หลังจากที่รถยนต์คันหรูหมุนอยู่หลายตลบก่อนพลิกคว่ำจนล้อทั้งสี่หงายขึ้นฟ้า ร่างของภริตาเหมือนถูกบีบอัดให้เล็กลง ก่อนจะหมุนติ้วและดับวูบ กระทั่งมารู้สึกตัวอีกครั้งที่โรงพยาบาล
นี่มันโรงพยาบาลนี่นา?
สายตาคมมองไปรอบๆเมื่อภาพเบื้องหน้าเธอตอนนี้คือห้องพักฟื้นที่ไม่ได้มีแค่ตัวเธอเท่านั้น หากยังมีคุณหมอวัยสี่สิบต้นๆ ที่ยืนอยู่ข้างเตียง รวมถึงเพื่อนชายคนสนิทที่สร้างความลำบากให้กับชีวิตเธอ
แต่ทำไมตอนนี้…เธอถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ?
ระหว่างที่ภริตาขมวดคิ้วมุ่นถึงเหตุการ์ก่อนหน้า จู่ๆ เสียงของคุณหมอก็หยุดความคิดของเธอชะงัก
“ดีใจด้วยครับ คนไข้กำลังจะมีน้อง”
“หมอว่าอะไรนะครับ” วาธินทร์เปล่งเสียงถามราวกับคนละเมอ หันไปมองหญิงสาวที่หลับตาพริ้มบนเตียงแล้วก็ไม่เข้าใจ ทั้งที่คนที่ควรจะถามคำถามนั้นคือเธอต่างหากไม่ใช่เขา!!
“คนไข้ตั้งครรภ์ครับ” แพทย์ย้ำอีกครั้ง
“วาด” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น แต่อีกฝ่ายก็ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง เขาจึงดักคอขึ้น “เรารู้ว่าวาดไม่ได้หลับ”
“ใช่ วาดไม่ได้หลับ แต่เพราะวาดรู้ไงว่าธินทร์จะถามอะไร” ภริตาเอ่ยแต่ยังคงหลับตาให้เพื่อนนิ่ง
“นั่นสิ ใครกันล่ะวาด ใครเป็นพ่อเด็ก”
“เอ่อ…รบกวนพูดจากันดีๆ นะครับ อารมณ์ของคนเป็นแม่ส่งผลต่อลูกนะครับ” คนเป็นหมอเอ่ยเตือน วาธินทร์ถึงเงียบชั่วครู่
“วาดตอบไม่ได้ เพราะเขาได้ตายไปแล้ว อย่ารื้อฟื้นอะไรอีกเลย” เสียงเบาหวิวตอบ กระนั้นก็หันมาสบตาเพื่อน และไม่ได้หลบเหมือนก่อนหน้า อีกทั้งสมองก็ยังวนเวียนคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองซ้ำๆ
บรรยากาศที่พบเจออยู่ในขณะนี้ทำให้ภริตาขนลุกชัน เธอไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือความจริงหรือไม่ แต่จำได้เลือนลางว่าเมื่อครู่นี้ ตนเองอยู่กับลูกบนรถกำลังจะไปหาเสี่ยเฮ้ง แต่แล้วโชคชะตาหรืออะไรไม่รู้ผลักดันร่างเธอมาอยู่ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
นี่มันเรื่องประหลาดอะไรเนี่ย!
ดวงตากลมใสที่แห้งผากไร้ความหวังเหลียวมองรอบๆ ตัวแล้วพบว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลในสภาพของคนป่วย
“ทำไมเหตุการณ์มันคุ้นแปลกๆเหมือนเคยผ่านมาแล้ว” น้ำเสียงเล็กพึมพำกับตนเอง ความสับสนที่ผจญอยู่ยุ่งเหยิงเล็กๆ ภริตาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
“วาดพูดอะไรนะ?” วาธินทร์ได้ยินแว่วๆ จึงเอ่ยถาม
“เปล่า”
เธอตอบ ก่อนเหลียวมองหาลูกชายตัวน้อยที่อยู่ด้วยกันก่อนหน้าแต่กลับไม่เห็น เวลานี้มีแต่วาธินทร์ผู้เดียวเท่านั้นที่อยู่กับเธอ
กระทั่งแพทย์เจ้าของคนไข้พูดขึ้นอีกครั้ง สองหนุ่มสาวที่ลับฝีปากกันอยู่จึงเงียบพลัน
“คนไข้พักผ่อนเยอะๆนะครับ เด็กน้อยในครรภ์จะได้แข็งแรง”
เสียงของหมอทำให้หญิงสาวรู้ว่าสิ่งที่เธอสงสัยอยู่มันคือความจริงไม่ใช่ความฝัน ถึงจะยังสับสนอยู่แต่ถ้านี้เป็นเรื่องจริงที่อุบัติเหตุรถที่เธอนั่งพลิกคว่ำ ทำให้เธอย้อนกลับมาในอดีตอีกครั้งอย่างน่าเหลือเชื่อ
“ค่ะ คุณหมอ” เธอรับปากหนักแน่นว่าจะเข้มแข็งและดูแลตัวเองอย่างดี นาทีนี้ภริตามั่นใจแล้วว่าตนเองได้พรหรืออำนาจบางอย่างให้หวนสู่อดีต เพื่อแก้ไขบางอย่างอีกครั้ง
“เช่นนั้น หมอก็เบาใจครับ”
ภริตายิ้มให้หมอ จากที่เคยคิดว่าชีวิตนี้ไม่เคยมีความคิดอยากจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่เมื่อทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นแล้วเธอก็พร้อมที่จะตั้งรับ
เมื่อหมอเดินออกไปแล้ว ในห้องตอนนี้จึงมีเพียงเธอและวาธินทร์เท่านั้น
“เราจะไม่ถามวาดนะ ว่าวาดท้องกับใคร แต่เราในฐานะเพื่อนไม่อยากให้วาดต้องแบกรับปัญหานี้ไว้คนเดียว ถ้าวาดยังคิดว่าเราเป็นเพื่อน เราอยากจะขอ…”
“อย่าดีกว่า” ไม่รอให้วาธินทร์เอ่ยจบ ภริตาพูดแทรกขึ้นกลางคัน รู้ดีว่าสิ่งที่จะเอ่ยถึงนั้นคืออะไร
“ทำไมล่ะวาด เราไม่ดีตรงไหน” คนถูกปฏิเสธถามออกไปเสียงเครือ
ภริตามองคนตัวสูงที่ตอนนี้มีแววตาเครียดจัดเพียงเพราะเธอปฏิเสธ แต่เธอมั่นใจว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ
เมื่อภาพเหตุการณ์ในอดีตหลั่งไหลเข้ามาตรงหน้าอีกครั้ง ภริตาก็มั่นใจว่าเธอจะต้องแก้ไขทุกอย่างให้ถูกต้อง
“เราจะให้เวลาวาดนะ ตอนนี้อย่าเพิ่งตัดสินใจอะไรก็ได้ แต่เราอยากให้วาดรู้ ว่าเราหวังดีและรักวาดมากไม่น้อยไปกว่าแฟนของวาดเลย”
ภริตาปล่อยให้วาธินทร์พูดทุกสิ่งที่เขาคิด ส่วนเธอเก็บงำทุกอย่างไว้แล้วเดินออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปตั้งหลัก
ภริตาขอกลับไปพักฟื้นที่บ้าน เธอตัดสินใจกลับมาบ้านของพ่อที่ปล่อยเช่าอีกครั้ง
หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่หลายวัน ภริตาก็ตัดสินใจนัดเจอกับวาธินทร์อีกครั้งที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขามาตามนัด สีหน้าของชายหนุ่มนั้นมีแต่ความดีใจ มาถึงก็มอบดอกไม้ช่อใหญ่ให้เธอทันที
“ดอกไม้สำหรับวาด”
ภริตาเอื้อมมือรับทั้งที่ใจจริงอยากจะกระทืบให้แหลกใต้เท้า แต่เพราะมิตรภาพที่ดีที่เคยมีทำให้เธอต้องสะกดกลั้นคำว่า ‘อดทน’ ซ้ำในใจ
“ขอบใจนะ ที่จริงธินทร์ไม่ต้องลำบากซื้อมาหรอก”
“ลำบากอะไร ไม่เลย วาดน่ะคิดมาก” อีกฝ่ายพูดแล้วก็หัวเราะอารมณ์ดี แต่ภริตาเริ่มอดทนไม่ไหวกับสีหน้าท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกมา
“วาดรู้ว่า สิ่งที่ธินทร์ทำอยู่ ไม่ใช่แค่เพราะรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ หรอก แต่เป็นเพราะคนอย่างธินทร์ชอบเอาชนะ วาดขอร้องว่าหยุดเถอะ”
“วาดพูดอะไร ธินทร์ไม่เข้าใจ” จากสีหน้าของเพื่อนชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ หากเป็นนักแสดง ภริตาเชื่อว่าเขาต้องได้ตุ๊กตาทองแน่ ปั้นได้โคตรเก่งแท้
“พอเถอะธินทร์ วาดกินข้าวนะ ไม่ได้กินหญ้า!”
“นี่มันเรื่องอะไร อยู่ๆมาด่าเรา ขอบอกให้รู้นะต่อให้เป็นเพื่อน เราก็ไม่สนนะวาด เตือนไว้ก่อน”
“โอเค งั้นวาดจะบอกว่าเลิกยุ่งกับวาดได้แล้ว วาดรู้ธินทร์มีแฟนอยู่แล้ว แต่แค่มาทำดีกับวาดเพราะอยากเอาชนะที่วาดไม่เคยสนใจธินทร์ก็แค่นั้น” คำพูดร่ายยาวหลายประโยคของภริตาทำให้วาธินทร์หน้าแดงกำ ถูกเพื่อนสาวจับได้ไม่พอ แต่มาพูดราวกับประจานเขากลางร้านอาหารแบบนี้ มันเท่ากับหยามหน้าเขาไม่มีผิด
“วาด...”
“วาดไม่ได้โง่นะ” เธอเถียง
“เราก็ไม่ได้ว่าวาดโง่ แต่มันใช่เรื่องที่เธอต้องมาป่าวประกาศแบบนี้ไหม รักษาหน้ากันบ้าง” เพื่อนหนุ่มพูดแล้วก็หันรีหันขวาอย่างอายๆ ลูกจ้างในร้านเริ่มหันมามองแล้วพากันกระซิบกระซาบ
“ก็ได้ เรื่องนี้วาดขอโทษ แต่ขอร้องล่ะธินทร์เลิกยุ่งกับวาดเถอะ”
“เออ! ไม่ยุ่งก็ได้วะ คิดว่าสวยนักหรือไง” วาธินทร์พูดจบก็มองหน้าเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ภริตาไม่สนใจเลือกที่จะสะบัดก้นออกจากร้านไป ได้ยินเขาด่าไล่หลังเธอเสียๆ หายๆ
“ไปเลย น้ำหน้าอย่างเธอใครจะเอาวะ ท้องไม่มีพ่อ ! กูอุตส่าลดตัวจะมาเป็นพ่อเด็กให้ก็เล่นตัว”
ภริตายิ้มอ่อนให้พนักงานของร้าน ทุกอย่างจบแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะถ้าเลือกได้ในวันนี้ เธอไม่อยากจะมีจุดจบอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับชีวิตเธอ ก่อนหน้านี้เธอเคยคิดว่าสาเหตุที่รถคว่ำน่าจะเกิดจากอุบัติเหตุแต่วันนี้เธอค่อนข้างมั่นใจว่าวาธินทร์น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่
ในเมื่อเลือกได้ทำไมถึงไม่อยากเลือก ภริตาตั้งมั่นว่าต่อให้เหตุการณ์ข้างหน้าจะจบลงเช่นใด แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้อยู่ตอนนี้คือ เธอจะเลือกตามหาผู้ชายที่เป็นพ่อของลูกในครรภ์น้อยๆ นี้แทน
ขณะคิดถึงใบหน้าหล่อๆ ของลูกเสี้ยวไทยอังกฤษที่เผลอมีสัมพันธ์คืนเดียวในสองเดือนก่อน มือน้อยๆ ก็เผลอลูบพุงตนเองอย่างมีความหวัง
แม่ไม่รู้ว่าพ่อของหนูอยู่ทีไหน…แต่เชื่อว่าไม่ยากเกินความพยายามของแม่