สองวันที่จันทร์เจ้าไม่ได้ออกจากเพนต์เฮาส์ไปไหน เนื่องจากร่างกายที่แม้เพียงลุกเดินก็ขาสั่นอีกทั้งเขาก็ไม่ปล่อยให้เธอห่างตัวนาน กระทั่งในช่วงสายของวันศุกร์ จักรานั่งรถมินิแวนคันหรูโดยมีสาโรจน์เป็นคนขับพร้อมทั้งจันทร์เจ้า เพื่อไปดูที่ดินแปลงใหญ่ที่เขาติดต่อจะทำการซื้อแถวอยุธยา ที่แปลงนี้อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและทิวทัศน์ทั้งสองฟากฝั่งก็สวยมาก
ร่างสูงยืนทอดมองที่ดินผืนใหญ่รอบบริเวณด้วยสายตาคมกริบราวกับกำลังประเมินสนามรบ แต่ความจริงแล้วเขากำลังคำนวณผลประโยชน์และตัวเลขกำไรในหัว ในอนาคตมีโอกาสจะหาผลกำไรจากที่แปลงนี้ได้อย่างไร
จันทร์เจ้าเดินตามมาเงียบ ๆ ก่อนจะชะงักสายตาที่ผืนน้ำกว้าง เต็มไปด้วยผักตบชวาเบ่งบานสีม่วงอ่อนกระจายไปทั่ว เธอยกมือชี้อย่างตื่นเต้น รอยยิ้มกว้างจนตาเป็นประกาย
“เฮียคะ ดูนั่นสิคะ ดอกผักตบชวามันสวยมากเลย”
ชายหนุ่มหันมามองแวบหนึ่ง แววตานิ่งเย็น ดวงหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ก่อนจะปรายสายตากลับไปที่ผืนน้ำ “แค่ดอกผักตบ…ของไร้ค่า พรุ่งนี้ก็เน่าแล้ว” น้ำเสียงเย็นชาไร้แววอ่อนโยน
“แต่สำหรับจันทร์มันไม่ไร้ค่านะคะ มันเหมือนผืนพรมสีม่วงที่ธรรมชาติจัดวางมาให้เรา มันทำให้จันทร์อยากยืนมองอยู่อย่างนี้ไปอีกนาน ๆ”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง มองใบหน้าของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส สายตาที่เขาเคยใช้ตัดสินทุกอย่างด้วยคำว่า กำไร-ขาดทุน กลับสะดุดให้กับมุมมองเล็ก ๆ ของเธอที่เขาไม่เคยคิดจะใส่ใจมาก่อน
ริมฝีปากชายหนุ่มกระตุกยิ้มเบาบางเพียงเสี้ยววินาที แต่แล้วก็กลับไปเป็นสีหน้าเรียบนิ่งดังเดิม เขาหันหลังให้เธอ พร้อมพูดเสียงทุ้มต่ำแฝงความแข็งกร้าว
“ไปกันเถอะ”
แต่ในอกของเขาเองกลับยังแอบนึกถึงแค่ ‘ดอกผักตบ’ ที่เธอว่าสวย…
ขากลับ ขณะที่รถมินิแวนกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าก่อนเบนออกสู่ถนนเส้นหลักเพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ถนนกำลังมีการซ่อมบำรุงทำให้รถต้องค่อย ๆ เบียดเข้ามาวิ่งในเลนเดียว ขณะเดียวกันสายตาของจันทร์เจ้าก็หันไปเห็นรถกระบะคอกเหล็กบรรทุกควายตัวหนึ่ง รูปร่างผอมจนเห็นโครงกระดูกราวกับคนเลี้ยงไม่ใส่ใจดูแล ช่างน่าเวทนาสงสารเป็นอย่างมาก เธอมองไปที่มันเห็นขนตาที่งอนยาวยามปัดลงต่ำ ดวงตาของมันหม่นเศร้าราวกับรับรู้ชะตากรรมของตนเอง จะด้วยว่าเธอเคยมีความเกี่ยวข้องหรือจิตเมตตาอันแรงกล้าขึ้นมาในขณะนี้ก็ไม่ทราบ จิตใจเธอถึงไม่สงบเมื่อคิดว่ากำลังมองเห็นอนาคตของมัน
ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น มือกำชายกระโปรงจนยับ “มัน…คงกำลังถูกพาไปโรงฆ่าสัตว์ เฮียคะ จันทร์อยากไถ่ชีวิตมันได้ไหม”
เสียงพูดเต็มไปด้วยความเว้าวอน แววตาเธอสั่นระริกด้วยความสงสารจนชายหนุ่มที่กำลังขมวดคิ้วดูหน้าจอไอแพดต้องเหลือบมอง เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนหัวเราะแผ่วเบาอย่างไม่เชื่อหู
“ช่วยแล้วจะเอามันไปไว้ที่ไหน เธอจะเลี้ยงเหรอ”
“ก็ค่อยหาที่อยู่ให้มันก็ได้ เอาไปให้เกษตรกรที่เขาไม่ฆ่า ได้บุญนะเฮีย”
“จะมาใจบุญอะไรตอนนี้แม่คุณ เรื่องธรรมชาติมันเป็นสัจธรรม”
“แต่มันผอมมากเลยนะเฮีย น่าสงสารมาก ดูมันมองเราสิ มันกำลังขอให้เราช่วยนะคะ ควายตัวนี้ต้องถูกเลี้ยงแบบอดอยากแน่เลย ผอมโซขนาดนี้”
เธอทำท่าจะค้อน
ชายหนุ่มถอนหายใจ สายตานิ่งเย็นเขาไม่ได้รู้สึกสะท้อนสะท้านกับภาพควายตรงหน้าเพราะเข้าใจว่านั่นคือธรรมชาติ คือสัจธรรม ตราบใดที่คนยังอิ่มทิพย์ไม่ได้สัตว์ก็ต้องเป็นอาหารคนวันยังค่ำทว่าพอเห็นสายตาที่ส่งค้อนเล็ก ๆ มาให้นั้นกลับสะกิดใจเขาแปลก ๆ ความดื้อรั้นของเธอเหมือนค้อนเล็กที่เคาะลงกลางอกหนาให้สั่นสะเทือนได้
จันทร์เจ้าเห็นสีหน้าที่เย็นชาของเขา คิดว่าเขาต้องไม่ใจอ่อนกับคำขอของเธอแน่หากไม่มีข้อแลกเปลี่ยน หญิงสาวจึงได้เสนอ
“ใกล้วันเกิดจันทร์แล้ว ของขวัญปีนี้ขอเป็นชีวิตควายตัวนี้ได้ไหมคะ จันทร์จะเลี้ยงมันเอง ไม่เป็นภาระให้เฮียหรอก”
“เธอจะเลี้ยงมันยังไง ยัยดื้อ ซื้อไปแล้วมันไม่จบง่าย ๆ หรอกนะ”
“เลี้ยงได้ก็แล้วกัน นะคะ ขอเถอะ จันทร์สงสารมันจริง ๆ นะคะ เฮียขา ควายตัวไม่กี่บาทหรอกสำหรับเฮีย จันทร์เอาเงินซื้อก็ได้ นะเฮียขา เฮียผัวขา”
เธอบีบนวดลงไปบนต้นขาแกร่งอย่างปรนนิบัติ ทำตาปริบ ๆ ออดอ้อนเสียงหวานจนกระทั่ง...
“ไปถามเขาก่อน ถ้าเขาเอามันไปโรงเชือดค่อยไถ่ตัว ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้อง”
“ขอบคุณนะคะเฮียใหญ่ ผัวขา”
ไม่อยากเชื่อ เขาแพ้คำว่า ‘ผัวขา’ จากเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
^
^
^
กดหัวใจมาให้กำลังใจกันด้วยนะคะ ช่วงนี้อัปนิยายเหมือนไม่มีคนเห็น แงๆ