สองอาทิตย์ต่อมา
ติ้งๆ
ขณะที่ผมกำลังขับรถออกจากคอนโด เพื่อไปรับแฟนสาวสุดน่ารักของผม เนื่องจากวันนี้เรามีนัดไปโรงเรียนที่เราเคยเรียนตอนมัธยมด้วยกัน แต่ จู่ๆเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมจึงหยิบขึ้นมาดูเพราะคิดว่าเป็นลินดา
ข้อความ
พ่อ : รีบกลับมาบ้านก่อนเก้าโมง
พ่อ : ห้ามเบี้ยว ไม่งั้นฉันเอาแกตายแน่
เมื่ออ่านข้อความจากคนเป็นพ่อเสร็จผมก็ต้องถอนหายใจออกมาทันที เพราะการที่พ่อจะติดต่อผมมามันต้องมีอะไรอย่างแน่นอน โดยปกติแล้วผมกับพ่อเราไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก ด้วยความที่เราค่อนข้างจะมีความคิดไม่ค่อยตรงกัน เวลาคุยกันทีไรก็มักจะทะเลาะกันทุกที เราจึงเลือกที่จะไม่คุยกันถ้าไม่จำเป็น ส่วนใหญ่ผมจะคุยกับแม่มากกว่า เพราะแม่ค่อนข้างตามใจผมที่สุด…
หลังจากที่ผมตั้งสติได้ผมก็เลือกกดโทรหาใครบางคนทันที
กราฟฟิค
ตื้ดดด ตื้ดดด
(ฮัลโหล) ปลายสายพูดขึ้นทันทีที่กดรับสาย
“มึงไปรับลินดาแทนกูที กูมีธุระต้องไปเดี๋ยวนี้” ผมเอ่ยบอกปลายสายออกไปทันที
(อืม) มันตอบกลับมาแค่นั้น
“ฝากดูแลลินดาด้วยนะ” พูดจบแล้วผมก็กดวางสายก่อนจะขับรถกลับไปที่บ้าน ที่ผมเลือกโทรหาไอ้กราฟฟิคเพราะผมคิดว่ามันน่าจะคุ้นเคยกับลินดามากที่สุด เพราะสองคนนี้ทำงานด้วยกันบ่อยทั้งตอนมัธยมและมหาลัย ผมจึงเลือกไว้ใจให้มันไปรับมากกว่าไอ้วอร์มกับไอ้ยู
@บ้านใหญ่
ครืดด ครืดด~
ขณะที่ผมกำลังเดินเข้าบ้านเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นทำให้ต้องหยิบขึ้นมาดู
ลินดา
เมื่อเห็นว่าใครโทรมาผมก็ยิ้มออกมาทันทีก่อนจะกดรับสาย
“ฮัลโหลครับน้องลิน”
(พี่เซนอยู่ไหนคะ) ปลายสายถามกลับมาทันที
“เอ่อพอดีพี่ต้องมาทำธุระกับพ่อด่วนเลยครับ” ผมอธิบายบอกลินดาออกไป
(มันหมายความว่าไงเหรอคะพี่เซน)
“พี่อาจจะไปรับน้องลินไม่ได้ พี่เลยให้ไอ้กราฟฟิคไปรับแทน”
(แต่พี่ก็น่าจะบอกลินก่อนนะคะ) ลินดาเอ่ยออกมา ทำเอาผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ไม่ได้โทรไปบอกเธอก่อน พอผมโทรหาไอ้กราฟฟิคเสร็จก็รีบขับรถมาที่บ้านเลย
“พี่ขอโทษนะครับ มันกะทันหันจริงๆ” ผมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“แล้วไอ้กราฟก็ผ่านหน้าหอพักน้องลินพอดี น้องลินไปกับไอ้กราฟก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่เสร็จธุระแล้วจะตามไปครับ”
(แต่พี่เซนคะ!) แต่ในขณะที่ผมกำลังคุยโทรศัพท์กับแฟนสาวอยู่นั้น ลูกน้องคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาผม
“คุณเซนครับ คุณท่านให้มาตามแล้วครับ” ผมหันไปมองก่อนจะพยักหน้ารับรู้และโบกมือมันให้เดินออกไป
(แค่นี้ก่อนนะครับพ่อพี่เรียกแล้ว) แล้วผมก็ตอบกลับปลายสายไปก่อนจะกดวางสายทันที
เมื่อผมเดินเข้ามาในบ้านก็ต้องเจอกับพ่อที่ยืนมองหน้าผมนิ่งก่อนที่สายตาของผมจะเหลือบไปเห็นใครอีกหลายคนนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร
“มาตั้งนานแล้วทำไมไม่รีบเข้ามา มัวทำอะไรอยู่” พ่อเอ่ยออกมาเสียงเรียบ
“คุยโทรศัพท์ครับ” ผมตอบกลับไปแค่นั้น
“รู้ไหมว่าทำให้แขกผู้ใหญ่ต้องรอนาน” พ่อพูดขึ้นอย่างตำหนิผม
“เอาน่ะสุรชัยอย่าไปดุลูกเลย ไหนๆลูกก็มาแล้ว” คุณอาคนหนึ่งเอ่ยบอกพ่อ
“ไปนั่งสิ” ทำให้ท่านถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ยบอก ผมจึงไปนั่งตามที่พ่อบอก
“ขอโทษแทนเจ้าลูกชายด้วยนะ” แล้วพ่อก็เอ่ยบอกทุกคน
“ไม่เป็นไรๆ”
“นี่อาเทพบดีกับอาคัทลียา เป็นเพื่อนของพ่อ” พ่อเอ่ยแนะนำ ผมจึงยกมือไหว้คุณอาทั้งสองคนตามมารยาท
“นี่ตาเซนลูกชายผม” พ่อพูดขึ้น
“ส่วนนี่ แคทเธียร์ ลูกสาวคนเดียวของอาเอง” คุณลุงเทพบดีเอ่ยแนะนำหญิงสาวที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้างๆ ผมหันไปมองเธอเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมายิ้มให้อาเทพตามมารยาท
“เซนหล่อกว่าในรูปอีกนะลูก” คุณอาคัทลียาเอ่ยขึ้นยิ้มๆ
“ขอบคุณครับ” ผมก็ยิ้มตอบกลับไปตามมารยาทเช่นกัน
“มาทานข้าวกันเถอะค่ะ ฉันเตรียมไว้ให้เยอะเลย” แล้วแม่ผมก็เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กที่เดินมาเสิร์ฟอาหารมากมายและแม่ก็นั่งลงข้างผม ก่อนที่ทุกคนจะนั่งทานอาหารพูดคุยกันไป คงมีแต่ผมกับหญิงสาวที่นั่งตรงข้างผมที่เอาแต่เงียบไม่ได้พูดอะไร
ผ่านไปสักพัก
“ว่าแต่เรื่องงานหมั้นเราจะเอายังไงกันดี” อาเทพก็เอ่ยออกมา แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่ง
“หมั้นกันเดือนหน้าเลยฝั่งนายจะโอเคไหม” พ่อผมเอ่ยถามอาเทพขึ้น
“ฉันไม่ติดอะไรอยู่แล้ว ยัยแคทก็คงไม่ติดอะไรเช่นกันใช่ไหมลูก” อาเทพก็ตอบกลับมาก่อนจะหันไปถามลูกสาวตัวเอง
“ช..ใช่ค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นมาตอบพ่อเสียงสั่นก่อนจะก้มลงไปเขี่ยอาหารเช่นเดิม
“งั้นก็ตามนี้ ฉันหาฤกษ์มาแล้ว ตัวเจ้าเซนเองก็คงไม่ติดอะไรเหมือนกัน” พ่อเอ่ยบอกอาเทพ แต่คำพูดของพ่อทำให้ผมเงยหน้ามองพ่อทันทีจากตอนแรกที่ไม่คิดจะสนใจว่าทุกคนกำลังพูดถึงใคร แต่เมื่อได้ยินชื่อตัวเองใจผมก็กระตุกวูบขึ้นมา
“หมายความว่าไงครับพ่อ” ผมถามออกไปอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อพูดว่านี่มันคือเรื่องอะไรกันแน่ แล้วผมไปเกี่ยวอะไรด้วย
“เซนจะต้องหมั้นกับหนูแคทเธียร์” พ่อของผมหันมาเอ่ยบอกผมน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน” ผมยืนขึ้นโวยวายออกไปทันทีอย่างไม่เกรงใจใครทั้งนั้น
“เซนใจเย็นๆลูก” แม่พยายามจับมือให้ผมนั่งลง
“ออกมาคุยกับฉันข้างนอก” แล้วพ่อก็พูดขึ้นก่อนจะเดินนำผมออกไปบริเวณในสวน
“ผมไม่หมั้นนะพ่อ ผมไม่ยอมเด็ดขาด” ผมพูดขึ้นทันทีอย่างไม่ยอม
“แต่แกต้องหมั้น” พ่อตอบกลับมาเสียงดัง
“ทำไมผมต้องหมั้นด้วย” ผมถามออกไปอย่างไม่พอใจ
“เพราะฉันสั่ง” พ่อก็ตอบกลับมาเสียงเรียบกว่าเดิม
“แต่ผมมีแฟนแล้ว” ผมเอ่ยออกไปเสียงสั่นเมื่อนึกถึงใบหน้าของลินดา
“ไปเลิกซะ ยังไงแกก็ต้องหมั้นกับหนูแคทเธียร์” พ่อตอบกลับมาอย่างไม่สนใจ
“ผมไม่เลิก แล้วก็จะไม่หมั้นกับยัยนั่นด้วย” ผมพูดด้วยท่าทีจริงจัง ผมไม่ยอมเลิกกับคนที่ผมรักเพื่อมาหมั้นกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้หรอกนะ
“แต่แกต้องเลิก เลือกเอาจะบอกเลิกด้วยตัวเองหรือจะให้ฉันไปจัดการผู้หญิงคนนั้น”
“อย่ายุ่งกับลินดา” ผมกำหมัดแน่นเอ่ยบอกพ่อเสียงเรียบนิ่ง
“ถ้าเป็นเป็นห่วงผู้หญิงคนนั้น ก็ไปจัดการให้เรียบร้อย” พูดจบพ่อก็เดินเข้าบ้านไปทันที
“พ่อ!! ” ผมตะโกนออกไปเสียงสั่นๆ ทั้งโกรธพ่อทั้งเป็นห่วงลินดา ความรู้สึกมันปะปนกันไปหมด ผมไม่รู้จะทำยังไงดี
อีกด้าน
หลังจากที่คุณลุงสุรชัยเดินออกไปคุยกับร่างสูงอยู่นาน สักพักคุณลุงก็เดินกลับมา
“ฉันขอโทษแทนลูกชายด้วย มันตกใจไปหน่อย” ลุงสุรชัยเอ่ยบอกทันที
“ไม่เป็นไร” พ่อของฉันตอบกลับไป แล้วทั้งสองก็พูดคุยกันเรื่องงานหมั้นบ้าๆที่ฉันไม่ได้อยากหมั้นเลยสักนิด ตั้งแต่เซนเดินออกไปคุยกับพ่อของเขา เขาก็หายไปเลยไม่กลับเข้ามาอีก ปล่อยให้ฉันต้องนั่งทนฟังด้วยความอึดอัดอยู่คนเดียว จนเวลาผ่านไปสักพัก
“เอาตามนี้เลยนะ หนูแคทเธียร์ไม่ติดอะไรใช่ไหม” ลุงสุรชัยหันมาเอ่ยถามฉัน ฉันก็มีท่าทีอึกอักเพราะไม่ได้ฟังสิ่งที่ผู้ใหญ่คุยกันเลยแต่เมื่อหันไปหาพ่อกับแม่ที่พยักหน้าให้ฉันเชิงบอกว่าให้ฉันตอบไปดีๆ
“อ..อ่อค่ะ” ฉันตอบกลับไปแค่นั้น ลุงสุรชัยก็พยักหน้าตอบกลับมา ก่อนที่พ่อแม่และฉันจะขอตัวกลับบ้าน
@บ้านแคทเธียร์
ฉันเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเรียบนิ่งทำท่าจะเดินขึ้นห้อง
“คุยกันก่อนสิลูก” แต่พ่อก็เอ่ยขึ้นก่อนทำให้ฉันต้องเดินกลับมานั่งในห้องนั่งเล่น
“พ่อขอบคุณแคทมากนะลูกที่ยอมหมั้นเพื่อบ้านของเรา” พ่อเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ฉันรู้ดีว่าพ่อรู้สึกยังไง ฉันไม่ได้อยากหมั้นเลยสักนิดเดียว แต่เพราะสถานการณ์ที่บ้านเรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ทำให้ฉันต้องจำใจตอบตกลงไป อย่างที่ทุกคนรู้เนื่องจากบริษัทพ่อฉันประสบปัญหาโดนผู้ถือหุ้นโกงไปมหาศาลเกือบสองร้อยล้านทำให้พ่อถูกฟ้องล้มละลาย พ่อเครียดมากจนช็อกเข้าโรงพยาบาลแต่โชคดีที่หมอช่วยไว้ได้ทัน และลุงสุรชัยก็สามารถช่วยธุรกิจที่กำลังล้มละลายของพ่อได้ด้วยการ TAKEOVER และช่วยเรื่องเงินทุน ฉันจึงต้องหมั้นกับเซนลูกของลุงสุรชัย เพื่อให้ลุงสุรชัยยอมยื่นมือมาช่วยธุรกิจของเรา จริงๆบ้านเราก็มีสมบัติเก่าของแม่อยู่นะ แต่ก็ไม่มากพอที่จะฟื้นฟูกิจการของพ่อได้ พ่อจึงตัดสินใจให้ฉันหมั้นเพื่อให้ลุงสุรชัยมาช่วยแทนที่จะใช้ทรัพย์สมบัติของแม่ยื่นมือมาช่วย เพราะอยากให้เก็บไว้ให้ฉันใช้มากกว่า ซึ่งก็มีความโชคดีหนึ่งอย่างที่พ่อไหวตัวทันรีบหย่ากับแม่ก่อนเพื่อไม่ให้ทรัพย์สินของแม่ต้องถูกอายัดและยึดทรัพย์ไปด้วยไม่งั้นบ้านเราจะไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ อย่าคิดมากนะคะ” ฉันเอ่ยออกไปอย่างไม่อยากให้พ่อต้องรู้สึกไม่ดีเดี๋ยวจะทำให้โรคหัวใจกำเริบขึ้นมาอีก
“พ่อสัญญาว่าจะพยายามให้ลูกหมั้นไม่นาน เมื่อไหร่ที่ทุกอย่างเรียบร้อย พ่อจะให้ลูกถอนหมั้นทันที” พ่อเอ่ยออกมา ฉันก็พยักหน้าตอบ
“หนูจะทำเพื่อพ่อนะคะ” พูดจบฉันก็เข้าไปสวมกอดพ่อไว้แน่น
ก็แค่หมั้นเองไม่ได้แต่งงานอยู่กินกันไปตลอดชีวิตซะหน่อย แค่นี้ฉันทำเพื่อพ่อได้อยู่แล้ว