เสื้อคลุมตัวโคร่งสีเทาถูกดีไซน์มาพร้อมกับหมวกใบใหญ่ไม่ได้ช่วยปกปิดท่าทางการเดินของเธอ ที่แสดงออกถึงความรู้สึกภายในใจ หลังหลุดออกมาจากบ้านหลังนั้น การเชิดหน้าขึ้นตรงจนคอตั้งบ่าระหว่างเดินผ่านลูกน้องของผู้เป็นพ่อเป็นเพียงเปลือกนอกจงใจให้โอบอุ้มศักดิ์ศรีเธอไว้เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการเดินผ่านผู้คนแปลกหน้า ขณะเดินหันหลังให้กับต้นไม้มาไกล
เป็นเพราะความโกรธ มีมากมายเกินกว่าจะใช้งานรถของเขาและคนของเขา จากถนนลึกในตรอกซอยกระทั่งเข้ามาคลุกคลีกับผู้คนสัญจรจำต้องพึ่งพาการเดินเท้าทั้งหมด
เสียงแตรและเครื่องยนต์ดังกระหึ่มไปทั่วเมือง ไม่ได้เข้ามารบกวนพื้นที่ของสมอง ขณะยืนรอรถประจำทางอยู่ตรงป้ายเพื่อใช้กลับที่พัก ความนิ่งราวกับรูปปั้นส่งผลให้ผู้คนผ่านไปมาหันมอง กระนั้นต่อให้เสียความรู้สึกจนใจลอยแค่ไหนก็ใช่จะพลาดจนปล่อยให้รถสายนั้นผ่านไปได้ เธอยังเดินผ่านผู้คนแปลกหน้าหลากหลายช่วงอายุ และเพศ ที่ยืนเบียดเสียด ไปยืนหลังสุดสามารถเกาะโหนพร้อมเหม่อลอยต่อ โดยไม่วายดึงหูฟังขึ้นมาตัดขาดกับสังคมรอบตัว
ไม่นานก็ถึงที่หมาย สิ่งแวดล้อมแสนคุ้นเคย สาวเจ้าถอนหายใจพรืดใหญ่หลังก้าวลงมาจากขั้นบันได ใส่มือคู่ลงไปในกระเป๋าเสื้อหวังทุเลาความหนาวเย็น พลางเดินไปตามจังหวะเพลง ทำนองของมันทำให้เธอลืมเศร้าไปชั่วขณะ เผลอร้องคลอตามเบาๆ ก่อนชะงักงันก็หลังจากเดินเข้ามาในซอยได้ครึ่งทาง หัวคิ้วสวยบีบเข้าหากันเกิดรอยหย่อน เพ่งสายตาเล็งไปยังจุดนั้น ตรงสะพานที่มีใครคนหนึ่งยืนอยู่ รองเท้าผ้าใบหยุดอยู่กับที่ หวังพินิจพิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน ก่อนตัดสินใจเดินต่อเมื่อคิดว่าใช่
“เอาเลยสิ ยืนรออะไรล่ะ”
คำทักทายมั่นใจไม่มีใครเหมือน กล้านำมาใช้กับคนที่ไม่สนิท เพิ่งจะรู้จักกันเพียงผิวเผิน เรียกความสนใจจากร่างสูงตรงหน้าหันกลับมา น่าประหลาดใจที่เขายิ้มมากกว่าทำหน้าฉงนปนสงสัย
“มาแล้วเหรอครับ?”
“อะไร ใครมา? ฉันหมายถึงกระโดดสะพาน ตั้งท่าอยู่ไม่ใช่เหรอ”
แถมยิ้มมากกว่าเดิมก็ตอนเธอหรี่ตามามอง เป็นรอยยิ้มทะเล้นที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน มันบ่งบอกถึงความดีใจสุดๆ
“เปล่าครับ ผมมายืนรอพี่ต่างหาก”
“รอฉัน? รอทำไม?”
ไม่นานตาหยีก็แปรเปลี่ยนเป็นตาละห้อย ใช้มือขวาเกาท้ายทอยตัวเอง เตียร์หลุบตาต่ำมองเท้าใหญ่หุ้มด้วยผ้าใบแกว่งไปมาข้างหนึ่ง พลันโค้งริมฝีปากยกยิ้ม ผู้ชายอายุน้อยกว่าตรงหน้ากำลังใช้มันระบายความเคอะเขินของตัวเอง
“ผมหากระเป๋ายังไม่เจอเลยครับ หนังสือเดินทางทั้งหมดอยู่ในนั้น”
“แล้วไง? ก็เลยมาดักรอฉันเพื่อจะขอความช่วยเหลือ? เหอะ ฝันไปเถอะ” ประโยคหลังแค่นหัวเราะ หมุนตัวเดินต่อไม่สนใจเขาอีก พาสคาลเห็นอย่างนั้นถึงกับขึงตาเร่งเดินตามไป
“ช่วยผมด้วยเถอะครับ”
“ทำอย่างเมื่อกี้น่ะดีแล้ว กระโดดน้ำตายไปเลย”
“พี่สาวใจร้ายจัง”
เท้าคู่เล็กชะงักอีกรอบ หรี่ตาข้ามหัวไหล่มามอง อารมณ์ของเธอไม่สู้ดีนัก ไม่นานต้องถอนใจหันมาทั้งตัว ใบหน้าเรียบเฉยถัดไปทางบึ้งตึงขนานกับใบหน้ากำลังหงอยของเขา ด้วยระดับความสูงที่แตกต่างทำให้เธอต้องเชิดปลายคางขึ้น ยิ่งเห็นท่าทางออดอ้อนอย่างชัดเจน พานทำให้เธอยอมปลดหูฟัง
“นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่”
สีหน้าตอนนี้จงใจกวนกันสุดๆ สาวเจ้ากอดอกตัวเอง เลิกคิ้วสูง
“อยากให้พี่สาวช่วย”
ในขณะคำตอบของเขานั้นก็ใช่ย่อย ร่างสูงก้มต่ำลงมาทำหน้าหงอย ปลายจมูกห่างกันประมาณห้าเซนต์
“ที่พักแถวนี้เขาเจ๊งกันหมดหรือยังไง นายถึงไม่ไปใช้บริการ?”
ท่าทางนี้ พร้อมดวงตาสลดประดุจสุนัขหลงทางกำลังทำคนฟังหวั่นไหว เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นก็เท่านั้น เตียร์ใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม กอดอกเบี่ยงสายตาไปทางอื่น
“กิจการของเขาเจริญรุ่งเรืองปกติครับ มีแต่ผมนี่แหละที่ไม่มีเงินไปจ่ายเขา”
อะไรนะ นี่นายไม่มีเงินเหรอ” ถึงทีหญิงสาวเป็นฝ่ายตะลึงตาขึ้นบ้าง หันขวับกลับมาเชิดปลายคางขึ้นดังเดิม ถอนหายใจอีกระลอกก็ตอนร่างสูงพยักหน้า “โทรศัพท์นายล่ะ มีไหม”
“ผมไม่มีอะไรติดตัวเลยสักอย่าง นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชุด ทั้งหมดที่สามารถเลี้ยงชีพผมได้อยู่ในกระเป๋าใบนั้น”
มองเข้าไปในตาลึกด้วยความยากที่จะเชื่อ
“จริงเหรอ?”
“ผมจะโกหกพี่ทำไมครับ?”
“จะไปรู้เหรอ เดี๋ยวนี้โจรมาในคราบเท...นักท่องเที่ยวถมเถไป”
โชคดีที่เธอไม่ได้หลุดคำว่าเทพบุตรตามความคิดของเธอ ซึ่งเหมาะสมกับหน้าตาดั่งฟ้าพระทานของเขา ความกระดากอายในความคิดส่งผลให้เธอหลบสายตาเขาอีกครั้ง คราวนี้ก้มต่ำมองเท้า ขณะสมองก็ใช้ความคิดไปด้วย จะเอาอย่างไรกับคนคนนี้ดี จะเดินหนีไปไม่สนใจก็กระไรอยู่
“ทำยังไงพี่ถึงจะเชื่อครับ”
พอมาเจอคำถามเสียงแหบประหนึ่งคนสิ้นหวังแบบนี้ ความคิดอยากจะใจดำมลายหายไปพริบตาเดียว ลูกผสมเผลอแกว่งตาเลิกลัก ด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ตอนหัวใจสั่นกระตุก ทว่าไม่กี่อึดใจก็สามารถเรียกสติกลับคืนมาได้ ดึงม่านตากลับมามองเขา กอดอกแน่นกว่าเดิม
“ถ้าอย่างนั้นเมื่อสามวันก่อนนายไปอยู่ไหนมา”
จงใจใช้สีหน้าเรียบเฉยเสียงทุ้มหวังข่ม อย่าได้คิดสั้นโกหกกันแม้แต่น้อย เพราะเธอกำลังจะคล้อยตามแล้ว เหลือแค่คำตอบเพียงไม่มีคำ ที่จะมาการันตีว่าเขานั้นกำลังเดือดร้อนอยู่จริงๆ
“ก่อนหน้านี้ผมมีเงินสดติดตัวอยู่บ้างครับ แต่ก็ไม่มากพอที่จะจ่ายค่าห้องคืนที่สี่”
สาวเจ้าพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ เลิกคิ้วสูง
“แล้วครอบครัวได้ล่ะ?”
น่าแปลกที่ประโยคนี้เขาไม่ตอบ เลือกที่จะเม้มปากหันไปทางอื่นแทน เตียร์เห็นอย่างนั้นจึงพ่นลมหายใจ เธอเองก็พอจะมีเหตุผลในตัวอยู่บ้าง ไม่ได้งี่เง่าไปซะหมด อย่างน้อยก็รู้ว่าบทสัมภาษณ์เหล่านี้ ไม่ควรเกิดขึ้นกลางท้องถนนที่มีคนเดินผ่านไปมา
“ฉันจะให้นายพักอยู่กับฉันจนกว่านายจะมีทางออกนะ แต่มีข้อแม้..นายจะต้องเล่าประวัติของนายให้ฉันฟังก่อน..ทั้งหมด”
ก็ไม่รู้เหตุผลอะไรที่ทำให้เธอยอมใจอ่อนกับคนคนนี้ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ซึ่งมันก็ดีกว่าเดินหนีเขา ปล่อยให้ยืนเศร้าอยู่คนเดียว
หรืออาจจะเป็นเพราะ ...รอยยิ้มหวานๆนี้กันนะ ที่ยิ้มทีคนเห็นแทบละลาย