่มีหน้าตาถมึงทึง มุมปากกระตุก ขวางทางไว้ เสียก่อน นาง จึงทำได้เพียงสะบัดแขนแล้วเดินออกไปด้วยความไม่พอใจ กู่จางหย่ง กู่จางเหว่ย และกู่หวังเหว่ย รวมทั้งจ้าวหลี่จิ้น มอง ร่างเล็กที่นั่งเหม่อลอย ด้วยใจเจ็บปวด     “ท่านพ่อ ฮวาเอ๋อสติเลอะเลือนจริงๆ หรือ”      เป็น กู่หวังเหว่ยที่ทนไม่ไหว จึงถามบิดาอย่างร้อนรน แต่ไม่มีคำใดตอบกลับมาบนเตียงร่างเล็กนั่งเหม่อ ใจคิดลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่ขึ้นเขาไปจนถึงพลาดตกเขา ยังนึกย้อนถึงสมุดบันทึกของบรรพบุรุษว่ามีเขียนสิ่งใดไว้บ้าง พ่อแม่ พี่ชาย มีบอกไว้หรือเปล่านะ จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรถ้าไม่รู้อะไรเลยเช่นนี้ ระหว่างกำลังนั่งคิดเพลินๆ กลับได้ยินคำว่า ‘สติเลอะเลือน’ ก็หันไปมองคนพูดปราดหนึ่ง เจ้าเด็กน่าตายนี่ว่าใครสติเลอะเลือน แค่แกล้งเป็นใบ้ ฉันไม่ได้เป็นบ้า!!!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD