จันทร์เจ้าเดินทางไปทำงานที่เมืองจีนจนครบกำหนดเวลา ก็เดินทางกลับมาถึงเมืองไทยจากสนามบินมุ่งตรงสู่เพนต์เฮาส์ กะจะพูดกับเขาให้รู้เรื่อง เธอถึงห้องตั้งแต่บ่ายสี่โมงรอเขาจนถึงสี่ทุ่มจักราจึงได้โผล่หน้ากลับมา
ทันทีที่เผชิญหน้าสายตาก็พลันเห็นเธอยืนจ้องมองมาที่เขา น้ำตาคลอเบ้า แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เธอถามเขาด้วยเสียงสั่นเครือแต่แฝงไว้ด้วยโทนกร้าวกระด้าง
“เฮีย คบซ้อนทำไมไม่บอกฉัน!?”
จักราชะงักไปชั่ววินาที ก่อนเลิกคิ้วขึ้นช้า ๆ ดวงตาเรียบนิ่งเหมือนคนไม่รู้สึกรู้สาอะไร เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาคำต่อคำ
“ทำไมฉันต้องบอกเธอด้วย ในเมื่อเธอก็เป็นแค่นางบำเรอ”
ประโยคนั้นเหมือนคมมีดกรีดลงตรงกลางหัวใจ ร่างบางเทิ้มสั่นไปทั้งตัว ใบหน้าที่เคยเปื้อนรอยยิ้มกลับเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่หล่นไหล
“งั้นเหรอคะ…” เธอหัวเราะทั้งน้ำตา เสียงสั่นพร่า “ที่ผ่านมาทั้งหมด จันทร์มันก็เป็นได้แค่นี้ในสายตาเฮียสินะ”
ร่างสูงยืนนิ่ง สายตาที่เย็นชาเหมือนจะตัดขาดทุกความผูกพันแต่ในอกลึก ๆ กลับสะท้านเล็กน้อย เขาหันหลังหนี ไม่อยากให้ใครเห็นแววสั่นไหวในดวงตาของตัวเอง
เธอยังคงพูดต่อด้วยเสียงขาดห้วง “ที่แท้ก็แค่หลอกให้จันทร์ไปไกลหูไกลตา ไม่ได้คิดอยากเปิดตลาดใหม่อะไรหรอกใช่ไหม ถ้าเฮียคิดแบบนั้น จันทร์ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ให้เฮียเหยียบย่ำอีกต่อไป จันทร์ควรจะไปจากที่นี่ได้แล้ว” น้ำตาเจ้ากรรมยังคงกลิ้งหล่นลงมาไม่ขาดสาย
“เธอควรไปจากที่นี่นานแล้ว แต่ช่วยไม่ได้ที่เธอไม่ไป สิบล้าน มากพอที่จะทำให้เธออยู่สุขสบายได้จันทร์เจ้า”
“ค่ะ ได้ แต่จริง ๆ แล้ว เรื่องงานหมั้นของคุณแค่บอกฉันมาตรง ๆ ฉันก็ยอมรับได้นะ ไม่ต้องถึงกับส่งฉันไปไกลขนาดนั้น เสียเวลาเปล่า ๆ ส่วนเรื่องมาลีฉันจะกลับมารับทีหลังไว้ฉันหาที่อยู่ใหม่ให้มันได้ก่อน”
“ถ้าเธอยังไม่มีที่ไป ฉันมีที่พักให้เธอชั่วคราว แถวชายทะเล ไปพักผ่อนสงบจิตสงบใจเสียก่อน”
“ไม่จำเป็น”
เงินสิบล้านถูกโอนเข้าบัญชีของจันทร์เจ้าเรียบร้อย หญิงสาวรีบเก็บกระเป๋า เลือกหยิบแต่ของใช้ที่จำเป็นของตัวเองออกมาก่อนและไม่ใช่ว่าที่เหลือจะมาเก็บ หากแต่เป็นว่าที่เหลือให้ทิ้งมันไปได้เลย เธอจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกแล้ว จบแบบหักดิบก็เจ็บดีเหมือนกัน
เสียงซิปกระเป๋าดังขลุกขลักก้องไปทั่วห้อง จันทร์เจ้าเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ทั้งน้ำตา ริมฝีปากเอาแต่บ่นพึมพำกับตัวเอง
“ฉันจะไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว…พอกันที ไม่มีเหตุผลอะไรให้ทนอีกต่อไป”
มือเธอสั่นเทาเมื่อหยิบกรอบรูปที่เคยถ่ายคู่จักราขึ้นมา ชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเบือนหน้าหนี ซุกมันลงก้นกระเป๋าอีกใบแล้วรีบหาของมายัดใส่
หญิงสาวลากกระเป๋าที่เก็บเสร็จแล้วออกมาจากห้องนอนของที่เหลือถือว่าทิ้งไว้ที่นี่จะไม่กลับมาอีก สิ่งที่ยังเหลือสิ่งเดียวก็คือมาลีควายท้องแก่ที่เธอจะหาที่อยู่ให้มันใหม่
ร่างบางเดินมาหยุดตรงหน้าชายหนุ่มที่นั่งไขว่ห้างมองเธอนิ่งนาน แววตาอ่านยากจนไม่อยากจะอ่านความรู้สึกนึกคิดใด ๆ ของเขา เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาได้ทำตอนเธอไม่อยู่ เขาคงมองว่าเธอเป็นแค่มดงานตัวหนึ่งที่ทำงานให้องค์กรเท่านั้น เป็นคนที่ไว้ใจได้เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอคงไม่มีวันทรยศเขา
ใบหน้าที่ยังมองเขาด้วยความโกรธไม่จืดจางเงยหน้าขึ้น น้ำตายังเกาะอยู่บนขอบตา
“ฉันจะหาที่อยู่ให้มาลีเร็วที่สุด”
จักราสูดลมหายใจเข้าลึก เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดออกมา คำว่าหักดิบไม่ใช่แค่เธอที่เลือกวิธีนี้ เขาเองก็ต้องเลือกใช้วิธีนี้เหมือนกัน หน้าที่กับหัวใจ วันนี้รู้แล้วว่ามันไปด้วยกันไม่ได้
ยามเมื่อร่างสูงเบือนหน้าไปอีกทางอย่างไร้เยื่อใย เมื่อนั้นน้ำตาหยดสุดท้ายเธอก็ไหลตกลงมา ถือว่าจบกันตรงนี้
จันทร์เจ้าลากกระเป๋ามาพักที่โรงแรมติดริมน้ำเจ้าพระยาแห่งหนึ่งชั่วคราว มีเงินติดตัวอยู่ในบัญชีมากพอที่จะนั่งพักผ่อนได้เป็นปี ๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าเหนื่อยกับที่ทำงานมา ตอนนี้ยังไม่อยากคิดเรื่องอะไรให้ปวดสมองขอพักผ่อนรีเซทตัวเองสักอาทิตย์แล้วหาที่อยู่ใหม่ให้มาลีจะได้ไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอย่างถาวร
ทางด้านของจักรา เมื่อในห้องไม่มีจันทร์เจ้าอยู่แล้วเขาก็รู้สึกถึงความเงียบที่ทำให้อึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออก แม้มีคนสนิทอยู่ใกล้ตัวแต่ก็เหมือนนั่งอยู่เพียงลำพัง ทว่าตอนที่เขาเลือกที่จะให้เธอเดินจากไปเขาก็ยังไม่ไว้วางใจว่าเธอจะใช้ชีวิตคนเดียวได้อย่างราบรื่นจึงให้คนคอยติดตามดูห่าง ๆ ก็ได้รู้ว่าตอนนี้เธอลากกระเป๋าเข้าพักที่โรงแรม
ทว่าที่ด้านนอกคิมหันต์ลูกน้องที่คอยตามติดเขาอีกคนรับโทรศัพท์แล้วรีบเข้ามารายงานบางอย่างกับเจ้านายด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
“ว่าไง” … เสียงเขาหนักแน่นสั้นๆ ก่อนจะนิ่งฟัง
“เฮียครับ มีสายรายงานว่ามีคนสะกดรอยคุณจันทร์ตั้งแต่ออกจากสนามบินมาที่เพนต์เฮาส์ มันเหมือนจะรู้ตัวเลยรีบหนีไป ยังไม่ทราบว่าเป็นคนของฝ่ายไหนครับ ตอนนี้ก็เหมือนจะตามไปที่โรงแรมที่เธอพักด้วย”
จักราเม้มปากแน่น ดวงตาคมวาบด้วยความหงุดหงิดปนกังวล
จนได้
“เหมือนเขากับเธอยังไม่หมดกรรมต่อกันตอนนี้นะจันทร์”
ราวห้าโมงเย็นจันทร์เจ้าลงมานั่งรับประทานอาหารในร้านอาหารริมน้ำติดกับโรงแรมที่เธอพัก ทอดมองวิวยามเย็นและเรือที่วิ่งผ่านไปมา แต่สมองคล้ายเหม่อลอยไม่ได้จดจ่อกับภาพตรงหน้า ชีวิตที่จะต้องเริ่มใหม่คนเดียว ไม่มีใครที่จะคอยถาม คอยปรึกษา จันทร์เจ้าแทบไม่มีเพื่อนสนิทเลย คนที่สนิทที่สุดในชีวิตเธอก็มีแต่เขาที่เป็นทุกอย่าง ตอนนี้แม้อยากจะคุยกับใครสักคนก็ไม่รู้จะยกหูหาใคร นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ลักษณะดูดี ภูมิฐานคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างเธอทำท่าทีว่าอยากจะคุยด้วย แต่ตอนนี้เธอยังไม่มีกระจิตกระใจจะคุยกับเขา ทำได้แต่นั่งเงียบจนชายคนนั้นลุกเดินจากไป
จนกระทั่งรู้สึกว่ามีเงาทะมึนทาบทับอยู่เบื้องหลัง ไออุ่นที่คุ้นเคยแผ่เข้ามาปะทะจึงหันไปมอง
“จักรา”
จักรากระตุกคิ้วขึ้นทันที เบรกคำราวกับมีใครดึงสายเสียงเขาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าตึง ๆ
“ฉันไม่ได้เพื่อนเธอ จะมาเรียกชื่อแบบนี้ได้ยังไง หรือว่าได้เงินไปใช้แล้วจึงเหิมเกริม ฉันให้เธอได้ฉันก็ยึดทั้งหมดคืนมาได้”
เรียกซะหมดอำนาจ บารมี
“คนไม่มีสัจจะ แม้กระทั่งกับผู้หญิงแบบนี้ยังเป็นผู้ชายอีกเหรอ”
เธอหันกลับมาจ้องอย่างท้าทาย ความโกรธที่สุมอยู่ประทุ จริง ๆ เรื่องที่เธอต้องย้ายออกจากชีวิตเขาจันทร์เจ้าเคยคิดไว้ แต่ที่เธอโกรธเคืองนั่นเพราะที่เขาโกหกเธอเรื่องที่หลอกให้เธอไปที่อื่นแล้วตัวเองหมั้นกับผู้หญิงต่างหาก
“ออกมาไม่ถึงวัน ไม่คิดว่าจะเก่งขึ้นขนาดนี้”
“ฉันไม่ใช่ลูกน้องของของคุณแล้ว จะมาอะไรกับฉันอีก”
“ถ้ายังอยากมา มีอะไรไหม”
“มาทำไม ไม่รักก็ไม่ต้องมา”
จันทร์เจ้าพูดเชิงประชด ส่งสายตาค้อนขวับ จักรากัดฟันเบา ๆ
“มารับเธอกลับ”
“ไม่ นึกพิศวาสฉันขึ้นมาเหรอ” ตอบทันทีทันควัน
ชายหนุ่มจ้องเธอเต็มตา เสียงเข้มกระด้างแต่สั่นน้อยๆ ในใจ
“เพราะถ้าเธออยู่ข้างนอกตัวคนเดียว…เธออาจมีอันตราย”
จันทร์เจ้าชะงักงัน สายตาหวาดหวั่นฉายชัด
“หมายความว่ายังไง”
“ฉันว่าเธอน่าจะรู้ดี”
ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะนิ่งไป จันทร์เจ้าทำธุรกิจกับเขารู้ดีว่าในวงการนี้มีทั้งคนสีเทาไปจนถึงสีดำมืด ตระกูลสุริยเดชาของเขามีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่าย่อมเป็นที่ไม่พอใจของหลายฝัก แต่จะทำอย่างไรได้ความเก่งกาจที่มาจากความสามารถหาใครเทียบยากจนทำคนหมั่นไส้อยากกำจัดให้พ้นทาง
“ฉันไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณตอนนี้”
“พวกมันรู้ว่าเธออยู่ใกล้ชิดฉัน เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่อยากถูกนำไปขายก็กลับมาอยู่ในความคุ้มครองของฉันต่อ”
“ไม่ ฉันเลือกออกมาแล้ว จะเป็นยังไงก็แล้วแต่ฉัน”
ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับความดื้อรั้น
“ถ้าเธอไม่กลับ จะมีสองชีวิตตายแทน”
“หมายความว่าไง”
“ก็ไอ้ควายของเธอที่อยู่บ้านฉันไง ฉันให้คนนำไปเชือดได้ตลอดเวลา”
จันทร์เจ้าเบิกตาโตด้วยความโกรธ
“ทำไมคุณถึงใจร้ายได้ขนาดนี้”
“จะอยู่ที่นี่แล้วตัวเองก็เสี่ยงอันตราย หรือจะกลับไปเพื่อให้ควายเธอรอด”
“จักรา ฉันไม่คิดว่าคุณจะเลว...อื้อ ปล่อย”
เขาไม่รอฟังคำผรุสวาทของเธอ มือหนาคว้าข้อมือเล็กแล้วพาเดินออกไปจากร้านอาหาร ไม่มีใครห้ามเพราะกิริยาท่าทางไม่ได้ดูเหมือนคนที่ทะเลาะกันรุนแรงในสายตาคนอื่น เขาพาเธอขึ้นมาในรถส่วนของที่เหลือให้คนตามเก็บที่หลัง
จันทร์เจ้านั่งนิ่งเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน เธออยากหนีไปให้ไกล แต่เงามืดที่เขาพูดถึงกลับพันธนาการเธอไว้ในกรงทองที่เรียกว่าเพนเฮาส์ และในกำมือของเขาอีกครั้ง
หญิงสาวสะอื้น ดวงตาแดงก่ำ มือหนาจึงยกขึ้นมาลูบศีรษะเป็นการปลอบโยน แต่ในเวลานี้เธอกลับรู้สึกเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงที่กำลังถูกเจ้านายลูบหัวอยู่ต่างหาก
“ทำไมล่ะ ไม่อยากอยู่กับเฮียแล้วเหรอ”
“ไอ้บ้า!”
“เอ้า ชีวิตเธอยังมีค่า อย่าเพิ่งออกไปเสี่ยงเลยจันทร์เจ้า”
จากวันนั้นจันทร์เจ้าก็ไม่เชิงว่าถูกขังไว้ให้อยู่แค่เพนต์เฮาส์แค่เวลาไปไหนเธอต้องตามติดจักราไปทุกที่เสมือนเป็นเงาของเขาก็แค่นั้น
^
^
^
***เป็นกำลังใจให้น้องด้วยนะคะ คนละหนึ่ง หนึ่งเม้นน้า