“เหนือมีอะไรเหรอ” ไข่มุกที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของน้ำเหนือถามขึ้น ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มออกมาด้วยความดีใจ เมื่อคำพิณเดินไปบอกว่าชายหนุ่มต้องการพบเธอ
“หยุดก่อเรื่องสักที” เขาเปิดประเด็นร้อนขึ้นทันทีเมื่อมองไปหาเธอ
“เหนือพูดอะไร มุกไม่ได้ก่อเรื่องสักหน่อย แค่ตักเตือนคนงานเองนะ”
“เธออย่าคิดว่าฉันไม่รู้ มุก…เธอเป็นได้แค่เพื่อน เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าหากยังต้องการทำงานที่ไร่ของฉัน เธอต้องรู้ว่าต้องทำตัวแบบไหน” น้ำเหนือไม่รีรอพูดอย่างตรงไปตรงมา ถึงแม้จะทำให้ไข่มุกเสียใจอยู่มาก แต่มันก็สมควรที่ต้องพูดให้ชัดเจน
“เหนือก็รู้ว่ามุกคิดยังไงกันเหนือ เป็นมุกไม่ได้เหรอ มุกอยู่ข้างๆ เหนือมาตลอด” เธอก้มหน้า น้ำเสียงสั่นเครือเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา
“ฉันแต่งงานแล้ว”
“ตอนไหน? ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย แต่งกับใคร?” ไข่มุกเงยหน้าขึ้นมามองฉับไว เธอจ้องตากับน้ำเหนือด้วยความอยากรู้ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ทั้งที่เธอเฝ้าเขาเอาไว้อย่างดี กีดกันผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของเขา แล้วเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำถาม แต่ดูเหมือนว่า มันจะไร้ซึ่งคำตอบ
“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบเธอ อีกไม่นานเธอก็คงได้เจอกับภรรยาของฉัน ไม่มีอะไรแล้วกลับไปทำงานเถอะ” น้ำเหนือพูดขึ้น แต่ไข่มุกก็ยังคงไม่ขยับไปไหน จนเขาต้องเดินเข้ามาใกล้ แล้วหญิงสาวก็รีบสวมกอดเขาในทันที “เธอทำบ้าอะไรมุก!!”
แกร๊ก!! เสียงเปิดประตูและถูกผลักเข้ามาด้านใน ทำให้หญิงสาวผู้มาใหม่ยืนมอง เพียงชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะเดินผ่านหน้าของทั้งสองคนไป แล้ววางถุงผ้าลงบนโต๊ะทำงานของน้ำเหนือแล้วเดินจากไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครเหนือ”
“ปล่อยฉันมุก!!” เขาดึงแขนของไข่มุกออกด้วยความยากลำบากแต่ก็ทำได้ เสียงฝีเท้าของต้นน้ำที่ดังเพราะตอนนี้เขากำลังวิ่งตามหลังของหญิงสาวเมื่อครู่ แต่กลับมองเห็นเพียงท้ายรถยนต์สีขาวของคะนิ้ง เพียงเท่านั้น “โถ่เว้ย!!!”
“นายเหนือมีอะไรหรือเปล่าครับ” คำพิณที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดวิ่งเข้ามาถาม
“ทำไมไม่บอกว่าคะนิ้งมา!!” น้ำเสียงอันแข็งกร้าวตะเบ็งขึ้น ด้วยความโมโห เหตุการณ์ทุกอย่างช่างเกิดขึ้นด้วยความเหมาะเจาะเสียจนเขาตั้งรับไม่ทัน
“อ้อ ผมจะเข้าไปบอกแล้วครับ แต่คุณคะนิ้งบอกว่าไม่ได้อยู่นานแค่แวะเอาข้าวมาส่งแค่นั้นครับ แล้วเกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมนายวิ่งหน้าตื่นออกมาจากห้องแบบนี้ครับ”
“ช่างเถอะไปทำงาน..” เขาเดินออกมาที่รถของตัวเอง ก่อนที่จะขับเข้าไปในไร่อีกครั้ง วันนี้มันช่างเป็นวันที่แสนวุ่นวายแบบนี้ เมื่อครู่เขาเห็นสายตาของคะนิ้งดูตกใจเพียงเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แต่สายตานั้นกลับทำให้เขากระวนกระวายใจ อยากอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้กระจ่างแต่กลับวิ่งออกมาไม่ทันเธอซะงั้น!!
บ้านไม้หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดินที่ถมขึ้นสูง โดยรอบยังคงสร้างไม่เสร็จดีนัก เพราะยังขาดการทาสีให้เงางาม บ้านหลังนี้อยู่ระหว่างผืนดินของน้ำเหนือและของคะนิ้ง ซึ่งบ้านที่ปลูกขึ้นมา ยายของเขาจะทำเซอร์ไพรส์สร้างเป็นเรือนหอให้กลับหลานชายของตนเอง ซึ่งเงินที่ใช้ก่อสร้างเป็นเงินของดวงแขทั้งหมด
“เอ้า นายเหนือ มาดูบ้านเหรอครับ ผมกำลังจะโทรหาคำพิณอยู่พอดี รบกวนเดินเข้าไปดูด้านในหน่อยครับ เมื่อวานคำพิณมันบอกให้ช่างแก้ไขตรงระเบียงให้เรียบร้อย” คนงานที่ได้รับหน้าที่ให้ดูแลช่างสร้างบ้านเดินเข้ามาหา ก่อนที่น้ำเหนือจะเดินตามขึ้นบันไดมาเพียงไม่กี่ขั้นก็จะเป็นชานบ้านที่ยื่นออกมาใช้เป็นที่รับรองแขกได้ เมื่อเดินอ้อมตามระเบียงยาวไปที่ด้านขวาก็จะเป็นระเบียบใหญ่ทางฝั่งของห้องครัว ที่ยื่นออกไปทางสวนดอกไม้ของคะนิ้ง
น้ำเหนือยืนมองด้วยความตื่นตาไม่น้อย ไม่คิดว่าบรรยากาศโดยรอบจะออกมาดีเกินกว่าที่คาดเอาไว้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกุหลาบหลากหลายสายพันธ์ุกำลังลอยมาตามลม เขายืนนิ่งสูดเอากลิ่นหอมของดอกไม้เข้าปอดอยู่นานหลายนาที
“ทุกอย่างถือว่าโอเค เดี๋ยวผมจะให้คำพิณมาตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง” สองเท้าก้าวลงมาตามขั้นบันได สายตาคมมองไปรอบบริเวณตัวบ้าน “ตรงนี้ เว้นว่างเอาไว้หน่อยนะครับ ต้นไม้ไม่ต้องตัด ส่วนตรงนั้น ให้เอาดินมาถมให้สูงขึ้นให้เท่ากับพื้นตรงนี้ได้เลยครับ”
“ครับ”
น้ำเหนือเดินสำรวจคนเดียวรอบบริเวณไม่นานเขาก็กลับไปที่ออฟฟิศอีกครั้ง สายตาก็พลันมองเห็นถุงผ้าที่คุ้นตา แต่เขากลับนึกถึงใบหน้าของคนที่นำมาให้ เมื่อคิดได้แบบนั้นมือจึงคว้าเอาถุงผ้าเดินตรงมาที่รถ เพื่อตรงกลับบ้าน
“เป็นอะไรลูก ทำไมทำหน้าแบบนั้น” พรรณนาถามลูกสาวขึ้นเมื่อมองเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของคะนิ้ง
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่อารมณ์เสียนิดหน่อยค่ะ”
“ใครทำให้ลูกสาวพ่ออารมณ์เสีย”
“คนบ้านะคะ”
“คนบ้า?? คนบ้าที่ไหน? แถวบ้านเราไม่มีคนบ้านะลูก หรือว่ามี??” พรรณนาหันไปถามภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ช่างมันเถอะค่ะ คงเป็นคนบ้าที่บ้าจริงๆ ถึงทำให้ลูกสาวเราอารมณ์ขึ้นได้มากขนาดนี้” เธอพูดเป็นนัยกับสามี “เอาข้าวไปส่งพี่เขามา มีเรื่องอะไรหรือเปล่าลูก”
“ไม่มีค่ะ พรุ่งนี้หนูต้องไปเข้าไร่กับพ่อแต่เช้าใช่ไหมคะ จะได้เตรียมตัวตื่นให้ทัน” คะนิ้งหันหน้ามาคุยกับบุพการีทั้งสอง
“ไม่ต้องหรอกลูก พักผ่อนอีกสักหลายวันค่อยเข้าไปไร่ ไม่ต้องรีบ ช่วงนี้ไม่มีอะไรมาก”
“ค่ะ หนูขึ้นห้องแล้วนะคะ”
“อย่าลืมนะลูกเย็นนี้มีทานข้าวกัน แม่บัวเตรียมอาหารเย็นอร่อยๆ เอาไว้เยอะเลยนะ” ไพลินเอ่ยเตือนลูกสาวอีกครั้ง
“รับทราบค่ะ” เธอตอบรับพร้อมรอยยิ้ม ก่อนเดินขึ้นไปบนห้องนอน เพื่อพักผ่อน
คะนิ้งที่เดินลงมาจากห้องเธอร้องเรียกหาใครก็ไม่มีเสียงตอบรับ จึงเดินมายังบ้านอีกหลัง แล้วเข้าใจว่าคนที่เรียกหาอยู่ที่บ้านแม่บัวตองนี่เอง
“คะนิ้ง มาเร็วลูก แม่ว่าจะไปตามอยู่พอดี” ไพลินร้องเรียกลูกสาว
“คุณยายขา” คะนิ้งเดินเข้ามาสวมกอดดวงแขที่นั่งยิ้มอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ “คิดถึงจังค่ะ สบายดีไหมคะ”
“ไหนให้ยายดูหน้าหน่อย ทำไมหลานยายถึงสวยแบบนี้นะ ยิ่งโตยิ่งสวย” เธอเอ่ยชมหลานสะใภ้ไม่ขาดปาก พร้อมกับเสียงแซวของลูกๆ
“ให้หนูนวดขาให้ไหมคะ” คะนิ้งเอ่ยขึ้น นี่เป็นสิ่งที่เธอถนัดเพราะตอนที่ยายของเธอยังไม่เสียเคยนวดขาให้ท่านเป็นประจำ ดวงแขตอบตกลงในทันที
“เหนือมาแล้วเหรอลูก แม่นึกว่าจะมาค่ำเหมือนทุกวันซะอีก นึกเสียดายอยู่เลย” บัวตองพูดกับลูกชาย เมื่อน้ำเหนือเดินตรงมาที่สวนหน้าบ้าน
“ผมโทรบอกให้ลูกกลับเร็วหน่อย หนูคะนิ้งกลับมาทั้งทีก็ต้องอยู่กันให้พร้อมหน้าสิคุณ” ยุทธนาเอ่ยกับภรรยา ทำให้ทุกคนต่างหัวเราะชอบใจ
“ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนลูกไป” บัวตองไล่ลูกชายไปอาบน้ำ เขาตอบรับเสียงนุ่ม สายตาของน้ำเหนือมองไปที่คะนิ้ง ซึ่งเธอไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย เอาแต่พูดคุยกับยายดวงแขอย่างเข้าด้ายเข้าเข็ม
น้ำเหนืออดหมั่นไส้ไม่ได้กับท่าทีของเธอ ทีกับเขาเธอกลับทำหน้าบึ้งตึงใส่ แต่กลับคนรอบข้างยิ้มหวานจนน้ำตาลเรียกพี่ วันนี้คงต้องจัดการทุกอย่างที่ค้างคาใจกันมานานให้เรียบร้อยเสียแล้ว
“ปล่อยนะ” คะนิ้งพูดขึ้นเมื่อมือของเธอถูกน้ำเหนือออกแรงดึงให้เดินตามมาด้านในบ้าน ในขณะที่ตัวของเธอเองเดินออกมาจากห้องน้ำ
“คุยกันหน่อย”
“ไม่มีอะไรจะคุย ปล่อยได้แล้วเจ็บนะ” ใบหน้าสวยบึ้งตึงขึ้นทันที ก่อนที่ชายหนุ่มจะปล่อยมือออกจากข้อมือของคะนิ้ง
“เมื่อตอนบ่าย..”
“ไม่ต้องพูด..ไม่ได้อยากรู้ เราไม่มีอะไรต้องพูดกัน”
“มีเยอะ..พี่จะต้องเคลียร์กับเราให้รู้เรื่อง..”
“ระหว่างเรามีอะไรให้ต้องเคลียร์ ต่างคนต่างอยู่ก็พอแล้วไหม ไม่ต้องมาทำให้มันลำบากเลย” คะนิ้งพูดขึ้น เธอไม่ได้สนใจเรื่องของเขาแม้แต่น้อย เพราะเธอรู้อยู่แก่ใจว่าน้ำเหนือมีนิสัยแบบไหนยิ่งเรื่องของผู้หญิง เธอยิ่งไม่อยากคาดหวังอะไรมาก
ถึงจะแต่งงานมีทะเบียนสมรส สุดท้ายก็ต้องหย่าและแยกย้ายกันไปใช้ชีวิต เธอไม่อยากคิดอะไรให้ลึกซึ้งปลอบใจตัวเองเอาไว้เสมออย่าหวั่นไหวกับสิ่งที่เขาทำกับเธอ
“เราเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วนะ”
“สามีเหรอ?? สามีที่เอาผู้หญิงไปทั่ว ยังมีหน้ามาเอ่ยคำนี้ด้วยเหรอ?” คะนิ้งพูดสิ่งที่เธอเก็บเอาไว้มานานออกมา น้ำเหนือนิ่งไปชั่วขณะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าน้องสาวข้างบ้านจะพูดคำนี้ออกมาได้
“ถึงยังไงเราสองคนก็จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย”
“แล้วไง จดได้ก็หย่าได้ มันก็แค่กระดาษแผ่นหนึ่ง ก็ไม่เคยรักษาสัญญาได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง จะมาพูดอะไรเรื่องทะเบียนสมรส”
“......”
“อย่ามายุ่งกับฉันอีกนะ อ่อ อีกอย่าง… จะทำอะไรก็หัดทำในที่ลับตาคนหน่อย เห็นแล้วรู้สึกจะอ้วก”
“คะนิ้ง!!” น้ำเหนือเรียกชื่อเธอเสียงดัง พร้อมรั้งแขนเธอเอาไว้ “มาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน พี่ขอโทษกับทุกเรื่อง”
“บอกแล้วไงว่าเราไม่เกี่ยวข้องกัน..”
“ใช่เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่นานหรอก เราจะเกี่ยวข้องกันและไม่มีอะไรจะมาแยกเราสองคนออกจากกันได้”
“เหลวไหล เชิญไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นเถอะ ดูเหมือนเขาอยากเกี่ยวข้องจนไม่อยากแยกจากเลยมั้ง คนมักมากกับเรื่องผู้หญิง ฉันไม่อยากข้องเกี่ยวด้วย” คะนิ้งสะบัดมือออกแล้วเดินกลับไปหาผู้ใหญ่ที่นั่งคุยกันทำปิ้งย่างทานไปด้วยอย่างสนุกสนาน
เรื่องครั้งก่อนไม่เจ็บใจเท่ากับเรื่องตอนเรียนมหาลัยฯ ข่าวของน้ำเหนือดังมากในหมู่สาวๆ เธอยอมรับว่าเขาทั้งรูปหล่อเรียนดีผู้หญิงคนไหนจะไม่ชายตามอง
คะนิ้งสอบเข้ามหาลัยที่ต้นน้ำเรียนได้สำเร็จ ครั้งแรกทีก็ไม่อยากเรียนที่นี่ แต่เพราะแรงเชียร์ของทั้งสองครอบครัวอย่างให้เด็กทั้งสองคนได้อยู่ใกล้กับ แต่กลับทำให้ระยะห่างของทั้งสองคนห่างยิ่งกว่าเดิม
ถ้าหากมองในมุมมองของคะนิ้งเอง เหมือนกับว่าน้ำเหนือจะอยู่ห่างไกลเธอออกไปเรื่อยๆ รอบตัวของเขามีเพื่อนๆ ที่หล่อเหล่า พร้อมหญิงสาวที่ไม่ซ้ำหน้าที่ควงตลอดเวลาเรียนในมหาลัยฯ เมื่อเจอแบบนี้แล้วก็นึกขยะแขยงเขาไม่น้อย ชีวิตจะรักความสนุกอะไรขนาดนั้น
“ทำไมถึงได้ดื้อไม่ยอมฟังอะไรบ้างเลย พี่กับมุกไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปกว่าเพื่อน”
“เพื่อน!! ท้องชนกันหรือไง”
“คะนิ้ง!! รู้ไหมคำที่พูดออกมา มันหมายถึงอะไร หรือว่าน้องเคยทำเหมือนที่ตัวเองพูด”
“ตัวเองยังทำได้เลย คนอื่นทำไมจะทำไม่ได้” เธอเชิดใบหน้าสวยขึ้นมา ท้าทายน้ำเหนือด้วยความอวดดี
“......” เขามองตากลับคะนิ้ง เหมือนกำลังจะกลืนกินเธอลงไปทั้งตัว น้ำเหนือพยายามหักห้ามอารมณ์โกรธของตัวเอง “อย่ามาลองดีกับพี่ ไม่งั้นจะเจอของจริง สรุปวันนี้เราคงคุยกันไม่รู้เรื่องหรอกเอาไว้วันหน้าค่อยคุยกัน” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายหันหลังเดินออกมา
“ฉันจะหย่า พรุ่งนี้ไปเซ็นใบหย่ากันเถอะ” คะนิ้งพูดไล่หลัง ฝีเท้าของน้ำเหนือชะงักหยุดอยู่กับที่ เขาไม่ได้พูดคำใดออกมา สองเท้าก้าวเดินออกไปจากตรงนี้ทันที