๔
วันนี้ปลายดาวตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพราะไม่อยากคลาดกับธาดาอีก เมื่อรู้ว่าเขาตื่นเช้ามาก หล่อนจึงตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อตื่นให้เช้ายิ่งกว่า
หญิงสาวสอดชายเสื้อเชิ้ตสีเทาเข้าในกางเกงยีนสีเข้มพอดีตัว เสร็จแล้วก็คาดเข็มขัดหนังสีดำทับ แล้วคว้าหนังยางสีดำขึ้นมารัดผมเอาไว้ สำรวจใบหน้าและความเรียบร้อยแล้ว จึงคว้ารองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ออกมาจากตู้แล้วตรงไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
คนที่กำลังก้าวผ่านหน้าห้องของหล่อนเพื่อตรงไปยังบันไดถึงกับขมวดคิ้ว นัยน์ตาสีสนิมกวาดมองเจ้าของร่างระหงด้วยความกังขา แต่ที่ทำให้ปลายดาวตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าก็คือเวลานี้ใบหน้าที่เคยรกเรื้อไปด้วยหนวดเคราของธาดานั้นเกลี้ยงเกลาเสียจนหญิงสาวมองตามอย่างเผลอๆ ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเขาหน้าตาดี แต่ไม่คิดว่าพอเปลือยหน้าออกมาแล้วผิวจะดีขนาดนี้ด้วย เมื่อตัดกับความคมเข้มของคิ้วและนัยน์ตา ยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาคมคายหาตัวจับยาก จมูกโด่งๆ กับริมฝีปากได้รูปคู่นั้นอีกเล่า รูปร่างหน้าตาน่าจะไปเป็นนายแบบได้สบายๆ
“จะไปไหน” เขาทำตาดุ ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นมิตรเลยสักนิด
หญิงสาวกระแอมกระไอเมื่อรู้สึกตัวว่าความนึกคิดเริ่มออกนอกลู่นอกทาง พลางก้มลงมองตัวเองเมื่อถูกอีกฝ่ายกวาดตาสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความไม่เกรงใจ ทว่าหล่อนไม่ถือสา เพราะยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าต้องทำให้สำเร็จ
“ก็จะไปกับคุณยังไงล่ะคะ” ตอบแล้วยิ้มกว้างจนนัยน์ตาคู่งามเล็กแคบ รอยยิ้มสดใสราวดอกไม้แรกแย้มทำให้นายน้อยของปางไม้บุญถึงกับถอนหายใจพรืด
“จะไปทำไม ทำอะไรก็ไม่เป็นไปเกะกะเสียเปล่าๆ”
เขาบอกอย่างไม่ถนอมน้ำใจพร้อมกับสาวเท้าผ่านหน้าหล่อนไปทันที หญิงสาวเม้มปากแน่นพลางค้อนใส่แผ่นหลังกว้างขวับหนึ่ง ก่อนจะทำปากยื่นแล้วเดินตามไม่ลดละ
“กลับไปนอนไป๊” เขาเอ่ยขึ้นโดยไม่มองหน้าเมื่อหญิงสาวตามติดชนิดไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ
“ทำไมล่ะคะ ก็ฉันอยากเรียนรู้การทำงานจากคุณ”
ชายหนุ่มหยุดที่ประตูบานใหญ่หน้ามุข แล้วหันมามองคนตัวบางข้างกายที่ส่งแสงเป็นประกายพร้อมกลิ่นละมุนอย่างนึกรำคาญ
“ผมไม่ได้จะเข้าปาง แต่ถ้าคุณอยากจะเรียนรู้นักจะให้กำไลพาไปหาคนงานให้พวกนั้นมันสอนให้” พูดจบเขาก็วางรองเท้าลงบนพื้นแล้วสอดเท้าใส่เข้าไปในรองเท้าผ้าใบที่พอเห็นยี่ห้อก็รู้ว่าแพงลิบลิ่ว หญิงสาวนิ่วหน้าพลางสังเกตการแต่งกายที่ต่างออกไปจากทุกๆ วันของคนตรงหน้า
“คุณจะไปไหนคะ”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจยาวเหยียด ทำหน้าเบื่อหน่ายใส่หญิงสาวอีกต่างหาก ทำเอาเจ้าของกลิ่นหอมรวยรินถึงกับเม้มปากแน่น นึกอยากดึงหน้าหงิกๆ ให้ยืดย้วย
“ไปทำธุระ” พูดจบเขาก็ก้าวไปจากหน้าประตูด้วยท่วงท่าทะมัดทะแมง ไม่สนใจว่าที่ภรรยาอย่างหล่อนเลยสักนิด ทำให้หญิงสาวต้องรีบสวมรองเท้าแล้วเดินแกมวิ่งตามเขาออกไป
“ฉันไปด้วย ไปทำธุระด้วยคน”
คนที่เข้านั่งประจำที่คนขับหันขวับมามองคนที่เปิดประตูรถเข้ามานั่งข้างๆ แล้วรัดเข็มขัดเตรียมพร้อมด้วยสายตาขุ่นขวาง
“ใครอนุญาต” ตาคมๆ คล้ายมีประกายไฟแลบออกมา ทำให้หญิงสาวชักอาวุธหนึ่งเดียวที่มีออกมาสู้ทันที นั่นคือรอยยิ้มหวานหยด ที่คาดว่าน้ำผึ้งก็ยังไม่อาจเทียบเคียงได้
“ก็ ฉันมีธุระต้องพูดกับคุณ สำคัญด้วย ระหว่างคุณไปทำธุระ ให้ฉันพูดธุระของฉันไปด้วยก็ได้นี่คะ จะได้ไม่เสียเวลา เพราะพอคุณกลับมาก็ยุ่งกับงานของคุณอีก”
ธาดาถึงกับกัดฟันกรอดในความดื้อแพ่งของหญิงสาว เขาไม่แยแสรอยยิ้มอ่อนหวานที่ส่งผ่านมาเลยสักนิด มีแต่จะหงุดหงิดเสียมากกว่า
“ลงไป” เสียงของเขาเริ่มแข็ง สีหน้าก็บึ้งตึงเสียจนปลายดาวรู้สึกใจวูบดิ่ง “ผมบอกว่า ให้ลงไป ไม่ได้ยิน เหรอ!”
หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายตะคอกเสียงดังเข้าใส่ ทำให้คนตัวบางขบเม้มเรียวปากเข้าหากัน ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าตะคอกใส่หล่อนเลยสักครั้ง ส่วนมากมีแต่พูดจาไพเราะอ่อนหวานเอาใจหล่อนด้วยกันทั้งนั้น เขาเป็นคนแรกที่ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกน้อยใจทั้งที่ไม่ควรจะรู้สึกแบบนี้เลยสักนิด
ใบหน้าซีดๆ และท่าทางตกใจของปลายดาวทำให้ธาดาเม้มปากแน่น เขาเมินหน้าจากหล่อน บอกตัวเองว่าห้ามใจอ่อนให้ผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด
“คุณลงไปก่อน เอาไว้ผมกลับมาแล้วเราค่อยคุยกัน”
น้ำเสียงที่อ่อนลงนิดหน่อยนั้นทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง ริมฝีปากที่ขบเม้มกันก่อนหน้าค่อยๆ คลายจากกัน ทว่าแววตาที่มองไปยังเขานั้นละห้อยเสียจนน่าสงสาร แต่สุดท้ายนายน้อยของปางไม้บุญก็เลือกที่จะไล่หล่อนลงจากรถจนได้ในที่สุด
ร่างบางยืนมองท้ายรถยนต์ด้วยความเจ็บใจ ยกนี้หล่อนแพ้เขา แต่เอาเถอะ ไว้ยกต่อไปหล่อนต้องเป็นคนชนะเท่านั้น!
ธาดามองกระจกส่องหลังแล้วส่ายหน้าพลางยิ้มหยัน เขาเห็นหล่อนทำหน้าบึ้งแล้วจิกตาใส่ท้ายรถของเขาด้วย
“ยัยตัวแสบ คิดจะใช้มารยากับฉันงั้นเหรอ หึ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก” ยิ่งคิดถึงท่าทางหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเผลอทำหลุดออกมาหลังจากถูกเขาไล่ลงจากรถได้สำเร็จ ก็ให้รู้สึกอารมณ์ดีขนาดที่ว่าต้องเอื้อมมือไปเปิดเพลงฟังพร้อมกับฮัมไปพลางๆ กันเลยทีเดียว
ประมาณบ่ายสามโมงเย็น ปลายดาวนั่งเท้าคางอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน ดวงตาคู่งามมองออกไปไกลสุดตา กระทั่งมีถาดผลไม้วางลงบนโต๊ะจึงหันไปมอง
“ขอบใจจ้ะ” ใบหน้างามเจือยิ้มอ่อนหวานก่อนหันกลับไปมองผืนน้ำที่ไหวเป็นระลอกยังบึงเบื้องหน้าอีกครั้ง ทำให้กำไลต้องมองอย่างเป็นห่วง ท่าทางของหญิงสาวคงจะเหงาไม่น้อยทีเดียว
“เหงาหรือคะ”
คนถูกถามหันมายิ้มให้สาวใช้คนสนิทอีกครั้ง
“นิดหน่อยค่ะ ไม่มีใครยอมให้ปลายทำอะไรเลย”
หญิงสาวตอบพลางทำหน้าหงอยเสียจนคนมองถึงกับใจหาย
“โธ่” กำไลครางออกมาแผ่วเบา ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เอาอย่างนี้ไหมคะ เราให้น้อยขับรถพาไปเที่ยวที่ไร่ชากันดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งเหงาแบบนี้”
ข้อเสนอของกำไลทำให้ปลายดาวนึกขึ้นได้ทันที
“จริงด้วย ปลายลืมไปเลย” ดวงหน้าที่หงอยเหงาเมื่อครู่พลันแจ่มใสราวกับปลากระดี่ได้น้ำ กำไลเห็นแล้วให้ดีใจนัก
“ถ้าอย่างนั้นคุณปลายรออยู่ตรงนี้นะคะ พี่กำไลจะไปตามเจ้าน้อยเองค่ะ” พูดจบกำไลก็ผลุนผลันออกไปจากตรงนั้นทันที หญิงสาวมองตามร่างปราดเปรียวของอีกฝ่ายแล้วยิ้มกว้าง แต่แล้วรอยยิ้มอ่อนหวานก็จางหายเมื่อคิดถึงบิดาขึ้นมา
ระหว่างทางจากปางจนถึงไร่ชามีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งวิวทิวทัศน์และธรรมชาติยังคงสดใหม่ ราวกับว่าผืนป่าแห่งนี้ไม่เคยต้องถูกรุกรานจากชาวบ้านหรือนายทุน
“สวยจังเลยนะคะพี่กำไล ปลายเห็นมีชาวบ้านใช้ประโยชน์บนพื้นที่อยู่หลายราย แต่กลับยังดูอุดมสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ” หญิงสาวเปรยขณะมองออกไปยังข้างทาง เห็นกระท่อมหลังน้อยของชาวบ้านปลูกอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก
“เป็นเพราะมีนายใหญ่และนายน้อยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการอนุรักษ์ธรรมชาติค่ะ พืชพรรณที่ชาวบ้านปลูกกันเอาไว้ก็ได้นายน้อยอีกเหมือนกันช่วยเรื่องการหาพื้นที่วางขายให้”
หญิงสาวหันไปมองหน้ากำไลพร้อมกับนิ่วหน้า
“ยังไงคะ”
คนถูกถามยิ้มกริ่ม
“คุณปลายทราบใช่ไหมคะว่านอกจากไร่ชาแล้วเรายังมีโรงทอผ้าไหมอีกด้วย”
หญิงสาวพยักหน้า
“ทราบค่ะ”
กำไลและน้อยส่งยิ้มให้กัน
“แล้วคุณปลายรู้หรือเปล่า ว่าเราไม่ได้มีแค่นี้ แต่ยังมีปางธาดาด้วย”
“ปางธาดา” ปลายดาวทวนคำอย่างงุนงง
“ใช่ครับคุณปลาย ปางธาดาเป็นพื้นที่ของนายน้อย ที่อนุญาตให้พวกชาวบ้านชาวดอยแถวนี้อาศัยทำกิน จนเริ่มเสื่อมโทรมแล้วมันก็ติดกับเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย มีบางพวกที่ชอบลักลอบเข้าไปตัดไม้ ไหนจะพวกนายพรานล่าสัตว์ นายน้อยทนไม่ไหวก็เลยเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง ก็ติดต่อเจ้าหน้าที่เข้าไปจัดการพวกลักลอบนี่แหละครับ จากนั้นก็มานั่งประชุมว่าจะทำยังไงให้คนพวกนั้นเลิกลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ก็เลยก่อตั้งปางธาดาขึ้นมาเลย คุณปลายไม่เคยได้ยินชื่อเหรอครับ ปางธาดาดังจะตายไป พี่กำไลเปิดเพจให้คุณปลายดูหน่อยเถอะ ว่าที่นายหญิงน้อยของเราจะตกข่าวนี้ไม่ได้เลยนะครับ”
ปลายดาวแก้มร้อนฉ่าขึ้นมาทันทีที่น้อยกล่าวเช่นนั้น กำไลยื่นโทรศัพท์ให้อย่างรวดเร็ว หญิงสาวจึงรับไปดู
ปลายนิ้วเรียวราวลำเทียนเลื่อนดูภาพบนเพจปางธาดา ทันทีที่เห็นภาพโพรโมตหญิงสาวก็ต้องนิ่งงัน ‘การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์’ จำนวนยอดถูกใจเรือนแสนปลายๆ และคอมเมนต์อีกมากมาย ส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางที่ดีหญิงสาวอ่านความเห็นเหล่านั้นด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก หล่อนไม่เคยรู้มาก่อนว่าปางธาดาที่ว่านี้เป็นของผู้ชายที่หล่อนกำลังจะร่วมชีวิตด้วย และพบว่าสถานที่หลายจุดนั้นคุ้นตาหล่อนเหลือเกิน
“รู้สึกคุ้นๆ นะคะ”
น้อยกับกำไลยิ้มออกมาแทบจะพร้อมกัน
“ถึงไม่รู้จักยังไงก็ต้องผ่านตาบ้างแหละค่ะ ที่ปางธาดามีรายการทีวีมาขอถ่ายทำเยอะแยะไปหมด ไหนจะพวกยูทูบเบอร์อีกหลายต่อหลายคน ไม่เชื่อลองเสิร์ชชื่อปางธาดาดูสิคะ รับประกันว่าขึ้นมาแทบไม่ทันเลย”
กำไลคุยโวอย่างภูมิใจราวกับเป็นผลงานของตนเอง อันที่จริงคงกำลังภูมิใจในตัวเจ้านายของตนเสียมากกว่า ทำให้หญิงสาวว่าที่นายหญิงของปางธาดาอดใจไม่ได้จนต้องทำตาม แล้วก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้ ทั้งรายการทีวี เว็บไซต์ช่องยูทูบ นิตยสาร ต่างเคยมาขอถ่ายทำรายการที่ปางธาดาแล้วแทบทั้งนั้น กระแสตอบรับยังดีเยี่ยม
“ปลายชักอยากเห็นเสียแล้วสิ ทางเส้นนี้ถ้าจะไปที่ปางธาดาใช้เวลานานไหมคะ”
คำถามของหญิงสาวทำให้น้อยยิ้มกว้าง
“ไม่นานหรอกครับ ถึงแยกหน้าก็เลี้ยวไปได้เลย ใช้เวลาแค่ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถึงปางธาดาแล้วครับ พอดีทางนี้เป็นทางลัดน่ะครับ”
ได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวก็ยิ้มกว้างอย่างถูกใจ
“ถ้าอย่างนั้น จะว่าอะไรไหมถ้าปลายจะขอเปลี่ยนใจไปปางธาดาแทนไร่ชาของคุณลุง”
น้อยและกำไลยิ้มออกมาพร้อมกันทันที
“ก็แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ” สิ้นเสียงของน้อย เจ้ารถสมรรถนะแกร่งก็พาหญิงสาวมุ่งหน้าตรงไปยังปางธาดาอย่างไม่อิดออด เพราะอยากอวดว่าสิ่งที่นายน้อยของพวกตนทำนั้นมันสุดยอดแค่ไหน จึงไม่ได้ฉุกคิดเลยสักนิดว่ากำลังพานายหญิงไปพบเจอกับสิ่งที่ไม่ควรเจอ...