“ที่บริษัทงานออกแบบก็มีนะคะ หนูคิดว่าน้องสามารถช่วยงานได้สบาย ๆ เลยค่ะ ที่เรียนมาก็ไม่ได้เสียเปล่านะคะ” ลิตาออกปากช่วยน้องอีกครั้ง
“ทุกวันนี้ลูกชอบเถียงแม่นะ” คำพูดสั้น ๆ ของมารดาทำให้บุตรสาวคนโตเงียบเสียง ส่วนบุตรสาวคนสุดท้องเองก็เงียบไม่ต่างกัน บรรยากาศภายในรถตอนนี้ก็เงียบจนน่าอึดอัด
ครอบครัวของเธอทำสื่อโฆษณา ในตอนนี้คนที่นั่งบริหารก็คือปรีชาและวิณี มีลูกสาวอย่างลิตาที่กำลังเรียนรู้งานเพื่อขึ้นเป็นผู้บริหารในภายภาคหน้า
รุ่งเช้ากิ่งฟ้ารีบอาบน้ำแต่งตัวออกเดินทางไปยังสถานที่จัดแสดงภาพศิลป์ เธอเรียกแท็กซี่ในการเดินทางเพราะยังไม่คุ้นชินกับเส้นทางในเมืองไทย ทั้งยังไม่เคยขับรถยนต์มาก่อน
“กิ่งมาแล้วเหรอ” อาจารย์ศิลปะเอ่ยทักทายเมื่อมองเห็นศิษย์รักที่ห่างหายกันนานหลายปี แต่ใครจะรู้ว่ากิ่งฟ้านั้นมีชื่อเสียงไม่น้อยในฐานะจินตกรคนหนึ่ง
“สวัสดีค่ะ หนูมาช้าหรือเปล่าคะ” เธอเดินเข้ามาสวมกอดอาจารย์สาวที่อายุเข้าเลขสี่แล้วแต่ก็ยังดูสาว
“ไม่สายเลย งานไม่เริ่มด้วยซ้ำเดินทางเหนื่อยไหม ครูขอโทษนะที่เชิญกิ่งกะทันหันแบบนี้”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ กิ่งเต็มใจอีกอย่างศิลปะเป็นสิ่งที่กิ่งรักน่ะค่ะ วันนี้กิ่งดีใจด้วยซ้ำที่ครูเชิญกิ่งมาร่วมงานด้วย” เธอถูกเชิญเข้ามานั่งในห้องรับรองแขก
“ไม่ได้ออกงานวาดอีกเหรอ ครูอดไม่ได้ที่จะได้เห็นงานวาดของกิ่ง” คนที่ติดตามผลงานของเธอนั้นมีมาก แต่ไม่มีสักคนที่จะรู้จักตัวจริงของนักวาดเงาเช่นเธอ
“ตอนนี้ไม่มีเวลาเลยค่ะ อีกอย่างกิ่งกำลังจะเข้าไปทำงานที่บริษัทน่ะค่ะ คงต้องหาเวลาว่างจริง ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะออกงานได้หรือเปล่า” เมื่อรับปากคนเป็นแม่แล้ว ว่าจะเข้าไปทำงานที่บริษัทกับพี่สาว
“ศิลปะมันอยู่ในสายเลือด เชื่อครูสิยังไงกิ่งก็ทิ้งความชอบของตัวเองไม่ได้หรอก ครูอยากให้กิ่งเลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบนะ บางทีครูก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ของกิ่งถึงได้คัดค้านขนาดนั้น”
“ท่านคงหวังดีน่ะค่ะ กิ่งเข้าใจค่ะว่าอาชีพนี้มันไม่ได้มั่นคงหรือสร้างรายได้มหาศาลสำหรับนักวาดหน้าใหม่แบบกิ่ง”
“ใครบอก กิ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากนะ ทำไมไม่ลองเอาตัวเลขที่ประมูลภาพได้ไปโชว์แม่ของกิ่งดูบ้างล่ะ ยังมีคนที่อยากเสพงานของกิ่งตั้งหลายคนเลยนะ ครูด้วย”
“เงินแค่นั้นสำหรับแม่แล้วคงเป็นแค่เศษเงินน่ะค่ะ” เธอพูดเสียงเบาแล้วก้มหน้ามองมือของตัวเอง มือคู่นี้คอยจับแต่ดินสอวาดรูปพอจะตัดใจทิ้งสิ่งที่ตัวเองสร้างมาแล้วก็ตัดใจไม่ลงเช่นกัน
“เอาเถอะยังไงก็ขอให้กิ่งคิดให้ดีนะมีความสุขกับสิ่งที่กิ่งเลือกแล้วกัน รอครูอยู่ข้างในหรือจะออกไปเดินดูภาพรอก็ได้นะ”
“ค่ะ” กิ่งฟ้าตัดสินใจเดินออกมาดูงานจัดนิทรรศการด้านใน ภาพที่แขวนเอาไว้ตามผนังล้วนแล้วแต่แฝงความหมาย
“สงสัยมันคือพรหมลิขิต” น้ำเสียงของชายหนุ่มดังขึ้น ทำให้หญิงสาวที่กำลังมองภาพอยู่หันมอง ดวงตากลมโตเบิกกว้างไม่คิดว่าจะได้มาเจอคนที่ไม่อยากเจอที่นี่
“.....” เธอตัดสินใจเดินหนีกลับมาที่ห้องรับรองแขกที่แยกเป็นส่วนตัว มาธัสเดินตามหลังมาเมื่อเข้ามาในห้องได้แล้วเขาไม่รอช้าที่จะลงกลอนประตูห้องรับรองในทันที
“นั่งสิ” เขาใช้สายตาให้เธอนั่งลงที่โซฟา “หรือจะนั่งตรงนี้ก็ได้นะ” มือหนาตบลงมาที่หน้าตักของตัวเอง
“เชิญคุณตามสบายเลยค่ะ” เธอกำลังสาวเท้าเดินออกจากห้องไม่อยากจะใช้อากาศหายใจร่วมกับเขาเสียด้วยซ้ำ แต่กลับถูกมาธัสเดินเข้ามาขวางทางเอาไว้ก่อน
“คุยกันก่อน” เขาเอาหลังพิงประตูห้อง “ตอนนี้หน้าห้องมีคนของพี่เฝ้าอยู่ ต่อให้เธอมีปีกก็บินหนีไม่ได้หรอก”
“เขาไม่ได้เรียกว่าพรหมลิขิตหรอก มันคงเป็นเวรกรรมของฉันมากกว่า มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา”
“ใจร้อนจังนะ” มาธัสยกยิ้มมุมปาก ใช้สายตากวาดมองร่างกายอรชรที่สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่สมกับใบหน้าของเธอ “กิ่งคนเดิมมันตายไปแล้วเหรอ”
“......”
“ถามทำไมไม่ตอบเป็นใบ้หรือไง พี่กำลังถามอยู่ได้ยินหรือเปล่า” มาธัสเดินเข้ามาใช้มือทั้งสองข้างจับที่หัวไหล่เขย่าให้เธอตอบคำถามของตัวเอง
“ปล่อยนะฉันเจ็บ!” เธอร้องออกมาเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงบีบที่หัวไหล่ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ตอบคำถามพี่มาสิ กิ่งคนเดิมมันตายไปแล้วหรือไง หรือที่ทำแบบนี้เพราะอยากแกล้งพี่กันแน่”
“คุณต้องการอะไรจากฉัน ตอนนี้ฉันจะเป็นยังไงก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับคุณ เราเป็นอะไรกันเหรอ?” เธอยกยิ้มมุมปาก ภาพวันเก่า ๆ มันกำลังย้อนเข้ามาในความคิดตอกย้ำบาดแผลลึกให้กับตัวเอง
“อย่ามาดื้อกับพี่นะกิ่ง เธอก็รู้ว่าเธอเป็นเมียพี่ พี่เป็นผู้ชายคนแรกของกิ่ง”
“แล้วยังไงคะ คิดว่าฉันจะมีแค่คุณคนเดียวหรือไง นี่ผ่านมากี่ปีแล้ว...ขอบคุณนะคะที่สอนประสบการณ์ให้ ฉันนำประสบการณ์ไปใช้อย่างชำนาญเลยล่ะ” หญิงสาวยกยิ้มมุมปากจ้องตากับเขา ไหล่ทั้งสองข้างยังคงถูกเขาบีบจนเจ็บปวด
“รู้ไหมเด็กดื้อต้องโดนอะไร อย่ามาโทษพี่นะกิ่ง เพราะกิ่งดื้อกับพี่ก่อนเอง”
*******************
มาถามหาน้องคนเก่า ที่ผ่านมาแล้วหลายปี
อิพี่มันสติดีอยู่ไหม ตอนนั้นทำไมไม่ตามน้องไป
แต่น้องก็ปากดีอยู่นะ5555