หลังจากที่ผมย้ายเข้ามาอยู่บ้านอาจารย์ได้สี่วัน หลังจากที่ท่านพาผมจัดการเรื่องข้าวของเครื่องใช้ของพ่อกับแม่ และท่านก็ยังเป็นธุระจัดการในส่วนของพิธีศพ ที่ทำขึ้นอย่างเรียบง่าย ไม่มีแขกเหรื่อมางานสักคน
มีเพียงผมกับอาจารย์หมอสองคนที่ยืนมองร่างที่ไร้วิญญาณเข้าสู่เมรุเผาศพ มีพระมาทำพิธีทางศาสนาให้ ผมยืนมองปล่องควันดำที่ลอยขึ้นบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง เหตุการณ์นี้มันหนักเกินกว่าที่เด็กอายุย่างเข้า 16 ปีจะรับได้
ยังดีที่อย่างน้อยยังมีอาจารย์หมอที่ยังเมตตาผมอยู่ ไม่อย่างงั้นผมคงเคว้งคว้าง ไร้จุดหมายปลายทาง และอาจจะเดินหลงทางบนโลกใบนี้ตามลำพัง
ผมเริ่มใช้ชีวิตในชนบทอย่างจริงจังก็ตอนที่ต้องไปเข้าเรียนมัธยมกลางคัน ต้องไปปรับตัวใหม่กับเพื่อนกลุ่มใหม่ ด้วยความที่ผมดูแตกต่างกว่าเด็กคนอื่นๆ อาจจะด้วยผมมีผิวที่ขาวกว่าคนละแวกนี้ ตาตี๋เหมือนลูกคนจีน แต่จริงๆ แล้วบ้านผมไทยแท้ครับ ไม่มีเชื้อจีนอะไรกับเขาหรอก ผมก็งงเหมือนกันว่าทำไมผมถึงขาวได้ขนาดนี้
ด้วยความที่เป็นเด็กใหม่ แถมยังขาวตี๋ ดูอ่อนแอในสายตาคนอื่น ก็มักจะมีเจ้าถิ่นมาคอยรับน้องอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ผมจะหยิมๆ ติ๋มๆ ถ้าใครมาแกล้งแล้วคิดว่าผมจะวิ่งไปฟ้องคุณครู คิดผิดถนัดเพราะผมสามารถปกป้องตัวเองจากการถูกทำร้ายได้เสมอ จนบางที่ก็มีการสั่งสอนกลับไปบ้าง จะได้เลิกมาวุ่นวายกับผมสักที
กลับกลายเป็นว่าคนที่มาหาเรื่องผมต้องวิ่งไปฟ้องครูแทนซะเอง แบบนี้งานก็เข้าผมซิครับ ในที่สุดโรงเรียนต้องเชิญผู้ปกครองมาพบ เฮ้อ.....คนที่มาจะใครละครับ ก็คุณลุงนะซิ เพราะท่านเป็นผู้ปกครองคนเดียวของผม
ถึงท่านจะรู้ว่าผมถูกรังแกกลั่นแกล้ง ท่านกลับสอนให้ผมอดทนและยอม เพื่อจะไปไม่ต้องมีปัญหาตามมา เฮ้อ.....ขอถอนหายใจอีกรอบนะครับ เพราะพ่อผมไม่เคยสอนให้ยอมคน ผมเลยยอมใครไม่เป็น โดยเฉพาะคนที่มารังแกเราก่อน
ประเด็นที่พวกนั้นชอบมาแกล้งผมจะมีอะไรได้นอกจากพวกมันจะล้อผมว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ ไม่มีแม่บ้างล่ะ! เด็กเก็บมาเลี้ยงบ้างล่ะ! แบบนี้แล้วผมจะไปทนได้ยังไง ก็ต้องสั่งสอนกลับไปบ้าง
แต่เรื่องผลการเรียนผมไม่แย่นะครับ อยู่ในเกณฑ์ดีเลยล่ะ ก็เพราะเนื้อหาที่เรียนอยู่ตอนนี้ ผมเรียนมาหมดแล้วนะซิ เป็นสิ่งเดียวที่ตอนนี้มันทำให้ผมยังรักษาหน้าคุณลุงไว้ได้บ้าง แต่พอต้องทะเลาะกับพวกนี้บ่อยๆ พวกมันเห็นผมใจสู้ไม่กลัวใคร มันเลยรับผมเข้าแก๊งกับมันซะอย่างนั่น วันๆ ก็ไม่ทำอะไร ชวนหลบเรียนบ้าง ขโมยผลไม้ชาวบ้านบ้าง ขโมยปลาในบ่อบ้างพอได้มาก็พากันไปนั่งกินกันที่ฐานทัพของพวกเราใกล้ๆ โรงเรียนนี้ล่ะครับ
กลางคืนดึกๆ ก็มาแอบพาผมหนีออกจากบ้านไปแว้นบนถนนสักรอบ สองรอบแล้วพากลับมาส่งบ้าน ก่อนที่คุณลุงจะตื่น เพราะบางวันท่านจะตื่นแต่เช้าไปออกตรวจ
จากที่ผมเริ่มเกเรบ่อยๆ เข้า ทางโรงเรียนก็โทรมารายงานความประพฤติให้คุณลุงทราบ คะแนนก็แย่ลงเรื่อยๆ คุณลุงคงไม่อยากให้ผมต้องมาเสียอนาคตที่นี่ เลยคิดที่จะส่งผมไปอยู่ที่ต่างประเทศกับลูกชายของท่าน
ท่านไม่บอกหรือถามความสมัครใจใดๆ จากผมเป็นครั้งที่สอง เพราะครั้งแรกท่านเคยถามผมแล้วแต่ผมไม่ไป ท่านจัดการให้ลูกชายดูแลเอกสารทุกอย่างให้เรียบร้อย พร้อมที่เรียนและที่พักที่จะไปอยู่ที่นั้นเสร็จสรรพ
“ซัน.....มะรืนนี้ลูกชายลุงจะกลับมาเมื่อไทยนะ”
ผมพยักหน้าตอบรับคำไป เพราะนี้ก็จะเป็นครั้งแรกที่ผมเจอหน้าลูกชายของคุณลุง ก็ไม่รู้ว่าที่ลูกชายคุณลุงมาเมืองไทยเพราะอะไร อาจจะกลับมาเยี่ยมบ้านก็ได้ ผมคิดเอาเอง
ในขณะที่ผมกำลังเตรียมแกะกับข้าวใส่จานรอลูกของคุณลุงเดินทางมา
ติ๊งต๊อก ติ๊งต๊อก (เสียงกดออดหน้าประตูบ้าน)
ผมรีบวิ่งไปบ้านประตูทันที ผมนี้ยืนตะลึงไปเลย ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าผิวไม่ได้ขาวเท่ากับผม ออกแทนนิดๆ สไตล์เอเชีย ใส่แว่นกันแดดอันใหญ่ จมูกโด่ง ตัวสูงใหญ่ น่าจะ 187 cm.ได้ หน้าท้องแน่นปึก เป็นลอนซิกแพคชัดมากเสื้อด้านในใส่เสื้อยืดสีขาวคอกลม ใส่แจ๊คเก็ตหนังสีดำคลุม กางเกงยีนต์ขาดเข่าสีดำ “อะแฮ่ม”
พอได้ยินเสียงจากอีกฝ่าย ผมรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที
“สวัสดีครับพี่แทน”
ผมยกมือไหว้พี่แทนลูกคุณลุงอย่างสุภาพ เพราะพ่อแม่ผมสอนมาตั้งแต่เด็กๆ ในเรื่องให้ความเคารพผู้ใหญ่ ถึงแม้ตอนนี้ท่านจะไม่อยู่แล้วก็ตาม
“ไง ไอ้แสบ”
พี่แทนเรียกผมซะอายเลย ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วช่วยพี่เขาลากกระเป๋าเข้าไปในบ้าน ซึ่งลุงหมอนั่งรออยู่
“สวัสดีครับพ่อ”
พี่แทนยกมือไหว้ลุงหมอ อย่างนอบน้อม
“ไง ไอ้ลูกชาย” ลุงหมอเอ่ยทักลูกชาย
แล้วสองพ่อลูกก็นั่งคุยกันถามสารทุกข์ สุกดิบ อยู่บนโซฟาห้องรับแขก
ระหว่างนั้นผมก็ไปจัดเตรียมอาหารบนโต๊ะให้เรียบร้อย แล้วเดินไปตามพี่แทนกับลุงคุณมาทานข้าว ในขณะที่ทานข้าวสองพ่อลูกต่างเงียบไม่พูดไม่จา ผมนี้โคตรอึดอัดเลย ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่ดีๆ ทำไมตอนนี้กับไม่มีใครพูดอะไรเลย พอผมคิดว่าจะเริ่มพูดอะไรออกไป คุณลุงก็ชิงพูดออกมาก่อน
“ซัน...ลุงอยากให้เราไปอยู่กับพี่แทนนะ ถ้าเราไปอยู่ที่นั่น สภาพแวดล้อมจะดีกว่านี้”
ผมนี้อึ้งไปเลย ไม่คิดว่าการมาของพี่แทนจะเป็นการพาผมไปอยู่ที่นั่นด้วย ผมพยายามหาข้ออ้างต่างๆ นานา เพื่อที่จะให้คุณลุงเปลี่ยนใจ แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายผมก็ต้องไปตามคำสั่งของคุณลุงอยู่ดี
“ลุงให้เวลาเราเตรียมตัว 5 วัน ไปอยู่กับพี่แทนนะ”
“ทำไมเร็วจังเลยครับ โรงเรียนยังไม่ปิดเลย”
“เรื่องโรงเรียนลุงไปแจ้งลาออกให้แล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้เราไม่ต้องไปโรงเรียน”
ผมอึ้งรอบสองซิครับ อะไรมันจะรวดเร็วขนาดนั้น คุณลุงเตรียมการทุกอย่างโดยที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมได้แต่เดินคอตกไปที่ห้องนอน แล้วก็นอนร้องไห้คิดถึงพ่อกับแม่ ตอนนี้ท่านได้จากผมไป 8 เดือนแล้ว ผมยังทำใจเรื่องการจากไปของพวกท่านยังไม่ค่อยได้ นี้จะให้ผมไปอยู่ต่างประเทศอีก ผมนอนร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลเปื้อนใบหน้า เปื้อนหมอนจนเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็แสงแดดสาดมาทางหน้าต่าง
“เฮ้อ...ยังไงก็ต้องไปซินะ แล้วจะเริ่มเก็บของอะไรไปดี แล้วต้องไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้”
ผมได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเอง ใจผมมันไม่ได้อยากไปเลย นึกถึงตอนที่ยังเด็กๆ พ่อกับแม่พาไปเที่ยวญี่ปุ่น ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ผมนี้กลัวมาก ร้องไห้ตลอดทาง ยังดีที่มีพ่อกับแม่คอยปลอบ ตอนนี้ถึงผมจะโตอายุ 15 จะ 16 ปีแล้วก็เถอะ ต้องอยู่บนเครื่องเป็น 10 กว่าชม. ถ้าผมกลัวจะทำยังไงดี
คิดแล้วผมก็นอนร้องไห้อีกรอบ หัวสมองมันวนเวียนแบบนี้ไปเรื่อย จนถึงวันที่ที่จะต้องเดินทาง หมดเวลาที่ผมจะอ่อนแอแล้วซินะ ผมต้องกลายเป็นคนที่เข้มแข็งกว่านี้ให้ได้ ในเมื่อโชคชะตาพาผมมาอยู่จุดนี้แล้ว
“พ่อแม่เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ”
ผมบอกกับคนที่อยู่ในรูปถ่ายมีพ่อ แม่และผม ทุกคนในภาพมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า กับภาพบรรยากาศที่มีภูเขาเป็นแบล็กกราว ภาพนี้ถ่ายที่ประเทศญี่ปุ่น ดูแล้วช่างเป็นภาพครอบครัวที่อบอุ่นเหลือเกิน และอีกคนที่ทำให้คิดถึง
“ตัวเล็ก ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง จะคิดถึงฉันบ้างรึเปล่า”
ติณณภพนึกย้อนถึงอดีตที่เคยเล่นด้วยกัน ชีวิตวัยเด็กเป็นสิ่งเดียวที่มีค่าให้เขาจดจำ....