คามิล อัล สาฟาอี เป็นบุตรชายของนายฮาซิฟ อัล สาฟาอี และเป็นหลานของท่านเชคฟาอิด อัล สาฟาอี ที่เป็นถึงอัครมหาเศรษฐีแห่งดูไบ มีธุรกิจส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแล้วยังมีอสังหาริมทรัพย์อีกนับไม่ถ้วน เอาเป็นว่าแค่คามิลเกิดมาก็มีเงินใช้จนตายโดยไม่ต้องทำอะไรเลยก็ว่าได้
เมื่อคามิลอายุย่างเข้า 15 ปี ฮาซิฟผู้เป็นพ่อส่งไปเรียนที่ประเทศอังกฤษเฉกเช่นผู้มีอันจะกินที่มักส่งลูกหลานไปร่ำเรียนที่ฝั่งยุโรปจนเรียนจบปริญญาโท เหตุผลที่คามิลเรียนต่อเพราะไม่อยากกลับบ้าน เขาจึงอ้างกับทางครอบครัวว่าต้องการเรียนสูง ๆ
ทางฮาซิฟผู้เป็นพ่อกลับต้องการให้ลูกชายเพียงคนเดียวรีบกลับมาบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อแต่งงานแล้วมีลูก แต่คามิลดื้อรั้นไม่ยอมกลับถึงแม้จะเรียนจบปริญญาโทนานหลายปีแล้วก็ตาม
ในที่สุดฮาซิฟยื่นคำขาดหากคามิลไม่กลับมาบ้านภายในหนึ่งเดือนฮาซิฟผู้เป็นพ่อจะยกเลิกการส่งเงินและตัดบัตรเครดิตของคามิลทุกใบ ในเมื่อไม่มีทางเลือกคามิลจึงต้องจำใจกลับบ้านเกิดของตัวเอง
“แกต้องแต่งงาน” เสียงทุ้มดุดันของผู้เป็นพ่อตวาดขึ้นเสียงดัง
“ไม่” ดวงตาดุคมสีน้ำตาลไม่ได้มีแววสั่นคลอน หรือหวาดกลัวตอนที่ยืนยันคำปฏิเสธ
“ทำไมแกถึงไม่ยอมที่จะทำตามคำสั่ง เหมือนที่ลูกคนอื่น ๆ เขาทำตามคำสั่งพ่อของพวกเขา”
“เพราะคำสั่งของพ่อมันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมไม่ต้องการที่จะแต่งงาน โดยเฉพาะการที่ต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อหามาให้”
ภายในห้องทำงานที่เก็บเสียง มีสองเสียงโต้เถียงกันดังออกไปด้านนอก เพราะประตูปิดไม่สนิท
“หนูดาน่าเป็นหญิงสาวที่มีประวัติดีงาม ไม่ด่างพร้อย พ่อของเธอเป็นเจ้าของโรงแรมหรูในดูไบ…”
“ที่มีสาขาไม่ต่ำกว่า 100 สาขาทั่วประเทศ เรื่องนั้นผมรู้แล้ว พ่อพูดกรอกหูผมมาหลายปีจนผมเริ่มแปลกใจว่า ผู้หญิงที่เพียบพร้อมขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่ถูกผู้ใหญ่จับแต่งงานไปสักที หรือจริง ๆ แล้วเธอจะไม่ได้ดีจริงอย่างที่พ่อคิด” คามิลยอกย้อนอย่างไม่เกรงกลัว
“ไม่ว่าหน้าตาภายใต้ฮิญาบ (ฮิญาบ ผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมุสลิม, ชุดที่ผู้หญิงมุสลิมสวมใส่ปกปิดร่างกายจากสายตาผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติใกล้ชิด) ของเธอจะเป็นยังไง แกก็ต้องแต่งงานกับเธอ”
“ทำไมผมต้องทำอย่างนั้น”
“ก็เพราะแกต้องทำหน้าที่ลูกที่ดี แกต้องแต่งงานกับผู้หญิงดี ๆ และเหมาะสม เพื่อให้เธอได้กำเนิดทายาทสืบทอดธุรกิจของครอบครัวต่อไป”
“ธุรกิจของพ่อ”
“อย่ามาทำเป็นปากดี ถ้าแกยังใช้เงินจากที่ฉันเป็นคนบริหารดูแลบริษัทเพียงคนเดียวอยู่แบบนี้แกก็ต้องทำตามที่ฉันสั่ง!” ฮาซิฟตวาด เขาสุดจะทนกับลูกไม่เอาไหนของตัวเองแล้ว!
“เอาล่ะ...ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีกเพราะไม่ว่าจะยังไงแกต้องแต่งงานกับหนูดาน่า และต้องมีลูกเยอะ ๆ กับผู้หญิงที่เหมาะสมทั้งเรื่องครอบครัวและศาสนา”
“ถ้าพ่อเห็นว่ายายดาน่าอะไรนั่นดีนักดีหนา ทำไมพ่อไม่รับมาเป็นเมียอีกคนเลยล่ะ”
ฮาซิฟง้างมือขึ้น แต่เพราะได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก เขาจึงได้สติไม่ได้ลงไม้ลงมือกับลูกชาย
“เถียงกันเสียงดังไปถึงหน้าบ้าน ไม่อายลูกน้องอายแม่บ้านหรือไง”
“คุณพ่อ” ฮาซิฟทิ้งมือลงข้างตัว หันหน้าไปทางบิดา
“แล้วนี่มันกี่โมงกันแล้ว ทำไมถึงไม่ไปนอน มาเถียงกับลูกชายอยู่ได้”
“ก็หลานชายของคุณพ่อมันโผล่มาให้เห็นหัวได้ง่าย ๆ เหรอครับ ถ้าเห็นได้ง่ายผมก็คงไม่ต้องมาพูดเอาเวลานี้ เพราะคุณพ่อคอยแต่ให้ท้ายมันก็เลยเคยตัว”
“พอ พอ ออกไปพักผ่อนได้แล้ว พ่อจะอยู่คุยกับคามิลเอง”
“คุณพ่อต้องพูดให้มันยอมแต่งงานให้ได้นะครับ มันอายุจะสามสิบแล้ว ยังไม่มีเมียมีลูก แล้วอย่างนี้ธุรกิจของเราจะให้ใครสืบทอดต่อ ตอนที่ผมอายุยี่สิบกว่าปี ผมก็มีลูกให้คุณพ่อแล้วนะครับ”
“เอาเถอะ ๆ” ฟาอิดไหวมือน้อย ๆ เชิงปลอบใจลูกชาย เขารู้ถึงความกลุ้มใจนั้นดี จึงไม่อยากพูดจาแย่ ๆ ใส่
เรื่องนี้ต้องโทษที่เขา หากว่าเขายอมที่จะรับภรรยาเพิ่ม แทนที่จะยืนหยัดเพื่อรักเดียวกับย่าของคามิล เขาก็จะมีน้องอีกหลายคนให้กับฮาซิฟ และหากฮาซิฟไม่มีปัญหาด้านสุขภาพช่วงล่าง จากตอนที่เขาส่งไปเรียนขี่ม้า ทำให้ประสบอุบัติเหตุตกจากหลังม้าจนเป็นหมัน ฮาซิฟกับเหม่ยลี่ก็คงจะมีน้องให้กับคามิลเช่นกัน และหากเป็นเช่นนั้น คามิลก็จะไม่ใช่ความหวังเดียวของตระกูลสาฟาอี ลูกกับหลานก็ไม่ต้องมาทะเลาะกันในเรื่องผลิตทายาทเหมือนอย่างทุกวันนี้
“ถ้าอย่างนั้นผมฝากคุณพ่อจัดการต่อด้วยนะครับ” ฮาซิฟเอ่ยก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“ถ้าอย่างนั้นผมฝากคุณพ่อจัดการต่อด้วยนะครับ” คามิลทำเสียงแหบเลียนแบบเสียงของบิดา แต่เมื่อเห็นสายตาดุ ๆ ของผู้เป็นปู่ที่ส่งมาตำหนิ เขาก็เลิกทำตัวเสียมารยาท “คุณปู่”
“กับพ่อก็เพลา ๆ ลงบ้างไม่ได้หรือ”
“ได้ ถ้าพ่อไม่เริ่มก่อน”
“ไคเอ๊ย เราน่ะเป็นลูก เป็นคนที่ต่ำอาวุโสกว่า เรื่องของธรรมเนียมปฏิบัติปู่ก็อยากให้เราเห็นความสำคัญบ้าง ไม่ใช่เอะอะจะเรียกหาแต่ความเท่าเทียม โลกของเราน่ะมันไม่ได้มีความเท่าเทียมอะไรนั่นหรอกนะ ดูอย่างปู่กับหลาน ปู่สามารถลงโทษเฆี่ยนตีหลานได้ แต่หลานทำปู่ไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ”
“นี่ปู่จะเฆี่ยนผมเหรอ”
“ไม่ใช่ว่าจะทำ ปู่แค่ยกตัวอย่างให้ฟัง”
“เหอะ” คามิลเค้นเสียงในลำคอตอบกลับไป เขาเป็นลูกคนเดียว พูดถึงสถานะหลานก็เป็นหลานคนเดียว ดังนั้นเขาจึงมีนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจอยู่บ้าง ตามประสาที่ถูกทุกคนเอาใจมาตั้งแต่ยังเด็ก ที่สำคัญเขารู้ดีว่าปู่รักและเข้าใจเขามากกว่าพ่อแท้ ๆ เขาจึงสบายใจเมื่อได้อยู่กับปู่จนเผลอแสดงออกอย่างเด็ก ๆ ให้ปู่ได้เห็นอยู่เรื่อย ๆ แต่กระนั้น หากมีเรื่องที่จริงจังเขาก็พร้อมที่จะเชื่อฟังคำของปู่มากกว่าใครในบ้าน
“ไค”
“พอเถอะครับ ไม่ว่าปู่จะเกลี้ยกล่อมยังไง ผมก็ยังยืนยันว่าจะไม่ยอมให้พ่อจับคลุมถุงชน ถ้าคุณปู่ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ" คามิลออกจากห้อง ปู่ของเขาขึ้นชื่อเรื่องมีวาทศิลป์ อยู่คุยด้วยนาน ๆ อาจทำให้เขาจนมุมได้