ช่อดอกไม้ของเจ้าสาว 4

1124 Words
“เดี๋ยวคุณวีร์ แอ้นไม่ได้เชิญ” อรอินทร์วิ่งไปขวางหน้าเขาไว้ “ฉันเชิญตัวเอง” พูดพลางเขาก็ผลักร่างเธอออก แล้วก้าวดุ่มๆ เข้าไปในตัวบ้าน อรอินทร์ได้แต่เกาหัวแกรกๆ ด้วยความงงงัน เธอรู้ว่าเขามาที่นี่ก็เพื่อกล่อมให้เธอย้ายไปอยู่กับแม่ที่โน่นหลังจากน้องชายเขาล้มเหลวไปแล้ว นี่คือวิธีการกล่อมของเขาอย่างนั้นหรือ? เข้ามาข้างในแล้ว ปวีร์ก็มองไปรอบๆ ห้อง ก็เห็นว่าเธอจัดบ้านได้น่าอยู่ดี ข้าวของเป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วเขาก็สะดุดเข้ากับดอกไม้แห้งที่วางอยู่มุมหนึ่ง ใช่ช่อดอกไม้จากเจ้าสาวในคืนนั้นหรือเปล่า? ทางด้านอรอินทร์ พอเห็นสายตาเขา ก็รีบเอ่ย “อ้อนเขาถือมาให้ แล้วก็เป็นคนจัดให้ แต่เดี๋ยวแอ้นจะเอาไปทิ้งแล้ว” ปวีร์เผลอยิ้ม ก็เป็นอันว่าใช่ ดอกไม้ของเจ้าสาวจริงๆ ชายหนุ่มไม่พูดอะไรอีก เขาเดินไปนั่งบนโซฟาตัวยาว ซึ่งตั้งอยู่มุมห้อง ยกขาขึ้นไขว่ห้าง เอนกายพิงพนักด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนทำมือทำนองว่าให้เธอจัดการเรื่องอาหารต่อได้ “รีบพูดแล้วรีบกลับไปจะดีกว่านะคะ” เจ้าของบ้านยืนจังก้ากลางห้อง มองเขาอย่างไม่ชอบใจ นอกจากไม่ทำตามที่เธอพูดแล้ว เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอ่านนั่นอ่านนี่อย่างไม่สนใจเธออีกด้วย “เจ้าของบ้านไม่ให้อยู่ก็ยังอยากจะอยู่ แบบนี้เขาเรียกอะไรคะ” อรอินทร์พูดขึ้นอีก “เวลาฉันหิว ฉันยิ่งดุ” เขาเงยหน้ามาเอ่ยสั้นๆ แล้วก้มลงไปสนใจมือถือต่อ อรอินทร์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่สักพักก็ยอมผละจากตรงนั้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด “บ้าอำนาจ เอาแต่สั่งๆ แถมยังหน้าด้านอีกต่างหาก เหมือนพ่อเหมือนลูกไม่มีผิด” อย่างไรก็ตาม เธอก็ถูกสอนและแม่ก็ทำให้เห็นมาตลอดเรื่องการแบ่งปันอาหาร ถ้าเรามีมากพอจะแบ่งปัน ก็ควรแบ่ง อ้อ แต่แม่ไม่ได้บอกว่าเราต้องมีน้ำใจกับคนบ้าอำนาจและหน้าด้านนี่นา! รายการอาหารของเธอวันนี้คือสปาเก็ตตี้กะเพราอกไก่ ซึ่งเธอลวกเส้นสำหรับทานเองคนเดียวเรียบร้อยแล้ว กำลังจะทำในส่วนกะเพรา ก็พอดีกับที่เสียงกดกริ่งดังขึ้น หญิงสาวต้มน้ำอีกครั้งเพื่อเตรียมลวกเส้น จากนั้นจึงหันไปเตรียมวัสดุสำหรับผัดกะเพราอกไก่เพิ่ม “ทำอะไรน่ะ” เสียงเขาดังขึ้นข้างหลัง ทำให้เธอสะดุ้งเฮือก มีดที่หั่นไก่จึงพลาดมาโดนมืออย่างช่วยไม่ได้ “อุ๊ย!” หญิงสาวร้องออกมาคำหนึ่ง และทิ้งมีดในมือทันที เพียงแค่นั้นปวีร์ก็รู้แล้วว่าเธอโดนอะไร เขาจึงจูงมือเธอไปที่อ่างล้างจานทันที “แอ้นทำเองได้” หญิงสาวขืนตัวเอาไว้ อีกคนไม่พูด และยังคงดึงมือเธอไปจนถึงอ่าง เปิดก๊อกให้น้ำไหลผ่านนิ้วเรียวของเธอ “สงสัยเวรกรรมที่คิดจะแกล้งแขกล่ะมั้ง” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้น อรอินทร์เม้มปากแน่นด้วยความฮึดฮัดขัดใจ เรื่องอะไรจะต้องมารู้ความคิดของเธอด้วยเนี่ย! “ไม่มีหลักฐานอย่าพูดลอยๆ นะคะ” “ก็นั่นสิ ไม่มีหลักฐานแล้วพูดลอยๆ ได้เหรอ” คราวนี้เขาเงยหน้าสบตาเธอ เพื่อให้รู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องใด อรอินทร์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนมองเมินทางอื่น ชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อ “อยากได้หลักฐาน แต่ไม่เข้าไปหาหลักฐาน แล้วมันจะได้มั้ย” หญิงสาวหันขวับมาสบตาเขาด้วยพยายามทำความเข้าใจในคำพูดนั้น “คุณวีร์หมายความว่า...” “อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ” พูดจบ เขาก็ปิดก๊อกน้ำ “มีปลาสเตอร์ยาหรือเปล่า” “เดี๋ยวแอ้นจัดการเองค่ะ” เธอดึงมือออกจากการถือครองของเขา แล้วเดินไปหยิบปลาสเตอร์จากตู้ยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งอยู่มุมหนึ่งของครัว หันมาอีกทีก็พบว่า เขากำลังอยู่หน้าเขียง “เดี๋ยวแอ้นทำเองค่ะ” “ก็เจ็บนิ้วไม่ใช่หรือไง” “แผลเท่ามดกัดแค่นี้เอง ถอยไปค่ะ อย่ามาเกะกะ” เธอใช้ร่างแบบบางของตนเบียดร่างใหญ่ของเขา เรื่องอะไรจะให้ทำ เดี๋ยวเขาแกล้งเธอขึ้นมาจะว่าไง “คนมันคิดจะแกล้งคนอื่นนะเนอะ เลยระแวงว่าคนอื่นเขาจะทำบ้าง” เขาไม่ยอมขยับตัว “เดี๋ยวฉันทำเอง” “ไม่เอา แอ้นจะทำ” “บอกว่าจะทำเองไง” เขาหันมาจ้องเธอดุๆ “ฉันไม่แกล้งคนด้วยวิธีการเด็กๆ แบบนี้หรอก” อรอินทร์ทำเสียงฮึในลำคอ เป็นจังหวะเดียวกับที่น้ำที่ต้มไว้เดือด เธอจึงหันไปหยิบเส้นสปาเก็ตตี้เพื่อจะลวก ส่วนเขาก็หันไปหั่นไก่ต่อ ช่วยกันทำโน่นทำนี่ เพียงไม่นาน สปาเก็ตตี้กะเพราอกไก่ก็เสร็จเรียบร้อย และมันก็น่าทานมาก จากฝีมือการจัดจานของปวีร์ อรอินทร์มองเขาทึ่งๆ ผู้ชายดุๆ มีมุมอ่อนโยนได้ขนาดนี้เลยหรือ? เอ๊ะ หรือว่า...เขาเป็นเกย์!!! ทันทีที่คิดอย่างนั้น อรอินทร์ก็ได้ยินเสียงตัวเองดังขึ้นในใจว่า เสียดาย และเพราะคิดอย่างนั้น เธอจึงลอบสังเกตเขามากขึ้น หากก็ไม่พบอะไรที่จะบ่งบอกว่าเขาเป็น แต่เดี๋ยวเธอจะให้เพื่อนที่เป็นสาวสองช่วยแสกนอีกทีเพื่อความมั่นใจ “คนที่ทำอะไรพวกนี้เป็นต้องเป็นเกย์อย่างเดียวเลยหรือไง” เสียงของเขาดังขึ้น ขณะที่เธอกำลังจ้องดูนิ้วของเขาว่ามีการกรีดหรือไม่ อรอินทร์สะดุ้งโหยง โอ๊ย อีตาบ้า เดาความคิดออกไปอีก ปวีร์หัวเราะหึหึ แล้วเอ่ยขึ้นอีก “ความจริงถ้าเธออยากพิสูจน์ว่าฉันเป็นหรือไม่เป็น มันก็พอมีวิธีนะ” ตอนที่พูดแววตาของเขาเป็นประกายแพรวพราว แววตาแบบนั้นทำให้ความดุลดลง แต่ความน่ากลัวยังเท่าเดิม เพราะมันทำให้คนขรึมๆ ดูเป็นเสือร้ายขึ้นมาทันใด “พูดเรื่องอะไร้” เธอย้อนกลับเสียงสูง แล้วก็หันไปจัดจานบนโต๊ะ จากนั้นจึงถอดผ้ากันเปื้อนออก เดินไปรินน้ำมาสองแก้ว จากนั้นจึงนั่งลงตรงข้ามเขาและเริ่มต้นทานกันไปเงียบๆ วันนั้นพอทานข้าวเสร็จแล้ว ปวีร์ก็กลับไปโดยที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องการย้ายบ้านของเธออีกแม้แต่คำเดียว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD