เสร็จธุระเรื่องควาย จันทร์เจ้าก็นั่งรถกลับบ้านกับสาโรจน์ไปเงียบ ๆ จนกระทั่งมาถึงข้างบนเพนต์เฮาส์ เธอก็ทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาอย่างคนหมดแรงพร้อมกับระบายลมหายใจออก จัดการเรื่องควายแล้วก็ไม่มีอะไรต้องห่วงกังวลอีก ควายสองตัวนี้เป็นความรับผิดชอบของเธอ หากเธอต้องไปจากที่นี่ก็จะไม่ปล่อยให้เป็นภาระกับใครอีก หญิงสาวยกข้อมือที่มีผ้าพันไว้ขึ้นมาพลิกมองรู้สึกปวดหน่วงเล็กน้อยหมอบอกว่าอย่าเพิ่งออกแรงมือข้างนี้มากไม่งั้นจะยิ่งอักเสบ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะรุนแรงกับเธอได้ขนาดนี้ สีหน้าและสายตาของเขาในเวลานั้นราวกับจะฆ่าเธอได้เพื่อปกป้องกรองแก้ว ผู้หญิงที่จะมายืนเคียงข้างคู่กับเขาตลอดไป ซึ่งก็เอาเถอะ ตอนนี้เธอคิดว่าตัวเองตัดใจและตัดขาดกับผู้ชายที่ชื่อจักราได้แล้ว ไม่มีเขาหลบซ่อนอยู่ในหัวใจส่วนไหนแต่ถ้ายังเหลือ เธอก็พร้อมจะเฉือนใจส่วนนั้นทิ้งไปแม้จะเจ็บก็ยอม
นอนคิดสะระตะอยู่คนเดียวกระทั่งเผลอหลับไป รู้สึกตัวขึ้นมาก็ผ่านไปร่วมสองชั่วโมงกว่า มองดูเวลาที่นาฬิกาบนฝาผนังก็ปาเข้าไปสามทุ่มแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจักราจะกลับมา เอาเถอะ จะกลับหรือไม่กลับเธอก็อยู่ได้
ผ่านไปสองคืนเต็ม เพนต์เฮาส์ดูเงียบงันเมื่อไร้เงาจักราทว่าเธอก็ไม่ได้โหยหาเขาอยู่แล้ว หากแต่มีเรื่องที่ทำให้เธอกังวลใจไปมากกว่านั้น นั่นคือความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เธอเริ่มรู้สึกได้ และชัดเจนขึ้นในเช้าวันนี้ เมื่อลุกจากเตียงอย่างอ่อนแรงแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มน้ำ แต่ก็ต้องรีบปิดลงเพราะได้กลิ่นคาวจากอาหารที่แช่อยู่มากกว่าปกติ จนต้องเข้าไปโก่งคออาเจียนในห้องน้ำ จันทร์เจ้านิ่งไปครู่ใหญ่แต่หัวใจกลับเต้นสั่นระรัว ทรุดลงข้างประตูห้องน้ำด้วยความตกใจเมื่อความคิดหนึ่งแล่นผ่านเข้ามา
จักรากลับเข้ามายังเพนต์เฮาส์หลังจากที่ไม่ได้กลับมาสองคืน ชายหนุ่มมองเห็นเธอนั่งอยู่ที่ระเบียงท่ามกลางพืชผักที่ปลูกไว้ เมื่อเขาเดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหลังก็เหมือนคนที่นั่งเหม่อจะยังไม่รู้ตัว จึงเป็นเวลาที่เขาเองก็ได้พินิจ มองเธออยู่นิ่งนาน แล้วก็เห็นว่าที่ข้อมือซ้ายของเธอมีเฝือกอ่อนพันไว้อยู่ แววตาเขาสลดลงวูบหนึ่งก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวออกมา หญิงสาวจึงได้ไหวตัวหันกลับไปมองเบื้องหลังก็เห็นร่างสูงยืนอยู่ แล้วเธอก็หันกลับ
ชายหนุ่มเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะรั้งข้อมือขวาของหญิงสาวให้ลุกยืนขึ้นมาคุยกัน เขามองเข้าไปในดวงตาที่เศร้าสร้อยคู่นั้นแล้วถามว่า
“แขนเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงราบเรียบ
“ก็ไม่ถึงตายอย่างที่คุณว่า”
“อย่าประชดตอบดี ๆ”
“ตอบดีที่สุดแล้ว สภาพฉันก็อย่างที่คุณเห็น แล้วคุณกายแก้วของคุณเขาเป็นยังไงบ้าง คงระบมไปทั้งตัวเลยสินะ”
จักราส่ายหน้าให้กับท่าทีดื้อรั้นไม่ยอมคนของเธอ ทว่าตอนนี้เขาได้ตัดสินใจบางอย่างไว้แล้วจึงเอ่ยกับหญิงสาวออกไป
“อยากไปอยู่ที่อื่นไหม”
“อยากมาก” เธอตอบแบบไม่ต้องคิด
“ได้ ฉันจะให้เธอไปอยู่ที่อื่นสักพัก จะได้สบายใจขึ้น”
ดวงตาคู่สวยสบมองเขานิ่ง ครั้นมือหนาจะยกขึ้นมาสัมผัสใบหน้าเธอก็หันหลบ ปล่อยให้ฝ่ามือของเขาค้างอยู่กลางอากาศ จักราพยักหน้าเข้าใจในความเจ็บปวดของเธอที่เก็บอยู่ในใจ
“ขอไปแล้วไปลับ ไม่กลับมาอีกจะได้ไหม”
“ฉันยังไม่อนุญาต” จันทร์เจ้าเบ้ปาก
“กลัวว่าฉันจะทำอะไรคู่หมั้นคุณอีกเหรอ ถ้าไม่มายุ่งกับฉันก่อน ฉันก็ไม่มีทางไปยุ่งด้วยหรอก ในเมื่อคุณก็มีคนของตัวเองอยู่แล้ว ทำไมไม่ปล่อยฉันไปสักที”
“แล้วอะไรเข้าสิงให้เธอไปทำร้ายเขาซะขนาดนั้น บ้าไปแล้วเหรอ”
“ก็มันมาด่าพ่อฉัน มาว่าบุพการีของฉัน เป็นคุณยอมได้เหรอ ผู้หญิงของคุณให้คนไปสืบประวัติฉันเรื่องพ่อแล้วเอามาพูดเยาะเย้ย”
จันทร์เจ้าตะโกนใส่หน้าเขาทั้งน้ำตาคลอ ไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อเธอหรือเชื่อคู่หมั้น แต่ดูจากสีหน้าแววตาเขาแล้ว เธอก็ไม่พ้นบทตัวร้ายที่กำลังพูดใส่ร้ายนางเอกอยู่หรอก
“แต่มันก็ไม่ควรใช้กำลังกับคนอื่นขนาดนั้น กรองแก้วเขาตัวเล็กกว่าเธอจะสู้อะไรได้”
“ไม่สู้ก็เจ็บตัวไปสิ”
“จันทร์เจ้า!” เขาปราม แต่หญิงสาวมีท่าทีไม่สลด และไม่เป็นเด็กดีของเขาอีกต่อไป ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วพูดต่อ
“เอาเป็นว่าเธอไปอยู่ที่อื่นสักพัก”
“ก็บอกแล้วว่าถ้าไปจะไปลับ ไม่กลับมา”
“เธอต้องกลับมา”
“คุณไม่ใช่เจ้าชีวิตฉันสักหน่อย”
“ใช่ ฉันไม่ใช่เจ้าชีวิตเธอ แต่ที่ทำก็เพราะกำลังรักษาชีวิตเธออยู่ เอาเป็นว่าฉันแต่งงานกับกรองแก้วเมื่อไหร่ เธอจะเป็นอิสระและปลอดภัย”
หญิงสาวจ้องเข้าไปในดวงตาสีเหล็กคู่คม ยิ่งฟังยิ่งเพิ่มรอยร้าวในอกที่ชอกช้ำอยู่แล้ว
“จะอันตรายแค่ไหนฉันก็ไม่กลัว ถ้าคนพวกนั้นจะฆ่าฉันกับการที่ต้องมาถูกคุณกักขังอยู่ในนี้ ฉันเลือก...”
ยังไม่ทันที่จันทร์เจ้าจะเอ่ยประโยคต่อไป ปลายนิ้วแกร่งก็รีบยกขึ้นมาแตะกลีบปากนุ่มไม่ให้พูดคำนั้นออกมา เขาไม่ต้องการฟังสิ่งที่เธอเลือกว่าเต็มใจที่จะตายมากกว่าอยู่กับเขา
“หยุด ตกลงตามนี้ก่อน ไปอยู่ที่อื่นสักระยะ”
“จะเก็บฉันไว้เป็นเมียน้อยของคุณเหรอ”
เธอจ้องหน้าถามออกไปตรง ๆ
“เปล่า แค่อยากให้ไปอยู่ในที่ปลอดภัยไว้ก่อน ที่นั่นจะมีคนคอยดูแล ไม่อึดอัดหรอก”
“หึ” จันทร์เจ้าเบือนหน้าหนี ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำชั่วขณะให้เขาได้พิจมอง ใบหน้างอง้ำของคนที่อยู่กับเขาตลอดมา ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องอยู่ห่างไกลกัน บางครั้งเขาก็ต้องบินไปดูงานที่ต่างประเทศแล้วให้เธออยู่นี่รอ ทว่าทำไมครั้งนี้มันรู้สึกใจโหวงหวิวแปลก ๆ เหมือนจะต้องจากกันนานแสนนานอย่างไรอย่างนั้น
“แต่ที่ผ่านมาที่เราได้อยู่ด้วยกัน เธอก็มีความสุขมากใช่ไหม”
จันทร์เจ้าพยายามกักเก็บน้ำตาให้มันไหลกลับลงไป ถามว่ามีความสุขไหมก็มี มีในแบบที่ไม่ได้คาดหวังอะไรแค่ได้อยู่ด้วยกันก็มีความสุข แต่พอเห็นว่าเขาได้หมั้นหมายและจะแต่งงาน กับคนที่มีทั้งหน้าตาและฐานะเหมาะสมโลกของเธอก็พลิกกลับด้าน จากสีชมพูกลายเป็นสีเทาจนเกือบจะดำมืด เธอพยายามทำตัวเองให้มีคุณค่า ยืนเคียงข้างกับเขาได้ ช่วยเขาผ่อนเบาเรื่องงาน คิดว่าตัวเองก็ไม่ได้ต่ำต้อยจนเขาไม่กล้าพาออกสังคม เธอเองก็เป็นลูกสาวที่พ่อแม่รักและเลี้ยงดูมาอย่างดี แต่พอได้มาเจอกับคนที่มีความเพียบพร้อมอย่างกรองแก้ว ทำให้เธอรู้ว่าตัวเธอนั้นเล็กนิดเดียว สู้ใครไม่ได้ และเขาก็พร้อมจะปกป้องคนที่คู่ควรกับเขาเท่านั้นที่ไม่ใช่เธอ
จันทร์เจ้าพยักหน้ากับคำถาม เธอไม่ปฏิเสธว่าที่ผ่านมามันคือความสุขจริง ๆ เธอไม่อยากไปไหนก็เพราะเขาแต่ตอนนี้มันต่างกัน มือหนาเอื้อมสัมผัสไปยังข้อมือข้างที่เขาบิดแผ่วเบา
“เจ็บมากไหม ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
คำว่า ‘ขอโทษ’ ที่ผ่านออกมาจากปากเขาทำให้ทำนบน้ำตาของเธอพังครืนลง มันหล่นไหลลงมาแต่ไร้เสียงสะอื้น ปลายนิ้วแกร่งพยายามจะเกลี่ยเช็ดให้หากแต่จันทร์เจ้าก็พยายามเบือนหน้าหนี แต่หนีเท่าไรก็ไม่พ้นเพราะเขารั้งตัวเธอเข้ามากอด
“ผู้หญิงของคุณคงเจ็บกว่าฉันร้อยเท่า”
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้เริ่มก่อน”
“หึ รู้ก็เท่านั้น คุณก็จัดการฉันแทนเธออย่างสาสมแล้ว”
“บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ ไว้เรื่องจบเมื่อไหร่จะยอมให้เอาคืน”
จันทร์เจ้าเข้าไปจัดของใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่เพียงใบเดียวตามคำสั่งของเขา ครั้งนี้หญิงสาวชั่งใจอยู่นานกับกรอบรูปคู่ว่าจะใส่ลงในกระเป๋าเดินทางด้วยหรือไม่ สุดท้ายก็เลือกที่จะโยนใส่ลงไปแล้ววางเสื้อผ้าทับไว้อีกหลายชั้น รูดซิปกระเป๋าเป็นอันเสร็จ ก่อนจะยืดตัวลุกขึ้นยืนแล้วหันมองไปรอบห้องที่แสนคุ้นเคยอีกครั้ง เขาคิดว่าเธอจะกลับมา แต่เธอไม่...
พอเห็นจันทร์เจ้าลากกระเป๋าออกมาจากห้องจักราก็เดินเข้าไปหา บอกกับเธอว่า
“ไม่เกินสามวันเดี๋ยวเฮียจะตามไป”
‘เฮีย’ นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่เขาเรียกแทนตัวกับเธอด้วยคำ ๆ นี้ หากแต่ว่ามันก็คงจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกันที่จะได้ยิน ดวงตากลมเพียงเหลือบมอง ก่อนจะก้มหน้าลงไม่ได้เอ่ยตอบรับหรือปฏิเสธ
ชายหนุ่มผุดนึกถึงคำสั่งเสียของบิดาจันทร์เจ้าก่อนจะจากไปเพียงสามวันที่เดินทางมาพบเขา
“หากผมเป็นอะไรไปฝาก ขอฝากลูกสาวคนเดียวของผมไว้กับเฮียใหญ่ด้วยนะครับจันทร์เจ้าเป็นดวงใจของผม แต่ถ้าหากวันไหนเฮียไม่ต้องการลูกสาวผม ขออย่าทำร้ายจิตใจด้วยการให้เป็นเมียน้อยของเฮีย ปล่อยให้แกไปมีอิสระตามทางของแก และขอให้ใครมาทำร้ายลูกสาวของผมทั้งร่างกายและจิตใจ ผมขอเพียงเท่านี้ครับ”
จักราไม่ได้ตอบเป็นคำพูดออกมา หากสีหน้าและสายตาก็แสดงออกว่าเป็นการตอบรับก่อนที่เขาจะพยักหน้าสำทับอีกครั้ง บิดาของหญิงสาวจึงยิ้มออกมาคล้ายหมดห่วง
^
^
^