ตอนที่ 4 / 2

1851 Words
 ร้านที่พิมานเธอพามานั่งทานมื้อค่ำ บรรยากาศของร้านมีความโปร่งโล่งสบาย มีสายลมพัดผ่านหอบเอาไอเย็นจากแม่น้ำปะทะผิวกายเป็นระยะๆ การตกแต่งของร้านนั้นเน้นใช้วัสดุจากไม้และเหล็กเป็นหลัก ทำให้เห็นถึงความเคร่งขรึม แต่แลดูไม่ดูอึดอัดเพราะมีส่วน outdoor ให้ลูกค้านั่ง กับส่วน indoor ทั้งสองพื้นที่นี้ไม่ได้มีผนังกั้นทั้งสองส่วนให้แยกจากกัน ทางร้านเปิดโล่งทั้งสองส่วนให้เข้าถึงกันได้               พิมานยื่นเมนูอีกเล่มให้หญิงสาว เขาถามด้วยความสนใจอีกว่า "แพรดื่มค็อกเทลมั้ย ร้านนี้มีค็อกเทลสูตรเฉพาะที่เหมาะกับผู้หญิงหวานๆ แบบแพรด้วยนะ"                                                             "ค่ะ แพรดื่มได้" แพรพิศช้อนตาขึ้นมาตอบเขา แล้วเลื่อนสายตาลงแลดูอาหารในเมนูต่อ ท่าทางดูเหมือนจะสนใจรายการอาหารตรงหน้ามากกว่าอย่างอื่น แต่เปล่าเลย เธอกำลังรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรถ่วงอยู่ภายในใจ ให้รู้สึกหนักอึ้ง   จริงๆ ก็เรื่องของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับเธอเสียหน่อย จะมาคิด จะมาให้ภาพนั้นเป็นภาพที่ติดตาว่า เขามากับผู้หญิงอีกคนทำไมกัน             "ท่าทางครั้งนี้คงจะเป็นไปได้สวย" พิมานกล่าวหลังจากวางเมนูลงเมื่อเลือกรายการอาหารได้แล้ว                                                        แพรพิศช้อนตาขึ้นมาจ้องเขากลับ ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร "คะ"             พิมานจึงพยักเพยิดไปทางโต๊ะที่เขาและเธอเพิ่งผละมา ตรงนั้นเป็นด้านหลังอัครา และหญิงสาวอีกคนกำลังทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข เท่านี้แพรพิศก็เข้าใจว่าพิมานหมายถึงใคร                             "นานแล้วนะ ที่อัครมันไม่ได้เปิดใจแบบนี้"                                      สีหน้าของเธอสลดลง จะเกี่ยวกับมารดาเธอหรือไม่ ที่ทำให้เขากลายเป็นคนเข็ดขยาดกับความรักมานาน                                          "ฉันจึงบอกว่า ท่าทางรักครั้งนี้ของอัครจะเป็นไปได้สวย น้องแคร์ก็เหมาะสมกับเขาดี"                                                                    แพรพิศยิ้มขึ้นเล็กน้อย วางเมนูลง แล้วพยักหน้ารับ เธอไม่รู้จะเอ่ยคำพูดไหนตอบพิมานอีก                                                  เขาและหญิงสาวคนนั้นช่างเหมาะสมกันดี คำว่าเหมาะสมของคนเรานั้นคืออะไร อ้อ ก็คงไม่พ้น และวนเวียนอยู่เรื่องของฐานะความเป็นอยู่น่ะสินะ หลังจากรับฟังเรื่องของอัครากับหญิงสาวอีกคนเป็นที่พอสมควรแล้ว พิมานก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของทั้งสองให้เธอต้องมารับรู้ด้วยอีก เพราะแพรพิศจึงเป็นฝ่ายเล่าเรื่องของเธอ ตอนที่เรียนอยู่ที่อังกฤษให้เขาฟังบ้าง                                                                               จนบรรยากาศอาหารค่ำผ่านพ้น พิมานและแพรพิศลุกจากโต๊ะเตรียมจะกลับ หญิงสาวหันกลับไปที่เดิมก็มองไม่เห็นคู่รักคู่นั้นอีกแล้ว เมื่อออกจากร้านพิมานก็ไปส่งเธอที่คอนโดแล้วกลับ  ในระหว่างทางที่เขาขับรถมาส่งชนิภาที่บ้าน อัคราได้ตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องของแพรพิศให้ชนิภาได้รับรู้ด้วย ไหนๆ เขากับเธอก็อยู่ในสถานะที่กำลังคบหาดูใจกันอยู่แล้ว เรื่องของแพรพิศจึงไม่ควรเป็นเรื่องที่เขาต้องปิดบังเอาไว้อีก ทั้งๆ เขาก็ไม่ได้ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวไปให้ใครฟัง โดยเฉพาะเรื่องราวความรักที่จบไม่สวยเท่าไหร่ในตอนนั้น  ก็เพราะว่ายอมรับชนิภาเป็นคนพิเศษแล้ว เขาจึงใคร่ครวญว่า อย่างไรเธอควรรู้เรื่องนี้จากปากเขาเองจะดีกว่า  "ไม่อยากเชื่อว่า พี่อัครจะรับอุปการะลูกของผู้หญิงที่หักหลังพี่อัครได้ พี่อัครใจกว้างจังเลยนะคะ"                                        ชนิภาเอ่ยคล้ายจะชม แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเสียทีเดียว ในน้ำเสียงของเธอนั้นหากฟังดูดีๆ มีความแปร่งปร่าแฝงอยู่ด้วย หลังจากที่ฟังอัคราเล่าเรื่องราวของหญิงสาวน่าตาสะสวยน่าเอ็นดูคนนั้นจบชนิภาก็เหมือนจะอึ้งไปพักหนึ่ง บอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกอย่างไรดี เพราะในโลกนี้มีเรื่องราวแปลกประหลาดมากมายก็จริงอยู่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับรู้ว่า มีผู้ชายคนหนึ่งจำต้องรับอุปการะหญิงสาวที่เป็นลูกของคนรักเก่าของตัวเองไว้  จะว่าอัคราใจกว้างก็ใช่ แต่...ชนิภาก็รู้สึกไม่เต็มที่นัก ตรงที่เธอยังรู้สึกแปลกๆ เพราะ จู่ๆ วันหนึ่งก็มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่อ่อนเยาว์กว่าเธอหลายปีมาปรากฏตรงหน้า แถมยังอยู่ในฐานะที่อัคราได้อุปการะส่งเสียจนเรียนจบถึงเมืองนอกอีก                                                     จะให้มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ชนิภาไม่อาจทำใจมองแบบนั้นได้เลย                                                                                                 และแม้เธอจะยิ้มให้เขาอยู่ทำนองว่า เธอไม่ได้ติดใจหรือคิดมากหรอก แต่ภายในใจของชนิภาก็รุ่มๆ อยู่ไม่สุขตามประสาผู้หญิงที่ไม่อยากให้คนรักของเธอ มีใครอีก แม้หญิงสาวคนนั้นจะอยู่ได้แค่สถานะเด็กที่เคยถูกอุปการะเอาไว้ก็ตาม                                                   แพรพิศมองหน้าจอแล็ปท็อป แล้วกดส่งอีเมล์ที่เป็นจดหมายสมัครงานล่าสุดออกไปทันที ห้าที่แล้วที่เธอสมัครไป และบัดนี้ก็ยังไม่มีใครติดต่อกลับมาสักที่                                                                                  เธอเข้าใจนะว่าสมัยนี้งานค่อนข้างหายาก หญิงสาวถอนหายใจแรงๆ คว้าแก้วน้ำเปล่าที่วางใกล้ๆ มาดื่ม แต่ปรากฏว่าปริมาณน้ำข้างในเหลือติดก้นแก้วเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เธอจึงลุกขึ้นเดินไปยังครัวเพื่อรินน้ำเพิ่ม ทว่า ขณะนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดันมีเสียงเรียกเข้าเสียก่อน หญิงสาวถอยหลังกลับมาที่โต๊ะ พลางนิ่วหน้าลงเล็กน้อย หรือบริษัทที่เธอสมัครงานไปจะติดต่อกลับมาแล้ว แพรพิศชะโงกดูโทรศัพท์เห็นหน้าจอปรากฏรายนามของผู้ที่ติดต่อเข้ามายิ่งทำให้เธอประหลาดใจ                                                                                                     'พี่ลิน' หรือมาลินีเลขาฯของอัครานั่นเอง                                               เธอรีบวางแก้วน้ำลง คว้าโทรศัพท์บนโต๊ะมากดรับสายนี้ทันที "สวัสดีค่ะ พี่ลิน" "แพร ยุ่งอยู่รึเปล่าจ๊ะ"                                                     "ไม่ยุ่งค่ะ ช่วงนี้แพรว่าง" เธอตอบตามตรง ตามประสาของคนที่กำลังหางานทำหลังจบใหม่ๆ  "เหรอ พี่มีอะไรอยากจะคุยกับแพร วันนี้มาคุยกับพี่ตอนหกโมงเย็นได้มั้ย"                                                                              "ได้ค่ะ"                                                                          "งั้น เดี๋ยวพี่จะส่งโลเคชั่นสถานที่ให้นะ"                             เมื่อตกลงเวลาและสถานที่เรียบร้อย ไม่นานมาลินีก็ส่งโลเคชั่นร้านคาเฟ่ดังแถวบริษัทของอัครามาที่โทรศัพท์ของเธอ                 แพรพิศวางโทรศัพท์ลงที่เดิมอีกครั้งด้วยความแปลกใจ ปกติเธอและมาลินีก็ติดต่อกันอยู่เสมอ ตั้งแต่ที่เธอย้ายไปเรียนที่อังกฤษแล้ว เพราะเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับเธอ เธอจะไม่ได้ติดต่อกับอัคราโดยตรง หากมีเรื่องอะไรก็แค่ติดต่อไปที่เลขาฯของเขาเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเธอและมาลินีทำไมถึงค่อนข้างสนิทสนม จนสามารถเรียกอีกฝ่ายว่า 'พี่' ได้เลย                                                                                                จวบจนถึงเวลาที่มาลินีนัดหมายนั่นเอง แพรพิศเดินเข้าไปในร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง เธออุตส่าห์เผื่อเวลามาก่อนนัดหมายสิบนาทีแล้ว แต่ก็ยังช้ากว่าอีกฝ่ายอยู่ดี เธอเห็นมาลินีกำลังรอที่โต๊ะ ท่าทางดูเหม่อลอยชอบกล         "พี่ลินคะ" เธอเรียกผู้หญิงที่ก้มหน้าก้มตาคนแก้วเครื่องดื่มตัวเองไปมา                                                                                              มาลินีเงยหน้าขึ้นมา ปรากฏร่างของหญิงสาวที่ตนกำลังรอคอยอยู่ "อ้าว แพร มาถึงแล้วเหรอจ๊ะ" "ค่ะ" แพรพิศรับคำเรียบๆ ก่อนจะนั่งลงกับเก้าอี้อีกตัว                     "สั่งอะไรมั้ย พี่จะสั่งให้"                                                    "เอาแบบเดียวกับที่พี่ลินสั่งมาก็แล้วกันค่ะ"                       แพรพิศบอก จากนั้นมาลินีก็ทำการสั่งเครื่องดื่มเย็นที่เป็นผลไม้ปั่นให้เธออีกแก้ว เวลานี้แพรพิศยิ่งสังเกตเห็นถึงความซูบผอม และรอยคล้ำใต้ดวงตาของมาลินีชัดขึ้น                                                                  "พี่ลินดูผอมไปนะคะ"             "พอดีช่วงนี้ชีวิตมีเรื่องไม่สบายใจน่ะ"                                 "คะ"                                                                                         "ก็ที่นัดแพรมาพบก็เพื่อจะคุยถึงเรื่องนี้น่ะแหละ งั้นพี่เข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะ"  แพรพิศใช้การพยักหน้าขึ้นลงเป็นสัญลักษณ์ว่าเธอกำลังตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมา                                                                  "พี่จะต้องพักการทำหน้าที่เป็นเลขาฯให้กับคุณอัครไปสักพักก่อน อาจจะราวๆ สามเดือน หกเดือน หรือนานกว่านั้นอีก แต่ก็คาดว่าไม่เกินหนึ่งปีหรอก" "ทำไมล่ะคะ"                                                                 "เพราะคุณแม่ของพี่ท่านป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย ตอนนี้มะเร็งได้ลามไปที่ตับอ่อน คุณหมอบอกว่าท่านจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว อย่างเร็วก็สามเดือน อย่างช้าไม่เกินหกเดือน หรือนานที่สุดอาจจะไม่ถึงปีแล้วล่ะ" พูดแล้วก็ก้มหน้าร้องไห้ ก่อนจะแข็งใจเงยหน้ามาพูดอีกว่า "ตอนนี้ท่านเป็นผู้ป่วยติดเตียงด้วยเลยต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด นี่แหละที่พี่จะต้องพักการทำหน้าที่เป็นเลขาฯให้คุณอัครไปก่อน เพื่อได้จะออกไปดูแลท่านให้ดีที่สุดก่อนน่ะ"  แพรพิศมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ด้วยความที่มารดาของเธอก็เคยป่วยหนักด้วยโรคนี้ จึงทำให้เธอสัมผัสถึงความหวาดกลัวของมาลินีได้ชัดขึ้น และเมื่อนึกย้อนไปตอนนั้นแม้เธอยังเด็ก แต่ก็สัมผัสถึงความทุกข์และความหวาดกลัวในใจของมารดาได้ดี       ...กลัวตายก็กลัว กลัวไม่มีใครจะมาดูแลลูกสาว ก็กลัว...  "พี่มีพี่ชายอีกคน แต่ตอนนี้รับราชการอยู่ต่างจังหวัด ไม่สะดวกที่จะมาดูแลแม่ เราสองคนพี่น้องเลยตกลงกันว่าจะให้พี่พักงานเพื่อดูแลท่านให้ดีที่สุดในฐานะลูก และพี่ก็เต็มใจที่จะไปดูแลท่าน อยากทำหน้าที่ลูกที่ดีให้ท่านเป็นครั้งสุดท้ายน่ะ"          "ค่ะ แล้ว..." เธอเอียงหน้าลงเล็กน้อย พร้อมกับลากเสียงยาวเพื่อจะถามว่า แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเธออย่างไร ถึงได้เรียกเธอมาพบวันนี้       มาลินีเองก็อ่านภาษากายของหญิงสาวตรงหน้าอีก จึงรีบเฉลยทันที "เมื่อวานพี่ก็ปรึกษากับคุณอัคร คุณอัครก็เห็นใจพี่มาก ทั้งเรื่องงานและหน้าที่ของลูก แต่ครั้นจะให้พี่ลาออกไปคุณอัครก็ไม่อยากให้เป็นการซ้ำเติมพี่อีก เลยแนะนำว่า ให้พี่พักงานไปก่อน และในช่วงระหว่างที่พี่ไปดูแลแม่ก็ต้องหาคนมาทำหน้าที่นี้ไปพลางๆ"                                               เอ่ยจบก็จ้องหน้าแพรพิศตรงๆ                                                     "พี่ลินหมายถึง...อยากให้ลินไปทำหน้าที่นี้แทนพี่ลินก่อนหรือคะ"                               
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD