ในเย็นวันหนึ่งจักราพาคู่หมั้นสาวมาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารพร้อมบิดา ส่วนอีกสองคนที่นั่งร่วมโต้ะคือผกามาศกับเมธัส เขาทำเหมือนสองคนนั้นไม่มีตัวตน ไม่ค่อยอยากจะเสวนาด้วย หากถามมาก็ตอบกลับไม่ยืดขยายความ
เสียงช้อนกับส้อมกระทบจานดังเบา ๆ ก่อนที่เจ้าสัวศักดิ์ดาจะเอ่ยขึ้น
“ช่วงนี้ทั้งสองคนทำงานกันหนัก ป๊าเห็นแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้”
กรองแก้วยิ้มหวาน ก้มศีรษะเล็กน้อยเหมือนเด็กดี
“ขอบคุณป๊ามากค่ะ แต่แก้วไม่เหนื่อยเลยค่ะ เป็นห่วงเฮียใหญ่มากกว่าที่ต้องทำงานหนักเพื่อครอบครัว”
จักราเหลือบตามองคนที่เอ่ยปากว่าห่วงใยเขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
เจ้าสัวศักดิ์ดาบิดามองทั้งคู่แล้วเอ่ยต่อ
“พอดีทางรีสอร์ตที่เขาใหญ่ เพิ่งปรับปรุงสนามกอล์ฟเสร็จใหม่ ๆ ป๊าคิดว่าถ้าสองคนได้ไปพักผ่อนด้วยกันบ้างก็ดี ถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์ ในฐานะคู่หมั้นที่ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว ขับรถไม่ไกล”
กรองแก้วหันไปยิ้มกับเขารีบตะครุบคว้าโอกาสไว้ทันที
“ดีเลยค่ะป๊า แก้วเองก็อยากไปพักผ่อนกับเฮียอยู่แล้ว รีสอร์ตที่เขาใหญ่ตอนนี้อากาศคงดีมากจะเข้าหน้าหนาวแล้วด้วย”
“ใช่น่ะสิ”
“เราไปกันนะคะเฮีย เปลี่ยนสถานที่นอนสักคืนสองคืนก็ยังดี”
“อืม ถ้าแก้วอยากไปเฮียก็จะพาไป”
“ขอบคุณค่ะเฮีย”
ผกามาศมีที่มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงของจักราในตอนนี้เอ่ยปากขึ้นมาบ้างอย่างอยากมีส่วนร่วม
“ว่าแต่ คุณใหญ่กับคุณหมอกรองแก้วมีแพลนจะแต่งงานกันช่วงไหนคะ น้าจะได้ไปให้พระท่านดูฤกษ์ดูยามให้ จะได้จัดอย่างสมเกียรติ”
คู่หมั้นสาวผู้ไม่ได้มีปัญหากับแม่เลี้ยงของเขา เพราะอีกฝ่ายก็ดูเข้าหาประจบเอาใจเธอเห็นว่าเป็นหลานสาวของตระกูลธุรกิจใหญ่ระดับประเทศ หันไปยิ้มกับชายหนุ่มที่วางหน้าเฉย
“คงแล้วแต่เฮียค่ะ แก้วพร้อมเสมอ”
“ว่าไงเจ้าใหญ่ ป๊าว่าภายในปีนี้ก็น่าจะจัดงานแต่งได้แล้วนะ”
“ไว้ผมต้องการแล้วจะบอกนะครับ”
เขาตอบแบบผ่าน ๆ แต่สีหน้าและแววตาแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากให้เข้ามายุ่ง ทำให้ผกามาศถึงกับหน้าเสีย หันไปมองหน้าลูกสายที่วูบหนึ่งในแววตามีความอาฆาตแค้นในตัวจักรา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันแหกหน้า หรือกระทำการไม่ให้เกียรติมารดาบังเกิดเกล้าของเขา
ในเย็นวันศุกร์ ขณะที่จันทร์เจ้ากำลังเก็บผักที่เธอปลูกใส่กระถางไว้ตรงระเบียงกว้างของเพนต์เฮาส์ มีทั้งผักคอส เคล ผักบุ้งที่กำลังเป็นต้นอ่อนพร้อมให้เด็ดรับประทาน ต้นหอมผักชีและอีกมากมายที่คนชอบกินผักอย่างเธอปลูกไว้รับประทานเอง ชายหนุ่มเดินมาหยุดมองคนที่กำลังร้องเพลงไปเก็บผักไปอย่างเพลิดเพลิน ระเบียงกว้างแทบจะไม่มีที่ว่างให้นั่งจิบไวน์แบบชิล ๆ หากมีแต่กลิ่นดินตลบอบอวลอยู่ในบางเวลา
“จะปลูกอะไรนักหนา ระเบียงแทบจะไม่มีที่เดินอยู่แล้ว”
“ปลูกไว้กินไง จะปลูกไว้ทำไมล่ะ”
“ซื้อสิ ฉันมีเงินให้เธอซื้อกินไปทั้งชาติ”
“ก็อยากปลูกกินเอง ปลอดสาร ดีต่อสุขภาพด้วย”
ร่างบอบบางลุกขึ้นยืน หันมาเลิกคิ้วมอง ทำให้เขาเห็นว่าตอนนี้เธอสวมผ้ากันเปื้อนและถุงมือ คล้องตะกร้าที่เก็บผักไว้บนแขน
“มีอะไรไม่ทราบ”
“มี พรุ่งนี้จะไปค้างที่เขาใหญ่ เก็บเสื้อผ้าเตรียมไว้ด้วย”
จันทร์เจ้าเลิกคิ้ว
“ทำไมต้องให้ฉันไปด้วย ให้ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอ”
“ก็บอกแล้วไงว่า ว่าฉันไม่อยากให้เธออยู่คนเดียว”
“อยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปไหน ไม่เห็นจะเป็นไร”
“นี่คือคำสั่งจันทร์เจ้า ไปแค่คืนเดียวจะเป็นไรไป”
“เอาแต่ใจชะมัด ไอ้-คุณ-เฮีย-ใหญ่”
จะอย่างไรเธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้หรอก เช้าวันต่อมาจันทร์เจ้าก็นั่งรถไปเขาใหญ่กับสาโรจน์ เธอนั่งพูดกับคนสนิทของเขาอยู่ในรถโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเขาตอนนี้อยู่ไหน แต่ออกคำสั่งให้เธอไปที่นั้น
“ไม่รู้ว่าไปแล้วฉันจะต้องเจออะไรบ้างนะคุณสาโรจน์ เจ้านายคุณให้ฉันไปที่นั่นทำไม หรือจะพาฉันไปให้คู่หมั้นเขาเหยียบย่ำอีก”
“ผมเองก็ไม่รู้เหตุผลของเฮียทั้งหมดหรอกครับว่าทำไมเฮียถึงไม่ยอมให้คุณจันทร์อยู่คนเดียว แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ใช่อย่างที่คุณจันทร์คิดหรอก เฮียเขาเป็นห่วงคุณจันทร์จริง ๆ นะครับ ห่วงมากด้วย”
สาโรจน์ยืนยันในความห่วงใยนี้ ส่วนเรื่องความรู้สึกอื่นให้เจ้านายมาพูดกับหญิงสาวเองเถอะ เขาก็ไม่อยากทำเกินหน้าที่
รถตู้คันใหญ่ภายในสะดวกสบาย แล่นเข้ามาจอดเทียบตรงหน้าล็อบบีรีสอร์ตกลางหุบเขา อากาศเย็นสบาย กลิ่นไอเขียวชื้นของผืนป่าโอบล้อมรอบบรรยากาศ จักราเปิดประตูลงจากรถก่อน แล้วหันกลับไปยื่นมือส่งให้คู่หมั้นสาวของเขาจับไว้ก่อนก้าวตามลงมา เป็นเวลาเดียวกับที่รถเก๋งของสาโรจน์ขับเข้ามาจอดอยู่ด้านหลัง จันทร์เจ้ามองเห็นภาพคนสองคนที่เดินจูงมือกันเข้าไปในล็อบบีแล้วหันไปมองสาโรจน์ คนสนิทของเขาก็ได้แต่ยิ้มแห้งไม่พูดอะไร คำตอบอยู่ที่เฮียคนเดียว จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูให้หญิงสาวลงมา
ก็ได้ กล้าให้มาเธอก็กล้าเผชิญหน้า จะไปกลัวอะไร
จันทร์เจ้าเดินตามเข้าไปในล็อบบีด้วยสีหน้าปั้นยิ้ม คล้ายว่าตัวเองเป็นนางร้ายคอยตามติดชีวิตของพระนางที่กำลังมาสวีตหวานในบรรยากาศโรแมนติกกลางหุบเขา มาเป็นมารผจญความสุขอย่างไรอย่างนั้น
“สวัสดีค่ะคุณหมอกรองแก้ว แหมบังเอิญจังเลยนะคะ มาพักผ่อนที่นี่เหมือนกันเหรอ”
จันทร์เจ้าเล่นละครสักฉากก็สนุกดีเหมือนกัน คุณหมอสาวหันไปเลิกคิ้วเป็นคำถามกับชายหนุ่มดวงตาเบิกมองก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา
“สวัสดีค่ะ บังเอิญจังเลยนะคะ”
แต่เธอก็ไม่ซื่อพอที่จะคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหนึ่งในร้อยที่จะเกิดขึ้น จึงหันไปถามกับชายหนุ่มด้วยคำพูดทิ่มแทมว่า
“กลัวว่าคนของเฮียจะเหงางั้นเหรอคะ ถึงต้องพามาเกะกะที่นี่ด้วย”
คำพูดนั้นเหมือนจันทร์เจ้าถูกตบหน้ากลางอากาศ หญิงสาวเม้มปากแน่น ดวงตาพร่าไปชั่ววูบ แต่เลือกที่จะก้มศีรษะนิ่งเงียบ
“ผมเคยบอกแล้วไง ว่ามีความจำเป็น”
“จำเป็นต้องให้เธออยู่ติดตัวเราไปตลอดเลยไหมคะเฮีย”
คำนี้จันทร์เจ้าก็รอฟัง
“ไม่นานนี้หรอก ไว้ผมเคลียร์เรื่องทุกอย่างเสร็จก่อน เราจะแต่งงานกันทันที”
“ค่ะ ก็แล้วแต่เฮียจะเห็นสมควร”
กรองแก้วปรับสีหน้ายิ้มเจื่อน กลบเกลื่อนด้วยเสียง แต่ในแววตากลับวาววับเต็มไปด้วยไฟริษยา
ทั้งแค้น! ทั้งเกลียด!
^
^
^
โปรดติดตามตอนต่อไป ขอกำลังใจมาเยอะๆ นะคะจะรีบมาอัปตอนต่อไป