ตอนที่ 4

1939 Words
น้ำเหนือขับรถตรงมาที่ท่ารถที่ไข่มุกจะสามารถขึ้นรถโดยสารกลับบ้านได้สะดวก เขารู้ว่าเธอต้องการทำสิ่งใดถึงให้เพื่อนที่มาส่งกลับไปก่อนทั้งที่รอก่อนก็ได้คงไม่เสียเวลามากนัก “เจอกันวันจันทร์กลับบ้านดีๆ นะ” เขาพูดแค่นั้น มือข้างขวาก็รีบบิดคันเร่งออกไปจากท่ารถในทันที เขาไม่อยากอยู่นานกลัวคนที่บ้านรอทานอาหารจะทำให้พลานอารมณ์เสีย แถมรสชาติอาหารคงได้ไม่อร่อย “แม่คิดว่าจะไปนานกว่านี้เลยทานข้าวไปก่อนแล้ว นั่งสิลูกเดี๋ยวแม่ตักข้าวให้” บัวตองลุกขึ้นไปตักข้าวให้ลูกชาย เธอพึ่งทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ น้ำเหนือก็กลับเข้ามาในบ้าน คะนิ้งที่ตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารอยู่ได้แต่ปรายตามองเขาอย่างไม่สนใจมากนัก “เป็นแบบนี้ทุกทีเลย แม่บัว!!” คะนิ้งพูดเสียงออดอ้อน ทำให้บัวตองที่ถือจานข้าวส่งสายตาไปดุลูกชาย “เหนือทำไมชอบแกล้งน้อง อยู่ในจานก็มี ชอบแย่งของกินน้องตลอดเลย” “ก็รสชาติมันไม่เหมือนกันนิครับ” เขาหันไปตีคิ้วใส่คะนิ้ง ที่นั่งหน้าบูดบึ้งส่งมาให้ น่องไก่ทอดน้ำปลาที่กรอบนอกนุ่มในกำลังถูกเคี้ยวอยู่ในปาก “ขอให้ติดคอ!!” “ไม่มีทาง แค่ก แค่ก” ยังพูดไม่ทันขาดคำน้ำเหนือต้องรีบคว้าเอาแก้วน้ำดื่มขึ้นมากระดกลงคอ เสียงหัวเราะของคะนิ้งและมารดาดังขึ้นมา “สมน้ำหน้าชอบแย่งดีนัก” เธอแลบลิ้นส่งให้กลับเขาอีกครั้ง แล้วหันมาตักข้าวใส่ปากด้วยความอารมณ์ดี “กินลูกกิน.. จะได้กลับไปพักผ่อนกัน” บัวตองพูดขึ้นก่อนที่ทุกคนจะเริ่มตั้งใจทานอาหารอย่างอร่อย “ฉันเอาบัตรเข้าชมสวมดอกไม้มาให้ แกเอาไปแจกเพื่อนๆ นะ” คะนิ้งหยิบซองกระดาษยืนไปตรงหน้าของกิ่งแก้ว เธอรับมาแล้วเปิดออกดู “โห้..เยอะจัด แกคิดที่จะให้ชมฟรีเลยเหรอ” “เปล่า ก็แค่คิดนะ ว่าเพื่อนๆ เราอาจอยากไปกับครอบครัวเผื่อเอาไว้ พ่อทำเอาไว้ให้สองร้อยใบ แบ่งให้พี่เหนือไปครึ่งหนึ่ง หมดแล้วหมดเลยไม่มีมาให้อีกแล้วนะ” “ได้ๆ” เสียงออดดังขึ้นเมื่อได้เวลาพักเที่ยง เสียงอาจารย์ประจำวิชาสิ้นสุดลงก่อนที่นักเรียนจะทยอยกันลงมาที่โรงอาหารประจำโรงเรียน เสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ ทำให้ชวนหนวกหูไม่น้อย แต่จะทำเช่นไรได้ เพราะทุกคนต่างเร่งรีบที่จะทานข้าวให้เสร็จทันเวลาเรียนในคาบวิชาช่วงบ่าย “น้องคะนิ้ง!!” เสียงหญิงสาวดังขึ้น เมื่อคะนิ้งและกิ่งแก้วทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย เธอกำลังเดินหาที่นั่งใต้ต้นไม้ เพื่อรอเวลาเข้าเรียน “.....” “ไม่ทักทายรุ่นพี่หน่อยเหรอ พี่ดีใจนะที่เห็นน้องคะนิ้ง อยู่ห่างจากน้ำเหนือแล้ว เชื่อฟังพี่ดีจริงๆ นะ แต่ทำไมลับหลังยังไปมาหาสู่กัน หรือเป็นปิงที่ชอบเกาะติดผู้ชายจ๊ะ” น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้น “พี่ก็พูดเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ว่าคะนิ้งกับพี่เหนือสนิทกันมากแค่ไหน พี่ก็ยังจะมาพูดแบบนี้อีก” “อย่ามาสะเหล่อ…ถอยไป แกไม่เกี่ยว” “ทำไมจะไม่เกี่ยว ก็คะนิ้งเพื่อนกิ่ง ถ้ากิ่งว่าให้เพื่อนพี่แบบนี้ พี่ก็ไม่ชอบเหมือนกันนั่นแหละ” เพี้ย!! เสียงของฝ่ามือกระทบลงบนใบหน้าของกิ่งแก้ว ทำให้คะนิ้งกัดฟันเข้าหากัน “อย่ามาสอนกู กูเตือนมึงแล้วนะว่าอย่ามายุ่ง” “เป็นหมาหรือไง เห่าอยู่ได้ คงไม่เป็นหมาธรรมดาด้วยมั้ง คงเป็นหมาเดือนเก้า ที่เอาแต่จะตามจับผู้ชาย” คะนิ้งพูดขึ้น “ปากดีนักนะ” รุ่นพี่ง้างมือขึ้นตบคะนิ้ง แต่เธอกลับหลบทัน แล้วผลักรุ่นพี่ล้มลงกลับพื้น ก่อนที่ตัวของเธอจะขึ้นคร่อม สองมือทึ่งผมยาวของอีกฝ่ายอย่างไม่ออมแรง เสียงตบตีดังขึ้นมา คะนิ้งฟาดมือลงบนใบหน้านั้นหลายต่อหลายครั้ง เพื่อนที่มาด้วยกันกลับถอยห่างเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องก็สู้เป็นเช่นเดียวกัน “คะนิ้งพอ!! พี่บอกให้หยุด” น้ำเหนือที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด ดึงเธอให้ออกห่างจากหญิงสาวอีกคน ที่ตอนนี้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงดูไม่ได้ “เหนือ..ช่วยเราด้วย..คะนิ้งอยู่ๆ ก็เข้ามาตบเรา ยังบอกอีกว่าไม่ให้เราเข้าใกล้เหนืออีก ฮึก ฮึก” “ไม่ใช่นะพี่เหนือ..” กิ่งแก้วกำลังแก้ตัวแทนเพื่อน “พอแล้ว คะนิ้ง!! ขอโทษพี่เขาซะ” “......” “คะนิ้งพี่บอกให้ขอโทษพี่เขาซะ!! อย่าทำตัวไม่น่ารักแบบนี้ เห็นไหมว่าพี่เขาเจ็บมากแค่ไหน” “ก็สมควรโดน ทำคนอื่นก่อน ทีถูกทำคืนกลับรับไม่ได้” คะนิ้งยิ้มออกมาด้วยความสะใจไม่น้อย เมื่อเห็นสภาพคู่อริเจ็บหนักไม่น้อย “คะนิ้ง!!” น้ำเหนือเรียกชื่อเธอเสียงดังลั่น “อะไร!! เรียกอยู่ได้กลัวลืมชื่อหรือไง!!! จำเอาไว้เลยนะทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เพราะพี่ ฉันเกลียดพี่ที่สุดเกลียดที่ทำตามที่พูดไม่ได้… ต่อไปนี้ไม่ต้องมาพูดคุยไม่ต้องมาทำดี ทุกคนฟังนะ!! ฉันกับพี่เหนือไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ถ้าหากใครมายุ่งกับฉันอีกดูสภาพยัยนี่เป็นแบบอย่างเอาไว้!!” คะนิ้งหันหน้าไปพูดกับทุกคนที่ยืนมุงดูอยู่เพียงแค่นั้นก่อนที่เธอจะดึงให้กิ่งแก้วเดินตามออกมา และพอดีกลับเสียงกริ่งเตือนว่าได้เวลาเข้าเรียนในช่วงบ่าย “แกพูดแบบนั้นกับพี่เหนือจะดีเหรอ กลับบ้านไปแล้วรีบไปคืนดีกันเถอะ อธิบายให้เข้าใจกัน” “ไม่จำเป็น อยากเข้าใจยังไงก็แล้วแต่ ฉันไม่เห็นจะสนใจ เรื่องมันจบแบบนี้ก็ดี” สายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่กระดาษ อาการไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใดทำให้กิ่งแก้วถอนหายใจออกมา เธอเข้าใจว่าคะนิ้งต้องการปกป้องเธอ รุ่นพี่คนนี้ก็ชวนหาเรื่องเพื่อนของเธออยู่เรื่อย ถือว่าคะนิ้งอดทนมาได้ในระดับหนึ่ง แต่พอมาวันนี้ที่เธอไม่อดทนก็คงเป็นเพราะเห็นเพื่อนรักถูกทำร้ายสาเหตุก็มาจากตัวของเธอเอง “คะนิ้ง พี่เหนือมา..” กิ่งแก้วเอามือสะกิดเพื่อนให้หันไปมอง ในขณะที่อาจารย์ก็ยังนั่งสอนวิชาเคมีอยู่ตรงหน้ากระดาน “ขออนุญาตครับ” เสียงของน้ำเหนือดังขึ้น แล้วตามมาด้วยสายตาของเพื่อนในห้องที่จ้องมองไปทางเขา “ผมขออนุญาตพาคะนิ้งกลับบ้านครับ เพราะที่บ้านมีธุระด่วน” “ไม่กลับ!!” คะนิ้งตอบออกมาเสียงดัง “คุณยายเข้าโรงพยาบาล” เพียงเท่านั้น คะนิ้งรีบหันไปมองหน้าอาจารย์ก่อนที่เธอจะกล่าวขออนุญาตอย่างเร่งรีบ เธอสงสัยอยู่มากทำไมแม่ไม่ยอมโทรหาเธอกลับโทรไปหาน้ำเหนือได้ “แม่ลินบอกว่าน้องปิดโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้” “.....” คะนิ้งดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระโปรงนักเรียน แล้วเธอก็ถึงบางอ้อสาเหตุที่แม่ติดต่อเธอไม่ได้เพราะแบตโทรศัพท์หมดนี่เอง “เรื่องเมื่อตอนกลางวัน” “จะไปก็รีบไปไม่ต้องคุยเรื่องอื่น” เธอเดินตามหลังของน้ำเหนือมาที่โรงจอดรถ ก่อนที่เขาจะก้าวขาขึ้นรถ ไม่ลืมที่จะยื่นเสื้อแขนยาวของตัวเองให้กับคะนิ้ง “คลุมกระโปรงเอาไว้” เขาออกคำสั่ง คะนิ้งทำตามอย่างว่าง่ายตอนนี้เธอไม่มีเวลามาห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะความเป็นกังวลกำลังทำให้เธอกระวนกระวาย หน้าห้องฉุกเฉินพบชายหญิงคู่หนึ่งที่นั่งรออยู่ด้านหน้า สีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งสองคนกำลังนั่งกุมมือของกันและกัน พรรณนาทำได้เพียงปลอบใจของภรรยาเพียงเท่านั้น “แม่คะ ยายเป็นยังไงบ้างคะ” “ไม่ดีเลยลูก เมื่อเช้ายายทานอะไรไปก็อ้วกออกมาตลอด ท้องก็ปวดมาก ตอนนี้รอหมอว่าจะเอายังไงต่อ” น้ำเสียงของไพลินดูสั่นเครือเพราะเธอกำลังกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ให้รินไหล นึกห่วงเพียงคนข้างในห้องไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรในตอนนี้ “แม่อยู่กับหมอแล้วคุณไม่ต้องห่วงหรอก พ่อขอโทษนะเหนือที่ให้เราขาดเรียน” “ไม่เป็นไรครับ พอดีอาจารย์ไม่ได้เข้าสอนสั่งเพียงงานเอาไว้ครับ” “ขอบใจมานะลูก” ไพลินหันไปยิ้มให้กลับน้ำเหนือ ไม่นานห้องฉุกเฉินก็ถูกเปิดออก พิมพาถูกน้ำมาพักรักษาตัวที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ ทุกคนจ้องมองสายระโยงระยางที่ถูกสวมใส่เอาไว้บนร่างกายของคนป่วย “คนไข้อาการทรุดหนักมากเลยนะครับ หมอคาดการณ์เอาไว้ คนไข้คงอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน หรืออาจจะน้อยกว่านั้น” “ไม่มีทางรักษาได้เลยเหรอคะหมอ” “ผมเสียใจจริงๆ นะครับ ตอนที่อยู่ในห้องคนไข้บอกว่าไม่อยากทำคีโม ไม่อยากรักษา ตอนคนไข้รู้ตัวนะครับ ว่ารักษาไปก็ไม่หาย แต่หมอหว่านล้อมพูดคุยแล้ว คนไข้ก็ปฏิเสธอย่างเดียว ที่จริงมะเร็งระยะสุดท้ายคงต้องทำใจเพียงเท่านั้น..หรือให้คุยกับคนไข้ดูนะครับ ได้ข้อสรุปแบบไหนเราค่อยมาคุยกันอีกที” หมอหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจไม่น้อย เมื่อเขาถูกคนไข้รายนี้ปฏิเสธที่จะรักษา “ค่ะ” “เอาไงดีคะ คุณยายไม่ยอมรักษา แบบนี้จะหายได้ยังไงคะ” คะนิ้งพูดขึ้นเธอกุมมือของผู้เป็นยายอยู่ไม่ยอมห่างใบหน้าที่ดูดีมีสีสันตอนนี้กลับซีดจาง ไร้ซึ่งสีเลือดฝาด “รอให้ยายตื่นก่อนเราค่อยคุยเรื่องนี้กับยายอีกที คะนิ้งกลับบ้านเถอะลูก เหนือแม่ฝากน้องหน่อยนะลูก” “ไม่เอาค่ะ หนูจะอยู่เฝ้าคุณยาย” เธอตอบปฏิเสธทันที “ไม่ได้ พรุ่งนี้หนูมีเรียน เดี๋ยวค่ำๆ แม่จะให้พ่อกลับไปนอนบ้านเหมือนกัน ต่างคนต่างมีหน้าที่ เดี๋ยวแม่ดูแลยายเอง” “ค่ะ” เธอตอบตกลง เพราะไม่อยากสร้างความลำบากใจให้กลับผู้เป็นแม่ ถึงเธออยู่ที่นี่ก็คงไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น เอาไว้พรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยแวะมาหายายที่โรงพยาบาลก่อนที่จะไปโรงเรียนก็ยังได้ น้ำเหนือขับรถออกมาจากโรงพยาบาล ระหว่างทางคะนิ้งก็เอาแต่เงียบไม่ยอมพูดอะไร “แวะตลาดนัดไหม” “......” ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ น้ำเหนือจึงขับรถเข้ามาจอดในตลาดค่ำที่เป็นทางผ่าน “รออยู่นี่นะ ขี้เกียจเดิน” “งั้นก็กลับ” “......” คะนิ้งมองหน้าของน้ำเหนือเพียงเท่านั้น ก่อนที่รถจักรยานยนต์จะถูกขับเคลื่อนตรงกลับบ้านในทันที “ไม่ต้องคิดมากหรอก เดี๋ยวยายก็หาย” “......” ไร้เสียงตอบรับจากเธอเช่นเดิม คะนิ้งเดินตรงมาที่ประตูที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างทั้งสองบ้านด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย วันนี้เกิดเรื่องขึ้นหลายอย่าง จนรู้สึกเหนื่อยใจกว่าวันไหนๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD