“…”
ความเงียบปกคลุมรอบตัวไลลานาและตะวัน ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากสบตากันนิ่ง ๆ ไลลานาหยุดยืนด้านข้างโซฟาโดยที่ข้อมือถูกตะวันคว้าจับเอาไว้ เธอเม้มปากแน่น ละสายตาหนี บิดข้อมือออกเบา ๆ
“เรื่องมูลนิธิทางเราจะติดต่อกลับมาอีกครั้ง…”
“พี่หมายถึงเรื่องของเรา” ตะวันพูดแทรก เขาลุกขึ้นยืน ขยับเข้าใกล้หญิงสาวผู้เป็นที่รัก แต่เธอกลับถอยหนีราวกับว่ารังเกียจเขาเต็มที แววตาเจ็บปวดฉายชัดออกมา ไลลานาเบือนสายตาหนี ไม่กล้าสบตากับเขา เพราะเธอกลัว… กลัวหัวใจตัวเองจะโอนอ่อนไปกับแววตาคู่นั้น
“เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว ได้โปรดอย่าทำให้ฉันลำบากใจไปมากกว่านี้เลยค่ะ” ไลลานารวบรวมความกล้าหันกลับมาเผชิญหน้ากับหมอตะวันตรง ๆ “ฉันขอบคุณคุณมากสำหรับความช่วยเหลือที่มอบให้เด็ก ๆ แต่มันจะหยุดแค่นั้นค่ะ ความสัมพันธ์ของเราจะหยุดอยู่ที่เรื่องงานเท่านั้น”
“ไลลา…”
Rrr…
หมอตะวันยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของไลลานาดังขัดเสียก่อน เธอเบือนหน้าหนีเป็นเชิงปฏิเสธจะรับฟังเขาอย่างสิ้นเชิง ก่อนเดินหลบออกมาแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดรับสาย
“ค่ะซิสเตอร์”
[ไลลา ฟังซิสเตอร์ให้ดีนะจ้ะ ตอนนี้ทางมูลนิธิของเรามีผู้อุปถัมภ์รายใหม่แล้วจ้ะ]
“คะ? มะ หมายความว่ายังไงกันคะ?” เธอหันมองหมอตะวันด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าปลายสายกำลังพูดเรื่องอะไร ในเมื่อเธอกำลังพูดคุยกับหมอตะวันเรื่องการอุปถัมภ์อยู่ตอนนี้ แล้วทำไมทางมูลนิธิถึงรู้เรื่องแล้วล่ะ
[เราได้ผู้อุปถัมภ์รายใหม่แล้วจ้ะ ต้องขอบคุณเธอมาก ๆ เลยนะไลลา] ซิสเตอร์อรุณีพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ คิ้วสวยขมวดน้อย ๆ ตอนนี้มั่นใจแล้วว่าผู้อุปถัมภ์รายใหม่ที่ซิสเตอร์พูดถึงไม่ใช่หมอตะวันแน่ ๆ
“ใครคือผู้อุปถัมภ์รายใหม่หรือคะซิสเตอร์”
[บริษัทแวนเนอร์กรุ๊ปจ้ะ]
.
.
.
หลายวันต่อมา
ไลลานาได้รับการติดต่อจากทางซิสเตอร์อรุณีอีกครั้งว่าทางบริษัทแวนเนอร์กรุ๊ปยื่นข้อเสนอให้ไลลานาเป็นตัวแทนของมูลนิธิเข้าไปเจรจาเรื่องการอุปถัมภ์กับทางบริษัท ซึ่งทำให้เธอรู้สึกแปลกใจอย่างมากเนื่องจากเธอไม่ใช่ตัวแทนของมูลนิธิตั้งแต่แรก เธอเป็นเพียงอาสาที่ไม่ได้มีหน้าที่หรือบทบาทสำคัญอะไรในมูลนิธิเลยด้วยซ้ำ
‘ฝากด้วยนะจ๊ะไลลา’
คำฝากฝังของซิสเตอร์สร้างความกดดันให้ไลลานาไม่น้อย เธอไม่มั่นใจว่าเธอจะสามารถเจรจาข้อตกลงได้มากน้อยแค่ไหน เธอไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ไลลานาเรียนจบด้านสังคมสงเคราะห์ เธออุทิศตนเพื่อส่วนรวมมาโดยตลอด ปกติเธอจะอยู่กับเด็ก ๆ คอยช่วยเหลือคอยดูแลเด็ก ๆ การที่จู่ ๆ ก็ได้รับหน้าที่สำคัญในครั้งนี้จึงสร้างแรงกดดันให้เธออย่างมาก
“คุณไลลานาใช่ไหมครับ”
“คะ… เอ่อ ใช่ค่ะ ฉันเป็นตัวแทนจากมูลนิธิบ้านสู่รักค่ะ” หญิงสาวหลุดจากภวังค์ความคิดรีบลุกขึ้นยืนโค้งให้กับชายร่างสูงที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องของรองประธานบริษัท วันนี้เธอมีนัดเจรจากับทางบริษัทแวนเนอร์กรุ๊ป ตอนมาถึงบริษัทเธอถูกพามานั่งรอที่นี่ เธอนั่งรออยู่เกือบสิบห้านาทีกว่าประตูห้องรองประธานจะเปิดออก
“ผมชื่ออลัน เป็นเลขาของท่านรองประธานนะครับ” อลันแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทั้งหน้าตาและท่าทางของเขาดูภูมิฐานเต็มเปี่ยมไปด้วยมาดของเลขานักธุรกิจ ไลลานาลอบสังเกตหน้าตาเขา เขาจัดเป็นผู้ชายหน้าตาดีมาก ๆ คนหนึ่ง เธอรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขาอย่างมาก ราวกับว่าเคยพบกันที่ไหนมาก่อน
พักนี้ฉันเป็นอะไรนักนะ ทำไมเจอใครก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาไปซะหมดล่ะเนี่ย…
“ท่านรองเชิญคุณเข้าไปด้านในครับ มีเวลาสิบนาทีก่อนจะเข้าประชุม คุณเตรียมตัวพร้อมแล้วนะครับ”
“ค่ะ ฉันเตรียมตัวพร้อมแล้วค่ะ” เธอกอดกระชับกระเป๋าเอกสารในวงแขนแน่น ด้านในเต็มไปด้วยเอกสารข้อมูลต่าง ๆ ของมูลนิธิ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งรายรับ รายจ่าย ทั้งรายชื่อและรูปภาพของซิสเตอร์กับเด็ก ๆ ในมูลนิธิ เธอเตรียมมาทั้งหมดเพื่อนำเสนอให้กับทางผู้อุปถัมภ์รายใหม่ได้รับทราบ
ประตูห้องทำงานถูกเปิดออก ความรู้สึกตื่นเต้นปนประหม่าแล่นวาบเข้ามาในใจ ไลลานาสูดลมหายใจขณะก้าวเท้าตามหลังอลัน กระทั่งเดินเข้ามาถึงหน้าโต๊ะทำงานของรองประธานบริษัท เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ก่อนจะนิ่งงันไป
“…”
ชายหนุ่มในชุดสูทหรูหรากำลังนั่งพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบาย ๆ ใบหน้าหล่อกึ่งสวยแสนมีเอกลักษณ์ตัดรับกับเรือนผมสีดำยาวประบ่าที่วันนี้เขามัดรวบไว้ครึ่งศีรษะ ดวงตามังกรหรี่มองหญิงสาวตรงหน้าพลางบิดยิ้มน้อย ๆ ไลลานาจำเขาได้ทันที
“คุณ…”
เขาคือผู้ชายที่เธอเจอที่โรงพยาบาลเมื่อวันก่อน ไฟซัลยิ้มพอใจที่ไลลานายังจำเขาได้ โดยหารู้ไม่ว่าที่เธอจำได้ก็เพราะวันนั้นเขากอดเธอซะแน่นแถมยังสูดดมเธอเหมือนคนโรคจิตก็ไม่ปาน ใครจะลืมได้ลงกันล่ะ
“ไฟซัล แวนเนอร์ รองประธานบริษัทแวนเนอร์กรุ๊ปครับ” ไฟซัลลุกขึ้นยืนแนะนำตัวพลางยื่นมือมาด้านหน้าเพื่อจะจับมือทักทายไลลานา เธอยังคงมองเขาด้วยสายตานิ่งอึ้ง ไฟซัลลอบยิ้ม เขาสบตาดวงตาหวานกลมโตด้วยความนึกเอ็นดู รู้สึกดีจริง ๆ ที่ถูกเธอจ้องมองด้วยความสนใจขนาดนี้ เขาเองก็ชอบมองดวงตาสวย ๆ คู่นี้เหมือนกัน ให้นั่งมองทั้งวันยังได้เลย
“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมเบา ๆ จากอลัน เรียกสติไลลานากลับมาอีกครั้ง ส่งผลให้คนทั้งคู่ที่กำลังเล่นเกมจ้องตาหลุดออกจากภวังค์ตัวเอง
“ละ ไลลานา จิระอนันต์ค่ะ”
ไลลานาหลบสายตาคมแล้วก้มหน้าจับมือที่ยื่นค้างมากว่านาทีของไฟซัลด้วยท่าทางเกร็ง ๆ เธอทำเพียงแตะมือเขาด้วยปลายนิ้วเบา ๆ อย่างสุภาพ ทว่ากลับถูกมือหนาขยับจับแนบแน่นจนเต็มฝ่ามือ ร่างบางชะงักนิ่งเงยหน้ามองเขาเลิ่กลั่ก
“ยินดีที่ได้พบกัน ‘สักที’ นะครับคุณไลลานา”
“ค่ะ… คะ?” เธอตอบรับเสียงเบาขณะดึงมือออกจากมือหนาก่อนจะขมวดคิ้วมองร่างสูงตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจในประโยคคำพูดเมื่อครู่ของเขา เขาควรจะพูดว่า ‘ยินดีที่ได้พบกัน’ ไม่ใช่เหรอ? แล้วคำว่า ‘สักที’ นี่มันคืออะไร?