3

2503 Words
๓ น้อยกลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกเลื่อนขึ้นลงนับครั้งไม่ถ้วน รู้สึกขนพองสยองเกล้าเมื่อคิดถึงอารมณ์โกรธของนายน้อย เพราะทุกคนรับรู้คำสั่งเด็ดขาดของอีกฝ่ายว่าไม่ให้ใครหน้าไหนพาผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในที่ที่นายน้อยทำงาน ทว่าในความคิดหวาดกลัวของน้อยนั้นก้ำกึ่ง เพราะนอกจากคุณปลายดาวคนสวยจะไม่ใช่ใครที่ไหนแล้ว ยังมีฐานะเป็นถึงว่าที่นายหญิงน้อยของปางไม้บุญอีกด้วย คิดเสียแบบนี้แล้วน้อยค่อยสบายใจขึ้น หายใจได้สะดวกกว่าที่ผ่านมา คนที่ก้าวลงจากรถกระบะทำให้เจ้าของร่างสูงที่กำลังเตรียมตัวเดินทางถึงกับเขม้นตามอง สายตาคมกริบตวัดไปยังน้อยที่ทำหน้าซีดพร้อมกับหลบตาของเขาจ้าละหวั่น ต่างจากแม่นางฟ้านางสวรรค์ที่ก้าวเข้ามาหาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน หากมองกันให้ดีๆ จะเห็นความท้าทายจากแววตาคู่งามออกมาด้วย “มาทำไม” คำแรกที่หลุดจากปากว่าที่สามีของปลายดาว ก็ทำให้หญิงสาวถึงกับสะอึก แต่สิ่งที่หญิงสาวทำคือการฉีกยิ้มหวานๆ ส่งให้เขา ขณะที่กำไลหน้าเผือดสีไปนานแล้ว “มีเรื่องต้องคุยกับคุณค่ะ พอจะมีเวลาว่างไหมคะ สักห้านาทีก็ได้”  ดวงตาคู่งามที่มองเขานิ่งทำให้ชายหนุ่มยกข้อมือขึ้นดูเวลา  “ผมต้องไปเดี๋ยวนี้” สิ้นเสียงทุ้ม เสียงของลูกน้องที่กระโดดขึ้นรถเรียบร้อยก็ตะโกนบอก “พร้อมแล้วครับนาย” “มีอะไรเอาไว้คุยกันตอนผมกลับมา” ร่างสูงผละจากหญิงสาวอย่างรวดเร็ว ทว่าปลายดาวกลับเดินตามเขาไปไม่ลดละ กำไลทำตาโตสาวเท้าตามผู้เป็นนายด้วยสีหน้ากังวลแกมตกใจ “คุณปลายคะ เรากลับกันเถอะค่ะ” ทว่าหญิงสาวไม่ได้สนใจคนที่ตามมา หล่อนเดินตามหลังเขาไปติดๆ จนอีกฝ่ายหันมามองตาขวาง “ฉันขอไปด้วยคนค่ะ” “ผมไม่ได้ไปเที่ยวเล่นนะคุณ” เขาทำเสียงขุ่น แต่นัยน์ตานั้นขุ่นกว่า “เพราะอย่างนี้ยังไงล่ะคะฉันถึงต้องไปด้วย คุณลุงบอกให้ฉันทำความรู้จักคุ้นเคยกับคุณ ฉันว่าเวลานี้น่าจะเหมาะสุด” คำตอบของว่าที่ภรรยาทำให้ธาดายิ้มเครียด ชายหนุ่มหันไปมองพรรคพวกและเจ้าหน้าที่ที่พุ่งสายตามายังเขาและหญิงสาวอย่างรอคอย ก่อนจะหันกลับมาพร้อมเหยียดยิ้ม “ตามใจ แต่ขอเตือนเอาไว้เลยว่าห้ามโอดครวญ ไม่ว่าต้องเจอกับอะไรก็ห้ามบ่นทั้งนั้น”  ปลายดาวขบเม้มริมฝีปากอย่างพยายามข่มกลั้นความยินดีเอาไว้ แล้วก้าวตามชายหนุ่ม ทำให้กำไลรีบตามไปด้วย ทว่าธาดากลับหันมาบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “เธอกลับบ้านไป แล้วถ้าคราวหน้าขัดคำสั่งฉันอีก เจอดีแน่”  กำไลอ้าปากค้าง คอย่น หน้าเหลือแค่สองนิ้ว มองนายสาวด้วยสายตาละห้อยเป็นห่วง อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มบอกว่าไม่เป็นไรแล้วโหนตัวขึ้นไปนั่งตอนหลังของโฟร์วิลสีขรึม หญิงสาวมองต้นคอแกร่งด้านหลังของธาดาที่นั่งข้างๆ คนขับ เขาพูดคุยเรื่องการพบเจอโขลงช้างที่คาดว่าจะเป็นแม่ของลูกช้างที่พลัดหลงเข้ามาในเขตปางไม้บุญ จากนั้นก็ได้ยินเสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้น ชายหนุ่มฟังอยู่ครู่แล้วตอบกลับทันที การทำงานของเขาทำให้หญิงสาวสนใจและเริ่มเรียนรู้ตัวตนของเขาทีละนิด เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้ไม่แม้จะแลสายตามองหล่อน ไม่สนใจว่าจะนั่งสบายอยู่ที่ตอนหลังของรถที่กระแทกกระทั้นโขยกเขยกไปบนเส้นทางขรุขระหรือไม่ ยิ่งถามหาแววตาชื่นชมจากเขาเหมือนกับคนอื่นๆ ยามได้พบเจอหล่อนเป็นครั้งแรกแล้วยิ่งไม่เคยเกิดขึ้น จนหล่อนอยากจะรู้ขึ้นมาว่าคนรักของเขาจะหยาดฟ้ามาดินสักแค่ไหน  เมื่อมาถึงชายป่า เข้าใกล้บริเวณที่ช้างโขลงใหญ่ใช้สัญจรมากขึ้น เจ้าหน้าที่ก็เร่งรุดสำรวจ โดยมีพรรคพวกของธาดาและตัวเขาตามไปติดๆ  ชายหนุ่มเหลือบตามองหญิงสาวแวบหนึ่ง เขานึกพอใจที่หญิงสาวอยู่ในชุดที่ค่อนข้างรัดกุม กางเกงผ้าสีดำกับเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลเข้ม รองเท้าผ้าใบพร้อม ซ้ำยังรวบผมไม่ให้รุ่มร่าม ใบหน้างามหวานตอนนี้เริ่มเป็นสีแดงก่ำเพราะแสงแดดที่เจิดจ้าในช่วงบ่ายจัด หากไม่คิดถึงความเสแสร้งแกล้งทำของหล่อน เขาคงสละหมวกให้สวม จากนั้นหญิงสาวก็ติดตามเขาเข้าป่าอย่างไม่ลดละ การเดินทางของเหล่าเจ้าหน้าที่และพวกเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แม้เขาจะทำทีเป็นไม่สนใจคนที่เดินตามหลังมาต้อยๆ แต่ก็ไม่วายปรายตามองเป็นระยะ จนอดชื่นชมไม่ได้ว่าหล่อนอึดอยู่ไม่น้อย ระยะทางที่ค่อนข้างลำบากและไกล ไม่ทำให้หล่อนปริปากบ่น แม้บางครั้งทางทั้งลาดชันและลื่น แต่หญิงสาวที่มีสีหน้าแดงก่ำ มีเหงื่อออกเต็มใบหน้าทำเพียงหัวเราะและส่งยิ้มให้พร้อมคำขอบคุณให้พวกเจ้าหน้าที่ และพรรคพวกของเขาที่พอหล่อนลื่นนิดลื่นหน่อยก็แทบจะถลาเข้าไปประคอง  ธาดามองอย่างหมั่นไส้นิดๆ ก่อนเมินหน้ากลับไป ใครใช้ให้ตามมาล่ะ อันที่จริงแค่นี้ยังน้อยเสียด้วยซ้ำไป  “นายครับเจอแล้วครับ”  เกือบค่ำภายในป่า ในที่สุดพวกของเขาก็พบกับโขลงช้างโขลงใหญ่ หญิงสาวก้าวเข้ามายืนข้างชายหนุ่มด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ เมื่อเขามองลงมาจึงพบว่าดวงตาคู่สวยนั้นพราวระยับยามมองไปยังโขลงช้างด้วยท่าทางดีใจ “ใช่แม่ของตัวเล็กที่ปางไหมคะ” ปลายดาวเงยหน้าขึ้นถามเขา ใบหน้าแดงก่ำและหยาดเหงื่อทำให้คนตัวโตที่คิดจะไม่สนใจขยับมือหมายจะเช็ดเหงื่อให้ แต่เขาก็นึกขึ้นได้เสียก่อนว่าจะทำให้หล่อนได้ใจ จึงทำนิ่งๆ แล้วเบือนหน้ามองไปยังโขลงช้าง พอดีกับที่มีเสียงร้องดังมาจากช้างเชือกหนึ่ง “คิดว่าใช่ ลองฟัง...” เขาเงียบและบอกให้หล่อนเงี่ยหูฟัง หลังจากแม่ช้างหยุดร้องก็มีเสียงสะท้อนมาจากอีกด้านหนึ่ง ทุกคนมองตากันเพราะมั่นใจว่ามาจากปางไม้บุญ “นั่นเสียงเจ้าตัวเล็ก” หญิงสาวยกมือเรียวขึ้นเกาะแขนของเขาอย่างลืมตัว ดวงหน้างามแม้มอมแมมแต่กลับไม่ได้ลดทอนความน่าดูลงเลยแม้แต่น้อย ทำให้คนที่มองมานั้นรู้สึกสั่นไหวในอารมณ์ แต่เพียงวูบเดียวเขาก็ปัดมันทิ้งพร้อมกับการเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ “ผมว่าใช่ มั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งเอ่ยกับธาดา เขาจึงพยักหน้าเรียกลูกน้อง “จะกลับกันแล้วหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อมีการเคลื่อนไหวจากทุกคน ซึ่งต่างก็ถอยออกจากบริเวณนั้น “ใช่ แม่มันได้ยินเสียงลูกมัน พรุ่งนี้เป็นอย่างช้ามันจะต้องหาทางออกไปรับลูกมันกลับแน่” เขาตอบเสียงเบา พร้อมขยับตัวเตรียมเดินออกจากแนวป่า หญิงสาวทำท่าจะรอให้เขาเดินนำ ทว่าครั้งนี้ชายหนุ่มสั่งให้หล่อนเดินออกหน้า “ไปสิ หรืออยากอยู่กับช้าง” เขาเลิกคิ้ว ความสลัวทำให้แทบมองไม่เห็นแววตาของเขา แต่หญิงสาวก็พอจะเดาออกมาว่าคงยียวนกวนประสาทแค่ไหน แต่กระนั้นก็ยังส่งยิ้มแล้วรับคำเบาๆ พลางเดินนำหน้าตามคำสั่งของเขา ธาดาถอนหายใจแผ่วเบายามเดินตามและมองแผ่นหลังบอบบาง เจ้าหน้าที่ป่าไม้และอีกนัยคือเพื่อนเขาสาวเท้าตีคู่พลางกระซิบหยอกล้อ “น่ารักขนาดนี้ยังใจแข็งได้ลงคออีกเหรอนาย”  ธาดาไม่ตอบแต่เขาตวัดสายตามองไปยังคนตัวบางข้างหน้า ทั้งที่เวลานี้คนอื่นตัวเหม็นกันหมดแต่แม่ตัวบางกลับหอมกรุ่นแม้จะมีเหงื่อเต็มตัว ทว่าทั้งกลิ่นเหงื่อและกลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่ออกมาจากตัวหล่อนกลับกระตุ้นบางอย่างในตัวของเขาให้ฮึกเหิม โดยเฉพาะบั้นท้ายกลมกลึงที่โยกย้ายอยู่ข้างหน้ายิ่งทำให้เขาหงุดหงิด พอได้ยินเสียงกระซิบที่กระตุ้นอารมณ์จากเพื่อนก็ยิ่งงุ่นง่าน ทางที่ชันและลื่นในช่วงสว่างยังพอทำเนา แต่ในช่วงโพล้เพล้จะมืดแหล่ไม่มืดแหล่นี้หนักหนาสาหัสเอาการ ทำให้คนที่ไม่ชำนาญการเดินป่าถึงกับลื่นพรืดโดยไม่ทันตั้งตัว “ว้าย!” หญิงสาวใจหายวาบเพราะคิดว่าคงจะต้องกลิ้งหลุนๆ ลงเนินที่ลาดเอียงให้ได้เจ็บตัวกันคราวนี้ ทว่าคนที่ตามหลังมากลับคว้าเอวคอดกิ่วของหล่อนเอาไว้ได้ทันควัน ทำให้ปลายดาวตวัดแขนกอดคอเขาเอาไว้แน่นด้วยความตกใจ ทุกคนชะงักหันมามองทันทีจึงได้เห็นกันทั่วหน้าว่าว่าที่สามีภรรยาคู่นี้กำลังกอดกันกลมดิก! “เอ่อ ขะ ขอโทษค่ะ ทางมันลื่นไปหน่อย ฉันมองไม่ค่อยเห็น”  หากเวลานี้เป็นช่วงกลางวัน ธาดาคงได้เห็นนวลแก้มที่แดงปลั่งไปแล้ว ร่างนุ่มนิ่มที่มีส่วนเว้าโค้งชัดเจนถูกปล่อยลงในเวลาต่อมา เขาดูเย็นชาและไม่รู้สึกอะไรสักนิดกับการที่ได้กอดหล่อนเต็มมือแบบนั้น หญิงสาวจึงเม้มปากอย่างโกรธๆ เขาเป็นคนแรกที่ได้สัมผัสเนื้อตัวของหล่อนแท้ๆ แต่กลับทำหน้าตาย บางทีเขาคงคิดว่าหล่อนเป็นภาระเสียด้วยซ้ำไปกระมัง “คราวหน้าก็อย่าซุ่มซ่าม เดินระวังๆ หน่อย” เขาดันหล่อนให้เดินหน้าต่อ ไม่มีคำเอ่ยถามหรือปลอบใจใด มีเพียงคำตำหนิ ทำเอาคนอื่นๆ ต่างถอนหายใจยาว บ้างทำหน้ายุ่งอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงร้ายกาจกับสาวสวยน่าทะนุถนอมขนาดนั้น บ้างก็ยิ้มขบขันเพราะรู้ทันความคิด ปกติแม้แต่คนงานเขายังมีแก่ใจไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ทว่ามีเพียงแม่สาวงามหยาดเยิ้มคนนี้เพียงคนเดียวที่ทำให้ธาดาวางท่าและตั้งป้อมเป็นศัตรูตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าเสียด้วยซ้ำไป หลายคนมองแล้วส่ายหัว แต่กลับเอาใจช่วยแม่สาวน้อยหน้าหวานอยู่ห่างๆ ด้านกำไลและน้อยตั้งหน้าตั้งตาคอยปลายดาวที่ลานหน้าบ้าน ต่างคนต่างเดินวนไปวนมาด้วยความกังวล “เมื่อไรจะกลับกันเสียที คุณปลายนะคุณปลาย ไม่น่าไปกับนายน้อยเลย ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง” ท่าทางร้อนใจของกำไลทำให้น้อยถอนหายใจเฮือก  “รู้งี้ผมไม่พาคุณปลายไปส่งที่ปางหรอก นายกลับมาไม่รู้ผมจะโดนอะไรมั่ง คาดโทษไว้แล้วด้วย” กำไลหยุดเดินพร้อมกับค้อนขวับทันที “เอ็งมันก็ห่วงแต่ตัวเองอยู่นั่นแหละ” น้อยพ่นลมหายใจพรืด “โธ่ คุณปลายน่ะไม่เป็นอะไรหรอก แต่พวกเรานี่สิจะแย่ ไม่เห็นลูกกะตานายน้อยเหรอ คิดแล้วก็ขนลุก”  น้อยทำท่าขนลุกขนพอง กำไลก็พานห่อเหี่ยวไปด้วย พอดีกับที่มีแสงไฟจากหน้ารถสาดส่องเข้ามา ทำให้สาวใช้ผู้ภักดีถึงกับเปิดยิ้มกว้าง “มากันแล้ว”  ทั้งสองขยับเข้ามายืนใกล้กัน รอจนรถสามคันจอดสนิท ธาดาจึงก้าวลงมาก่อน จากนั้นไม่นานร่างบางของปลายดาวจึงก้าวตามลงมาเป็นคนสุดท้าย กำไลเห็นสภาพนายสาวแล้วถึงกับอุทานออกมาทันที “ตายแล้ว ไปทำอะไรมาคะ ทำไมถึงมอมแมมแบบนี้” เอ่ยถามพลางลูบคลำหญิงสาวร่างระหงตรงหน้าด้วยความเป็นห่วงจนคนมองอย่างธาดานึกรำคาญ เจอกันไม่ทันไรก็ทำท่าจะเป็นจะตายเพียงแค่ปลายดาวกลับมาในสภาพโทรมนิดหน่อย “จะมาเป็นเมียฉันก็ต้องอดทน ถ้าเหยาะแหยะเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อคิดแต่จะทำตัวสวยๆ เป็นเจ้าหญิงบนหอคอยงาช้างก็กลับไปเสียเถอะ”  พูดจบร่างสูงใหญ่หน้าตาเต็มไปด้วยเคราเพราะขาดการเอาใจใส่มาหลายวันก็เดินเข้าบ้านโดยไม่คิดรอว่าที่เจ้าสาวของเขาเลยสักนิด ทำเอากำไลอดไม่ได้ที่จะค้อนตามหลัง ส่วนน้อยใช้เวลานั้นหายตัวไปอย่างรวดเร็ว “อย่าไปสนใจคำพูดของนายน้อยเลยนะคะ คงจะเหนื่อยก็เลยหงุดหงิด” พยายามปลอบใจหญิงสาว ทำให้คนที่มองตามแผ่นหลังกว้างของคนปากเสียด้วยสายตาหมายมาดหันกลับมายิ้ม “ปลายไม่คิดมากหรอกค่ะ เราเข้าบ้านกันนะคะ” “ว่าแต่คุณปลายเป็นยังไงบ้างคะเนี่ย ดูสิ มอมแมมเชียว” กำไลประคองร่างระหงเข้าบ้านพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง พอเดินเข้าไปด้านในก็พบกับนายฐิติที่กำลังยืนคุยกับลูกชาย ทั้งคู่หยุดพูดแล้วหันมามองหล่อนเป็นตาเดียว แต่เพียงแวบหนึ่งเขาก็เมินหน้าทำเป็นไม่สนใจพลางเอ่ยออกมาว่า “ผมอาบน้ำก่อนนะพ่อ”  ร่างสูงเดินขึ้นห้องไปทันที ส่วนนายใหญ่ของปางส่งยิ้มให้หญิงสาว “เห็นเด็กมันบอกว่าหนูปลายตามเจ้าโตเข้าป่าไปตามรอยช้างใช่ไหม เป็นไงบ้าง”  หญิงสาวก้าวมาหยุดตรงหน้า เนื้อตัวเหนียวหนึบ “สนุกดีค่ะ พวกเราเจอโขลงช้างตัวแม่แล้วนะคะ คือมั่นใจว่าใช่ค่ะ รอดูพรุ่งนี้อีกที คุณโตบอกว่าแม่มันต้องออกมารับลูก”  แม้ใบหน้ามอมแมมแต่รอยยิ้มของปลายดาวยังคงสดใสเสมอ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกพอใจในตัวสาวน้อยเป็นอย่างยิ่ง และหวังว่าคนใจหินอย่างเจ้าลูกชายของเขาจะใจอ่อนลงสักวัน “ดีๆ ตอนนี้ลุงว่าหนูไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อน แล้วค่อยลงมากินข้าว” “ค่ะคุณลุง” หญิงสาวรับคำพร้อมกับเดินขึ้นห้อง โดยมีกำไลตามไปไม่ห่าง นายฐิติส่ายหน้ายิ้มๆ นี่แค่ยกแรกเท่านั้นสำหรับปลายดาว เขารู้ว่าเจ้าลูกชายตัวร้ายไม่หยุดลงแค่นี้แน่ หวังเพียงว่าหญิงสาวจะไม่ท้อถอยไปง่ายๆ เสียก่อน เพราะเขาปรารถนาให้หล่อนมาเป็นเมียขวัญของลูกชาย ไม่ใช่ใครอื่น ชายสูงวัยทอดถอนหายใจ พลันคิดถึงใบหน้างามหวานล้ำต้นฉบับความงามทั้งหมดทั้งมวลของปลายดาว พราวฟ้าคือมารดาของหญิงสาว หล่อนคือผู้หญิงที่ยังคงอยู่ในใจของเขาไม่เสื่อมคลายและจะคงอยู่เช่นนี้ไปตลอดกาล   
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD