หลอกซ้ำ…4/1

1411 Words
สามเดือนต่อมา จักรา ถูกศักดิ์ดาผู้เป็นบิดาเรียกเข้าไปพูดคุยเรื่องการแต่งงาน เพื่อหาผู้หญิงมาเป็นภรรยาในอนาคตของผู้ที่จะต้องสืบทอดวงศ์ตระกูลอย่างเขา ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็มีอยู่ในใจของทั้งบิดาและตัวจักราอยู่แล้ว นั่นก็คือคุณหมอกรองแก้ว มีศักดิ์เป็นหลานสาวเจ้าสัวของตระกูลนักธุรกิจใหญ่ ซึ่งมีธุรกิจในเครือเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่งทาบทามให้รู้จักตามงานสมาคมที่มีโอกาสได้พบปะกัน ตอนนี้ผ่านมาเกือบหนึ่งปีจึงเห็นว่าความสัมพันธ์ควรจริงจังได้แล้ว ‘กรองแก้ว กฤตาเวชกุล’ เธอเป็นจิตแพทย์ ทำงานประจำอยู่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิท บุคลิกภายนอกเรียบร้อยอ่อนหวานดูน่ารักชวนมอง พูดจามีเหตุผล เธอมีโอกาสได้สนทนากับจักราและรับรู้ถึงความต้องการของผู้ใหญ่เป็นอย่างดี เมื่อบิดาของเขาพูดเรื่องความสัมพันธ์ที่มันถึงเวลาแล้วที่เขาต้องมีภรรยาอย่างถูกต้องเสียที การนัดหมายจึงได้ถูกจัดแจงขึ้น ในห้องอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง กรองแก้วนั่งสำรวมเรียบร้อย สีหน้าดูหวานละมุนเหมือนดอกไม้งามยามแย้มกลีบสดใส เธอวางถ้วยชาลงในจานรองอย่างเบามือเมื่อจักราก้าวเข้ามา ท่าทางของเขายังคงสุขุม เย็นชา “คุณแก้วรอนานไหมครับ ขอโทษทีที่ผมมาช้า ติดงานนิดหน่อย” คุณหมอสาวส่ายหน้าเพียงเล็กน้อยพลางส่งยิ้มหวาน แม้ท่าทางจะออกนิ่มนวลเชื่องช้าแต่กิริยากลับดูสบายตาเป็นธรรมชาติ ไม่ติดจริตจนเกินงาม “ไม่เลยค่ะเฮีย แก้วเพิ่งมาถึงไม่นานนี่เอง ดื่มชาอุ่น ๆ ก่อนนะคะ” มือเรียวยกกาน้ำชาขึ้นเพื่อบริการให้เขา เหมือนภรรยาที่พึงปฏิบัติต่อสามีอย่างเอาใจ “เข้าเรื่องเลยนะครับ จะได้ไม่เสียเวลา เราก็รู้จักกันมาสักพักแล้ว คุณแก้วก็รู้ว่าทั้งสองครอบครัวอยากให้เราลองคบหากันอย่างจริงจัง” เขาหยุดไปเสี้ยววินาที แววตาคมกริบไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ “คุณแก้วคิดว่ายังไงครับ?” กรองแก้วชะงักไปนิด ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ อย่างอ่อนหวาน เธอเงยหน้ามองเขาตรง ๆ ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน “สำหรับแก้ว…ครอบครัวสำคัญค่ะ ถ้าพวกท่านเห็นว่าดี แก้วก็ไม่ขัด” “แม้ในภายภาคหน้าก็ไม่ขัดใช่ไหมครับ” “ค่ะ ไม่ขัด แก้วเองก็ยังไม่เคยรักใครเลยสักครั้ง หากเฮียจะเป็นคนแรกที่แก้วรัก แก้วก็เต็มใจค่ะ แล้วเฮียล่ะ มีใครอยู่ในใจหรือเปล่า” มีใครอยู่ในใจหรือเปล่างั้นหรือ คำถามนี้เขาตอบเธอได้โดยไม่ต้องคิด “ไม่ ผมไม่มีใครอยู่แล้ว” “ค่อยสบายใจหน่อยค่ะ ก่อนหน้านี้แก้วก็มีคิดบ้างว่า อย่างเฮียต้องมีสาว ๆ อยู่แล้วหรือเปล่า ได้ยินเฮียบอกมาแบบนี้แก้วก็ดีใจ” ชายหนุ่มพยักหน้า คุณหมอสาวจึงยิ้ม เธอเอียงศีรษะน้อย ๆ ดวงตาเป็นประกายและเอ่ยต่อ “แต่แก้วก็อยากให้ความสัมพันธ์มันไม่ใช่แค่หน้าที่นะคะ แก้วเชื่อว่าถ้าเราลองเปิดใจให้กันจริง ๆ เราอาจจะไปกันได้” “แน่นอน การที่ผมตกลงจะคบหากับใคร มันก็ไม่ใช่แค่หน้าที่เหมือนกัน คุณแก้วก็เป็นคนแรกที่ทำให้ผมอยากคบกับผู้หญิงสักคน” “งั้นต่อไป เฮียแทนตัวเองว่าเฮียกับแก้วนะคะ จะได้ไม่รู้สึกห่างเหิน” “ครับ” เมื่อทั้งคู่ตัดสินใจคบหากันอย่างเปิดเผยก็มีการออกงานสังคมคู่กันบ่อยครั้ง เป็นการเปิดตัวให้ทั้งสื่อและคนในแวดวงธุรกิจรู้ในความสัมพันธ์โดยไม่ปิดบัง หากแต่เรื่องนี้ยังไปไม่ถึงหูของจันทร์เจ้าเพราะเธอไม่ค่อยเสพสื่อในโซเชียลสักเท่าไร ยิ่งตอนนี้ว่างจากงานหญิงสาวก็ขับรถไปที่บ้านชานเมืองของจักราเพื่อดูเจ้ามาลี ที่กำลังท้องโตขึ้นทุกวัน ในขณะเดียวกันทางด้านของจักรากับกรองแก้วก็กำลังพูดคุยเรื่องหมั้นหมายต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ห้องรับรองใหญ่ในคฤหาสน์สุริยเดชาถูกจัดไว้อย่างหรูหรา เสียงถ้วยชากระทบกันเบา ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุนทรีของทั้งสองบ้าน ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่หัวโต๊ะคนละด้าน เจ้าสัวศักดิ์ดาบิดาของจักราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เด็กทั้งสองก็คบหาทำความรู้จักกันพอสมควรแล้ว เรื่องนี้อั๊วเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องหมั้นกันเอาไว้ ถือเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล สำคัญต่ออนาคตของทั้งคู่ พวกลื้อสองคนมีอะไรอยากพูดก็บอกต่อหน้าผู้ใหญ่ได้เลย” กรองแก้วนั่งฟังกิริยาเรียบร้อย เธอหันไปยิ้มอ่อนโยนก่อนตอบ “สำหรับแก้ว…แก้วไม่มีปัญหาค่ะ แก้วเชื่อในการตัดสินใจของผู้ใหญ่ และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด” ทันทีที่ประโยคจบลงสายตาผู้ใหญ่ฝ่ายเธอเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ส่วนจักรา สีหน้ายังคงขรึมเรียบ ไม่ได้ตอบทันที สายตาคมกริบเหลือบมองทุกคนรอบโต๊ะ ก่อนพูดเสียงทุ้มต่ำ “ถ้าผู้ใหญ่เห็นว่าเหมาะสม ผมก็จะไม่ขัด” คำตอบนั้นเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความเย็นชาในน้ำเสียง กรองแก้วแอบเหลือบตาไปสบกับเขา ริมฝีปากยังคงยิ้มละมุน แต่แววตาส่วนลึกซ่อนประกายพึงใจ อย่างน้อยเขาก็ไม่ปฏิเสธต่อหน้าทุกคน ผู้ใหญ่ฝ่ายชายพยักหน้าช้า ๆ “ดี แค่นี้ก็พอแล้ว ที่เหลือเรื่องวันหมั้นก็จัดซะอาทิตย์หน้านี้เลย” คล้ายบรรยากาศทุกอย่างถูกปิดตายลง เสียงสนทนาของผู้ใหญ่ยังคงดำเนินต่อ แต่ในใจของจักรากลับครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่เงียบ ๆ ในค่ำวันหนึ่งจักราเรียกตัวจันทร์เจ้าเข้ามาพบในห้องทำงานบนเพนต์เฮาส์ ชายหนุ่มนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้สักขนาดใหญ่ แสงไฟส่องให้เห็นเงาคมเข้มบนใบหน้า เขาเปิดแฟ้มงานเกี่ยวกับสินค้าทางการเกษตรที่เพิ่งเข้ามาในโครงการใหม่ ผักผลไม้สดจากฟาร์มที่ดินในอยุธยาและจังหวัดอื่นที่เขารับซื้อจากเกษตรกร “เฮียเรียกจันทร์มามีอะไรเหรอคะ” ดวงตาคมมองใบหน้าจิ้มลิ้มของคนที่เขาเลี้ยงดูมาห้าปีแล้ว ก็ไม่คิดว่ามันกินเวลามาเนิ่นนานขนาดนี้ “ฉันจำได้ว่าเธอเคยบอกว่าอยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ตอนนี้ไม่อยากไปแล้วเหรอ” หญิงสาวทำหน้าครุ่นคิด ใช่เธอเคยมีความคิดที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศหลังจากเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ทว่าเมื่อได้ใช้เวลาอยู่กับเขามันทำให้ความฝันนั้นลางเลือนออกไป เมื่อคิดว่าหากเลือกไปเรียนต่างประเทศชีวิตเธอก็จะไม่เหลือใครไว้เป็นที่พึ่งพิงปรึกษาได้อีกแล้ว และนั่นเป็นการจบความสัมพันธ์กับเขาโดยปริยายเช่นเดียวกัน ในตอนนั้นจันทร์เจ้าคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะดำเนินชีวิตเพียงลำพังเธอจึงขอที่จะทำงานกับเขาแทน “ก็ยังไม่ล้มเลิกค่ะ แต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ อาจจะซักปีหน้า เฮียมีเรื่องจะถามจันทร์แค่นี้เหรอคะ” “เปล่า ก็แค่ถามดู แต่เรื่องที่ฉันจะให้เธอทำก็มีอยู่” “คะ...เรื่องอะไร” “ฉันจะให้เธอไปทำงานที่จีนสองอาทิตย์ ไปหาตลาดส่งออกใหม่ที่จีนให้ได้” หญิงสาวเบิกตาโพลง “ให้จันทร์ไปเองเหรอคะ” “ใช่ งานนี้เป็นโพรเจกต์ใหญ่ของเธอ พิสูจน์ตัวเองให้ฉันเห็นสิว่าเธอทำได้” เขากระตุกยิ้มบาง ๆ มองหญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น สับสนแต่ก็ไม่อยากถอย “ถ้าเธอทำสำเร็จ ฉันจะให้รางวัลอย่างงาม” ชายหนุ่มเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ กอดอก มองเธอด้วยสายตาคมลึกที่ยากจะอ่าน “ใช่ รางวัลตอบแทนอย่างงามจนเธอไม่กล้าคิดฝัน” “ค่ะ ไปก็ไป” จันทร์เจ้ายิ้มตอบอย่างไม่มีพิษมีภัย รอยยิ้มของเธอเป็นรอยยิ้มที่เขาชอบ แต่มันอาจจะชินตานานเกินไปแล้ว ^ ^ ^ ***จะหน่วงขึ้นแล้ว ขอคอมเม้น และหัวใจเป็นกำลังใจด้วยค่า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD