วันนี้หลังเลิกเรียนฉันก็ตรงกลับคอนโดของตัวเองทันที มาถึงห้องก็อาบน้ำแต่งตัวก่อนจะไปนั่งลงหน้าทีวีพร้อมกับหยิบหนังสือออกมาเพื่อทำการบ้านที่ต้องส่งพรุ่งนี้ ชีวิตนักศึกษาปีหนึ่งของฉันเนี้ยไม่ต่างจากเด็กมัธยมเลย มีการบ้านในทุกวิชาที่เรียนแล้วไหนจะต้องอ่านหนังสืออีก โอ้ยยย เหนื่อย.....
นั่งทำงานไปสักพักก็ได้รับโทรศัพท์จากแม่ที่นานๆ ท่านจะโทรมาหาที แม่บอกว่าอาทิตย์หน้าให้ฉันไปร่วมทานอาหารกับท่านเพราะท่านมีคนอยากแนะนำให้รู้จัก แม่พยายามแนะนำฉันให้กับลูกชายของเพื่อนท่านและนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่ทำแบบนี้และสุดท้ายก็จบลงที่การพูดคุยเรื่องธุรกิจเหมือนอยากเคย ฉันรู้สึกว่าแม่ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นแค่ตัวเชื่อมเพื่อขยายธุรกิจเท่านั้น....
พอวางสายจากแม่เสร็จก็ลอบถอยหายใจออกมา ก่อนจะเหม่อมองออกไปทางประตูกระจกของระเบียงห้องอย่างใช้ความคิด ความรู้สึกน้อยใจที่แม่เห็นตัวเองเป็นเพียงเครื่องมือทางธุรกิจมันแทรกซึมเข้ามาในหัวใจก่อนจะส่ายหัวเบาๆ เพื่อไล่ความคิดแล้วกันกลับมาตั้งใจทำงานต่อ....
ฉันนั่งทำงานตรงหน้าจนเสร็จแล้วก็เก็บของจากนั้นก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อหาอะไรกินแต่ยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไรเสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นมาอีกครั้งแต่เบอร์ที่โทรมาครั้งนี้ทำให้ฉันไม่อยากรับสายสักเท่าไร แต่คิดดูอีกทีฉันควรจะรับและคุยกับเขาให้เคลียร์เขาจะได้เลิกยุ่งกับฉันสักที
“ว่าไงทอยด์ มีอะไรอีก!!??” กรอกเสียงลงไม่อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก
“(คืนนี้ไปเจอกันได้ไหม ทอยด์อยากเคลียร์กับแตงกวาน่ะ)” เสียงทุ้มที่รอดสายออกมาดูเหมือนกำลังอ้อนวอนยังไงยังงั้นแต่มันใช้ไม่ได้กับฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันเองก็ตั้งใจจะเคลียร์กับเขาให้มันจบๆ แต่ติดที่ว่าคืนนี้ฉันมีนัดกับเพื่อนแล้วน่ะสิเลยตอบเขาไปว่าขอนัดวันหลังแทน
“ได้สิแต่เป็นพรุ่งนี้ได้ไหม คืนนี้ฉันไม่ว่าง”
“(ก็ได้...งั้นเจอกันที่ร้านเดิมนะ.... ทอยด์จะรอนะ)” จากนั้นฉันก็ตัดสายจากเขาทันที ก่อนจะหมุนตัวเดินออกมาจากครัวแล้วทิ้งตัวลงนอนราบไปกับโซฟาพร้อมกับหลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่าย.......
[ อิฐ ]
วันนี้ผมได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนรักอย่างไอ้ธามที่แอบไปแต่งงานโดยที่ไม่บอกพวกผม แต่พวกผมก็เข้าใจมันดีเพราะเพื่อนผมคนนี้มันเป็นคนไม่ค่อยพูดสักเท่าไรแล้วอีกอย่างมันก็บอกเองว่าโดนพ่อแม่บังคับ แต่ลึกๆ แล้วผมว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นเพราะคนอย่างไอ้ธามมันไม่มีทางยอมให้ใครมาบังคับมันได้แน่นอน ผมว่าลึกๆ แล้วมันคงคิดอะไรกับเมียป้ายแดงของมันบ้างแหละ แต่ก็ช่างเถอะครับเรื่องของเพื่อนก็คือเรื่องของเพื่อนถ้ามันอยากบอกอะไรมากกว่านี้เดี๋ยวมันบอกเองผมขี้เกียจเซ้าซี้ แต่เรื่องที่น่าสนใจกว่าคือวันนี้ดันได้เจอกับผู้หญิงที่ทึกทักว่าผมเป็นแฟนเธอเมื่อคืนนี้ด้วยสิ แต่เจ้าตัวทำเหมือนไม่เห็นผมแถมยังทำเหมือนไม่เคยเจอกันมาก่อนอีกด้วย เมินกันอย่างเห็นได้ชัด จากคนไม่รู้จักที่โมเมว่าผมเป็นแฟนเธอตอนนี้ดันกลายมาเป็นเพื่อนของเมียเพื่อนซะงั้น หลังจากนี้คงมีเรื่องอะไรสนุกๆ ให้ทำแน่นอน หึๆ....
และคืนนี้ผมก็มาร้านเหล้าของไอ้ธามกับพวกไอ้คิมหันต์และไอ้อาร์ม ร้านเหล้าร้านนี้ไอ้ธามมันตั้งใจเปิดเองและบริหารเองกับมือโดยไม่พึ่งพ่อแม่ของมันทั้งที่ตัวมันเป็นลูกชายคนเดียวของเจ้าของไร่องุ่นใหญ่โตและโรงผลิตไวน์รวมถึงบริษัทนำเข้าและส่งออกไวน์อีกรวมถึงธุรกิจต่างๆ ของครอบครัวมันอีกด้วย.... คืนนี้พวกผมออกมากันสามคนเพราะคิดว่าเพื่อนอีกคนคงติดเมียไม่ยอมออกมาแน่นอนแต่ผิดคาดเพราะสายตาของผมดันไปเห็นสามสาวเพื่อนซี้อย่างอายตา แตงกวา และน้ำหวานเข้า
“นั่นเมียไอ้ธามหรือเปล่าวะ?” เอ่ยถามเพื่อนเพื่อความแน่ใจ
“เออใช่... แล้วไอ้ธามไม่มาด้วยเหรอ?” ไอ้อาร์มที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามออกมาก่อนจะมองหาเพื่อนแต่ก็ไม่เจอ
“แต่ว่านั่นใช่ไอ้ภาคินหรือเปล่าวะ?” ไอ้คิมที่มองกลุ่มสาวๆ อยู่เอ่ยออกมาด้วยคนเมื่อเห็นผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่กับสามสาวด้วย และก็เป็นผู้ชายที่พวกผมรู้จักดีเพราะไอ้ภาคินมันมีเรื่องกับไอ้ธามก่อนหน้านี้
“อือ... เหมือนกำลังจีบอายตาอยู่เลยวะ” ผมตอบมันออกไปก่อนจะหันมามองหน้าเพื่อนอีกสองคนที่ตอนนี้กำลังยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถ่ายรูปไปล่อเสือออกจากถ้ำหน่อยสิ” ไอ้คิมหันต์ที่นั่งจิบเหล้าด้วยท่าทางสบายๆ เอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมันแต่ผมก็เห็นด้วยเลยทำตามที่มันบอก ผมถ่ายรูปแล้วส่งเข้าไปในไลน์กลุ่มจากนั้นไม่เกินสามสิบนาทีไอ้ธามก็โผล่หัวมาพร้อมกับหน้าตาบึงตึงของมัน มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเอาแต่ดื่มอย่างเดียวไม่พูดไม่จาพร้อมกับสายตาที่จ้องมองเมียไม่วางตา พวกผมที่เห็นอย่างนั้นก็ยิ้มให้กันทันทีเพราะดูเหมือนเพื่อนของผมที่มันพูดว่าแต่งงานเพราะโดนพ่อแม่บังคับและไม่ได้คิดอะไรกับน้องเขากำลังทำท่าเหมือนหึงเมียแบบสุดๆ ไปเลย
“มึงจะนั่งดูไอ้เหี้ยนั่นจีบเมียมึงอยู่อย่างนี้เนี้ยนะ?” ผมถามมันออกไปด้วยความสงสัยเพราะก่อนหน้านี้ดูเหมือนมันจะโกรธมากตอนที่มาถึงร้าน แต่พอมาตอนนี้กลับนั่งเงียบไม่พูดอะไรสักคำเอาแต่จ้องมองอายตาไม่วางตาพร้อมกับสายตาที่อ่านไม่ออกว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่พร้อมกับกรามที่ขบเข้ากันแน่นของมันด้วย
“ใจเย็นนะเว้ย... กูว่าน้องอายตาก็ไม่ได้อะไรกับไอ้เหี้ยนั่นหรอก” ไอ้อาร์มที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดขึ้นมาเพราะเห็นเพื่อนรักเอาแต่นิ่งเงียบ
“เกิดมากูไม่เคยเห็นมึงหึงใครเลย เหี้ย....ครั้งแรก” ผมที่พอรู้อาการของมันเอ่ยแซวมันออกมา ก่อนที่ไอ้คิมหันต์ตัวต้นเหตุที่ให้ผมส่งรูปไปล่อให้มันออกมาที่นี่จะเอ่ยเตือนผมพร้อมกับปรายตาไปมองหน้าไอ้ธามด้วย
“เดี๋ยวมึงก็ได้แดกตีนมันหรอก”
“ไม่ได้หึง! แค่เมียในนามจะหึงไปทำไมวะ... ก็แค่อยากจะรู้ว่ายัยนั่นจะแรดได้มากแค่ไหนถึงได้หนีออกมาเที่ยวกับไอ้เหี้ยนั่นแบบนี้” ไอ้ธามที่เงียบอยู่นานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับกระดกเหล้าที่เหลือรวดเดียวหมดแก้ว แต่ผมไม่เชื่อที่มันพูดหรอกครับเพราะดูท่าแล้วมันน่าจะหึงเขาโดยไม่รู้ตัว ผมจึงแกล้งแหย่มันไปอีกดอกแต่ดอกนี้อาจจะแรงไปหน่อยจนได้เกือบโดนฝ่าเท้าของมัน
“มึงแน่ใจนะว่าไม่ได้คิดอะไรกับน้องเขาอ่ะ... งั้นถ้ากูจีบน้องเขามึงก็ไม่ว่าอะไรใช่ป่ะ”
“มึงอยากกินตีนกูจริงๆ ใช่ไหม!!”
“เหี้ย!! กูล้อเล่น... โหดสัส” พูดกลั่วหัวเราะในลำคอ ไม่ได้กลัวคำขู่ของมันหรอกครับเพราะรู้ดีว่าอาการของเพื่อนรักตอนนี้ที่เป็นอยู่มันคืออะไร นี่ถ้าหน้าผากมันเป็นป้ายไฟนะป่านนี้คงขึ้นคำว่า หึง!!! คำโตแล้ว
สุดท้ายพอมันเห็นพวกสาวๆ เดินออกไปจากร้านมันก็เดินตามออกไปและดูเหมือนจะทะเลาะกันด้วยก่อนมันจะลากเมียกลับบ้าน พวกผมก็ยืนดูกันอยู่เงียบๆ แต่ที่ผมสนใจกว่าคงเป็นใครอีกคนที่ทำท่าเหมือนจะเมาได้ที่จนเพื่อนต้องประคองขึ้นรถนั่นแหละ แตงกวาดูเหมือนจะเมามากแต่ผมก็ไม่ได้สนใจมากนักก่อนจะแยกย้ายกันกลับ........
[ แตงกวา ]
วันต่อมา......
วันนี้หลังเลิกเรียนฉันที่ตั้งใจจะตรงกลับบ้านต้องเปลี่ยนแผนเพราะอยู่ๆ คุณอาซึ่งเป็นน้องชายของพ่อและตอนนี้ก็ดำรงค์ตำแหน่งผู้บริหารบริษัทส่งออกขนาดกลางซึ่งเป็นของพ่อของฉันที่จากไปแล้วท่านโทรมาหาแล้วบอกว่าอยากเจอฉันเพราะท่านไม่ได้เห็นหน้าหลานสาวอย่างฉันมาสักพักแล้ว พอฟังคุณอาพูดแบบนั้นมีเหรอที่จะปฏิเสธได้
ฉันขับรถตรงไปยังบริษัทของพ่อทันทีก่อนจะจอดรถแล้วเดินเข้าไปด้านใน แต่ก่อนที่จะได้ขึ้นลิฟท์ไปหาคุณอาที่ชั้นบนสุดของตึกก็ต้องชะงักเท้าไว้เพราะสายตาของฉันเหลือบไปเห็นแม่ที่กำลังเดินออกมาจากลิฟท์พร้อมกับพี่มะปราง ใจจริงไม่ได้อยากเจอแม่กับพี่สาวตอนนี้เลยแต่ก็คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว แม่ที่ก่อนหน้านี้พูดคุยอยู่กับพี่มะปรางด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่พอหันมาเห็นฉันท่านก็หุบยิ้มทันที ฉันได้แต่ถอดหายใจออกมาเบาๆ ถามว่าน้อยใจไหมกับท่าทางของแม่ที่แสดงออกมา...ก่อนหน้านี้อาจจะใช่แต่ตอนนี้ฉันชินกับมันซะแล้วเพราะตั้งแต่ที่พ่อจากไปแม่ก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันและเวลาก็ผ่านมานานหลายปีจนฉันชินชาซะแล้ว
“สวัสดีค่ะแม่” ฉันยกมือไหว้พร้อมกับฉีกยิ้มกว้างให้ท่านด้วยพลางก้าวเท้าเดินเข้าไปหาแต่ฉันเลือกที่จะไม่ทักทายพี่สาวของตัวเองเพราะฉันยังทำใจที่จะมองหน้าเธอไม่ได้
“อื้อ... แล้วนี่มาทำไมที่นี่” แม่เอ่ยทักฉันออกมาแต่สีหน้าของท่านกลับนิ่งเรียบ
“มาหาคุณอาน่ะค่ะ”
“คงมาอ้อนอะไรคุณอาอีกหละสิ หึ!!” พี่มะปรางที่ยืนอยู่ข้างแม่แสยะยิ้มใส่ฉันแต่ฉันไม่ได้สนใจเธอ
“ถ้างั้นก็ไปเถอะ” เป็นแม่ที่พูดขัดขึ้นมาเพราะไม่อยากให้ฉันกับพี่สาวมีปัญหากันต่อหน้าพนักงานบริษัท
“งั้นหนูไปก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวหนูจะแวะไปหาแม่ที่บ้านนะคะ”
“อื้อ... อ้อ! แล้วก็อย่าลืมนัดที่แม่บอกด้วยหละ มันสำคัญมากนะห้ามสาย”
“ค่ะ” ฉันยิ้มให้แม่ก่อนที่ท่านจะจับมือพี่มะปรางแล้วเดินจากไป
ฉันยืนมองแม่กับพี่สาวเดินออกไปจนลับสายตาก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปทางลิฟท์แล้วกดเลขของชั้นบนสุด ไม่นานลิฟท์ก็ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดซึ่งเป็นชั้นของผู้บริหาร
บริษัทส่งออกของพ่อฉันไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายแต่ในแต่ละปีมันก็สามารถทำกำไรมหาศาลมากพอที่จะดูแลครอบครัวของฉันให้อยู่อย่างสุขสบายได้ และตอนนี้ยังมีคุณอาที่เป็นคนจัดการทุกอย่างเลยทำให้บริษัทที่พ่อตั้งใจสร้างขึ้นมาเติบโตขึ้นจากแต่ก่อนมาก แต่คุณอาเองก็มีโรงแรมที่ต้องดูแลอยู่ด้วยดังนั้นท่านจึงไม่ค่อยได้เข้าบริษัทบ่อยนัก
“พี่แววคะ คุณอาอยู่ไหมคะ” ทันทีที่เดินมาถึงหน้าห้องของประธานบริษัทฉันก็เอ่ยถามเลขาสาวสวยหน้าห้องทันที ฉันกับพี่แววดาวรู้จักกันอยู่แล้วเลยพูดคุยกันได้ค่อยข้างจะสนิท แต่ด้วยความที่ฉันไม่ค่อยได้เข้ามาที่นี่เลยทำให้มีพนักงานไม่มากนักที่จะรู้จักฉันและถ้าเป็นพนักงานใหม่ด้วยแล้วหละก็ไม่มีใครรู้จักฉันเลยหละ....