BAD FIANCE 1 จุดเริ่มต้น

1633 Words
ตึกตึก ฉันเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่เนื่องจากวันนี้พ่อโทรตามให้ฉันกลับมาทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้าน “แคทเธียร์” แม่ที่หันมาเห็นฉันก็เรียกขึ้นเสียงดัง ฉันจึงเดินเข้าไปกอดแม่ทันที “พ่อละคะ” “อยู่ที่ห้องนั่งเล่นน่ะลูก” ฉันเดินเข้าไปหาพ่อทันที ก็พบว่าพ่อกำลังนั่งคุยกับชายวัยกลางคนที่ฉันไม่รู้จักอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เอ่อ..แคทไม่รู้ว่าพ่อมีแขก ขอโทษนะคะ” ฉันก้มหัวเอ่ยบอกไปทันทีที่เสียมารยาทเดินเข้ามาขณะที่ผู้ใหญ่กำลังคุยกัน “แคทนี่ลุงสุรชัยเพื่อนพ่อน่ะลูก” พ่อเอ่ยแนะนำเพื่อคายความสงสัยให้กับฉัน ฉันจึงยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม คุณลุงก็รับไหว้ก่อนจะลุกขึ้น “ยังไงก็ลองไปคุยกันดูนะ” ลุงสุรชัยเอ่ยขึ้น พ่อก็พยักหน้าตอบก่อนที่ลุงสุรชัยจะเดินออกไป ฉันจึงเดินเข้าไปหาพ่อทันที “มีอะไรหรือเปล่าคะพ่อดูหน้าเครียดๆ” “แคทเธียร์” พ่อเอ่ยเรียกชื่อฉันขึ้นด้วยความกังวลเล็กน้อย “คะ” “พ่อมีเรื่องจะขอร้องลูก” “อะไรเหรอคะ” “แคทช่วยหมั้นกับลูกชายของสุรชัยได้ไหมลูก” “อะไรนะคะพ่อ” ฉันตะโกนถามออกไปด้วยความตกใจอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “คือธุรกิจพ่อมีปัญหาน่ะลูก แล้วสุรชัยก็สามารถช่วยได้ แต่ลูกต้องหมั้นกับลูกชายเขา” พ่อพูดบอกฉันอย่างลำบากใจ “พ่อจะให้แคทหมั้นเพราะธุรกิจของพ่องั้นเหรอคะ” ฉันถามพ่ออย่างโมโหที่เขาจะให้ฉันไปหมั้นกับใครก็ไม่รู้เพื่อเรื่องธุรกิจของเขา โดยไม่ได้สนใจความรู้สึกฉันเลยสักนิด “คือมันจำเป็นจริงๆลูก” “ไม่มีทางค่ะพ่อ แคทไม่ยอมหมั้นกับใครทั้งนั้น” “แคทเธียร์ลูก” “พ่อจะให้แคทไปหมั้นกับใครก็ไม่รู้ แฟนก็ไม่ใช่ ไม่เคยรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ เพียงเพื่อช่วยธุรกิจของพ่อ พ่อไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอคะ ไม่นึกถึงความรู้สึกแคทเลย” “บอกไว้ตรงนี้เลยนะคะ ยังไงแคทก็ไม่ยอมหมั้นเด็ดขาด” พูดจบฉันก็เดินออกมาจากตรงนั้นไปยังรถของตัวเองและขับรถออกไปทันทีด้วยความโมโห สองอาทิตย์ต่อมา @มหาลัยเอส “อิแคทวันนี้ไปช้อปปิ้งกันไหม” เสียงฟ้าเพื่อนสาวของฉันเอ่ยถามขึ้น “ไปดิกำลังเบื่อๆอยู่พอดี” ฉันตอบกลับไปอย่างไม่ลังเลเพราะรู้สึกเบื่อๆไม่มีอะไรทำอยู่พอดี “เริ่ด ไปเลยดีกว่า” พูดจบฟ้าก็กอดคอฉันกับแพรวเพื่อนอีกคนออกมาจากห้องเรียน “อิฟ้ามึงจะโดนเรียนเหรอ” แต่แพรวก็ประท้วงขึ้นเสียก่อน “เออน่า อีกครั้งเดียวไม่เป็นไรหรอก” ฟ้าตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไร “แต่…” แพรวก็กำลังจะพูดขึ้นอีกครั้ง “ไปเถอะ วิชานี้อาจารย์ไม่ได้เคร่งแถมเข้าไปนั่งก็เบื่อเปล่าๆ” ฉันจึงพูดแทรกแพรวขึ้น ก่อนที่จะหันไปยกยิ้มให้ฟ้าและพากันเดินออกไปที่รถ . . . @ห้างL “ใบไหนดีมึง” ฟ้าชูกระเป๋า Harrods ให้ฉันกับแพรวเลือก ซึ่งเราสองคนก็เลือกใบที่ลิมิเตดที่สุดอยู่แล้ว พวกฉันน่ะชอบปลดปล่อยความเครียดด้วยการชวนกันมาช้อปปิ้งเป็นชีวิตจิตใจเลยแหละ เรียกได้ว่าใช้เงินแก้ปัญหาทุกอย่างแม้กระทั่งความเบื่อหน่ายโดยไม่สนใจราคาว่าจะแพงแค่ไหน อยากได้ก็จัดประหยัดทำไม เพราะบ้านพวกเราค่อนข้างจะมีฐานะในระดับหนึ่งเลย “เดี๋ยวเราไปดูรองเท้ากันเถอะ กูอยากได้คู่ใหม่” ฉันเอ่ยบอกเพื่อนออกไปด้วยความร่าเริงก่อนจะเดินนำเพื่อนเข้าไปในช้อปรองเท้าแบนด์เนมทันที เมื่อเลือกดูไปได้สักพักฉันก็ได้รองเท้าที่ต้องการ “เอาคู่นี้ค่ะ” ฉันยื่นบัตรเคดิตให้พนักงานรับบัตรและจึงนำรองเท้าไปคิดเงินให้ทันที ครืดดด~ ระหว่างที่รอพนักงานเสียโทรศัพท์เครื่องหรูของฉันก็ดังขึ้นทำให้ฉันหยิบขึ้นมาดู แม่ ติ้ด “ฮัลโหลค่ะคุณนายคัทลียาคนสวย” ฉันพูดขึ้นทันทีที่กดรับสายด้วยน้ำเสียงอ้อนๆตามปกติของฉันเพราะคิดว่าแม่คงโทรมาให้ฉันกลับบ้าน ซึ่งฉันก็ไม่ได้กลับบ้านเลยหลังจากวันนั้นที่ทะเลาะกับพ่อ (แคทเธียร์ลูก ฮึก!) แต่จู่ๆ แม่ก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเหมือนคนร้องไห้ ทำให้ฉันใจคอไม่ดีขึ้นมาทันที “แม่เป็นอะไรคะ ร้องไห้ทำไม” ฉันรีบถามออกไปด้วยความเป็นห่วง (พ่อช็อตเข้าโรงพยาบาลลูก) ทันทีที่ได้ยินประโยคที่แม่พูดจบฉันก็รีบลุกขึ้นจะเดินออกจากชอป “เกิดอะไรขึ้นกับพ่อคะแม่ แล้วตอนนี้อยู่โรงพยาบาลไหน” ฉันถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ (โรงพยาบาลบำรุงรัตน์ลูก) “เดี๋ยวหนูรีบไปค่ะแม่” พูดจบฉันก็กดตัดสายแม่ทำท่าจะเดินออกไปทันที “อิแคทจะรีบไปไหน” แต่แพรวก็เอ่ยถามขึ้น “พ่อกูเข้าโรงพยาบาลกูต้องรีบไป” ฉันเอ่ยบอกเพื่อนออกไปก่อนจะรีบเดินออกจากชอปมาอย่างไม่ลังเล ตึกตึก ฉันรีบเดินไปที่รถของตัวเองโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปั่ก! แต่จู่ๆ ฉันก็เดินชนเข้ากันใครบางคนทำให้กระเป๋าเธอตกลงพื้นของในกระเป๋ากระจายไปหมด “ขอโทษนะคะ” เธอเอ่ยบอกฉันออกมาเพราะเธอเป็นคนที่เดินมาชนฉันเอง “ไม่เป็นไรค่ะ” “ลินดาเกิดอะไรขึ้น” เสียงผู้ชายคนหนึ่งก็ถามขึ้นจากทางด้านหลังของเธอก่อนจะเดินเข้ามาหาแต่ฉันก็ไม่ได้สนใจ “ฉันขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบฉันก็รีบเดินออกไปทันทีเพราะตอนนี้ฉันไม่สนใจใครทั้งนั้นนอกจากพ่อของฉันเอง “ไม่มีอะไรค่ะพี่เซน ลินเดินชนเขาเอง” “แต่ก็น่าจะมีน้ำใจช่วยเก็บหน่อยนะ” “เขาน่าจะรีบจริงๆนะคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ฉันยังคงได้ยินเสียงของทั้งคู่คุยกันก่อนจะเงียบหายไปเมื่อเดินห่างออกมา . . . @โรงพยาบาลบำรุงรัตน์ ตึกตึก ฉันรีบวิ่งเข้าไปหาแม่ที่นั่งอยู่หน้าห้องไอซียูทันที “แม่คะ เกิดอะไรขึ้นแล้วพ่อเป็นยังไงบ้างคะ” “คือธุรกิจของพ่อโดนโกงจนบริษัทถูกฟ้องล้มละลายลูก พ่อเครียดมากจนช็อกไป ตอนนี้หมอยังไม่ออกมาเลยลูก ฮึก!” แม่เอ่ยบอกฉันเสียงสั่นๆ “พ่อต้องไม่เป็นไรค่ะแม่” ฉันรีบกอดปลอบแม่ ก่อนที่จะเห็นหมอเดินออกมาเราจึงรีบลุกไปหาหมอทันที “ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ” หมอเอ่ยบอก ทำให้ฉันกับแม่โผเข้ากอดกันด้วยความโล่งใจ เช้าวันต่อมา พ่อถูกย้ายเข้ามาอยู่ในห้องพิเศษของทางโรงพยาบาล “น้ำ ขอน้ำหน่อย” พ่อลืมตาขึ้นเอ่ยบอกด้วยเสียงแหบแห้ง ทำให้แม่เดินไปหยิบน้ำให้พ่อทันที “พ่อเป็นยังไงบ้างคะ” “พ่อโอเคลูก” ก๊อกๆ ยังไม่ทันที่เราจะได้คุยอะไรกันมากกว่านี้เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนที่ลุงสุรชัยจะเดินเข้ามา “เทพบดีเป็นยังไงบ้าง” เขาเอ่ยถามพ่อขึ้น “ยังไม่ตายหรอกน่า” พ่อตอบกลับไป “หึ ฉันขอคุยกับเทพบดีสองคนได้ไหม” ลุงสุรชัยแสยะยิ้มก่อนจะหันมาพูดกับฉันและแม่ ทำให้เราสองคนเดินออกมาจากห้อง ผ่านไปสักพัก แอดด เสียงประตูห้องเปิดออกทำให้ฉันหันไปมอง “เข้ามาด้านในสิ” แล้วลุงสุรชัยก็เอ่ยบอกก่อนจะเดินกลับเข้าไปด้านในห้อง “หนูคงรู้เรื่องแล้วว่าบริษัทของพ่อหนูถูกฟ้องล้มละลาย” ลุงสุรชัยเอ่ยขึ้น ฉันจึงพยักหน้าตอบเบาๆ “ลุงเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยพ่อของหนูได้ในตอนนี้” “คะ” “เทพบดีคงเคยคุยกับหนูแล้วเรื่องการหมั้น หนูตัดสินใจยังไง” “หนูไม่หมั้นค่ะ หนูบอกพ่อไปแล้ว” ฉันตอบกลับไปเสียงแข็ง “หนูแคทลองคิดดีๆนะ ที่พ่อหนูช็อกจนต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะเครียดมาก บริษัทที่พ่อหนูลงทุนสร้างมากับมือกำลังล้มละลายหายไป และลุงกำลังเสนอทางออกที่ดีให้กับครอบครัวของหนูนะ” ลุงสุรชัยยังคงพูดหว่านล้อมฉัน ซึ่งพอคิดตามที่ลุงสุรชัยเอ่ยบอกยอมรับว่ามันค่อนข้างได้ผลเพราะเมื่อฉันหันไปมองพ่อที่นอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทีอิดโรยฉันก็รู้สึกไม่ดี ครั้งนี้โชคดีที่พาพ่อมาหาหมอได้ทัน แต่ถ้าครั้งหน้าไม่โชคดีแบบนี้ล่ะ แค่คิดฉันก็ใจหายแล้ว ฉันไม่อยากให้พ่อเครียดจนเป็นอะไรไปมากกว่านี้ “หนูลองกลับไปคิดดูอีกทีนะ” ลุงสุรชัยเอ่ยบอกก่อนจะทำท่าจะเดินออกไป “หนู…ตกลงค่ะ” ฉันเอ่ยบอกออกไปเสียงแผ่วเบา “ถ้าลุงสามารถช่วยบริษัทของพ่อหนูได้ และมันคงจะทำให้พ่อไม่เครียดไปมากกว่านี้” “หึ หนูคิดถูกแล้ว” ลุงสุรชัยก็เอ่ยบอกก่อนจะแสยะยิ้มให้ฉัน ฉันคิดถูกแล้วจริงๆใช่ไหม ฉันได้แต่ถามตัวเองในใจ แต่เพื่อพ่อของฉัน ฉันยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตและทรัพย์สินของพ่อ ถึงแม้ฉันจะไม่เต็มใจก็ตาม…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD