ตอนที่ 4 อิจฉา

3004 Words
ทั้งสองใช้เวลาเดินทางกลับช้ากว่าปกติเพราะคนในรถค่อนข้างมากกว่าขาไป กว่าจะถึงทางเข้าหมู่บ้านก็เกือบๆ สี่โมงเย็นแล้ว เยว่ซินเองก็มีท่าทางเหนื่อยอ่อนไม่น้อย พี่ชายของเธอจึงอาสาที่จะแบกของทั้งหมดคนเดี่ยว แต่ก็กินแรงของเขาไปไม่น้อยเลย ที่หนักที่สุดคงจะเป็นบรรดาหนังสือ ที่น้องสาวของเขาแทบจะเหมามาทั้งร้านเลยเห็นจะได้ “โอ๊ะ!! พี่ว่านเทารึ? ไม่ใช่ว่าฉันเพิ่งเห็นพี่กลับมาเมื่อเช้าหรอกหรือ” น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจส่งเสียงขึ้นทักทายทันทีที่เขาเดินผ่าน เธอมองดูอีกฝ่ายมาสักพักแล้ว เพียงแต่ไม่ค่อยแน่ใจเท่านั้น จึงไม่ได้รีบเข้ามาทักทาย “อืม” เขามองครู่เดียวพร้อมกับส่งเสียงขึ้นเบาๆ อย่างไม่สนใจ เพราะรู้มาว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนดีอะไร ยิ่งได้เห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นแบบนี้แล้ว เขาคิดว่าไม่ควรเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวคงจะดีที่สุดแล้ว “เยว่ซิน เธอไม่คิดจะทักฉันหน่อยรึไง ได้ยินว่าได้ดิบได้ดีกลายเป็นลูกสาวผู้ใหญ่บ้านไปแล้ว ลืมคนบ้านเดิมแล้วสินะ” ความจริงเธอควรเรียกอีกฝ่ายว่าอาหญิง แต่ทำยังไงได้แม้ว่าอีกฝ่ายจะอายุมากกว่าเธอสามปี แต่ยังไงเธอก็ตัวโตมากกว่าอยู่ดี นอกจากนี้ยังมีรูปร่างที่ดูสมกับเป็นหญิงสาวมากกว่าอีกฝ่ายด้วย เธอคือหยางฮวาเป้ยเด็กสาวอายุสิบห้าแล้ว เมื่อก่อนปู่ของเธอรักและเอ็นดูเธอมาก แต่หลังจากที่ปู่ได้รับเลี้ยงลูกสาว ปู่ก็ไม่เคยสนใจเธออีกเลย เงินที่เคยให้เป็นค่าขนมก็หายไป ทั้งยังส่งเสียงให้เยว่ซินได้เรียนต่ออีก ทั้งที่แม่เธอให้เธอเรียนแค่ระดับมัธยมต้นเท่านั้น แต่อีกฝ่ายจบมัธยมปลายแล้ว หากปู่ของเธอไม่ตายคงได้ส่งนังขี้โรคนี่เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยเป็นแน่ “เธอพูดอะไรออกมาก็เห็นแก่หน้าพ่อแม่ฉันด้วย เธอเป็นแค่เด็กคนหนึ่งมีสิทธิ์อะไรพูดถึงเรื่องที่ผู้ใหญ่ตัดสินใจไปแล้ว อีกอย่างท่าทางคำพูดคำจาที่ออกมาแต่ลำคำ ฉันละอายแทนพ่อแม่เธอจริงๆ” เขาทนฟังคำพูดแบบนั้นไม่ได้อีก ทั้งที่เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเด็กสาวที่ดูไม่ได้ความคนนั้น แต่ไม่สามารถละเลยความรู้สึกของเยว่ซินได้ ตอนนี้เขาเป็นพี่ชายของเธอแล้วจะให้อีกฝ่ายรู้สึกโดดเดี่ยวได้ยังไงกัน “พี่ว่านเทา! ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นนะคะ แค่ไถ่ถามคนเคยอยู่ด้วยกันเท่านั้นแหละ แต่ว่าพี่คะ! พี่จะไม่แย่เอาเหรอที่รับเยว่ซินไป เมื่อก่อนก็ไม่เคยช่วยงานอะไรในบ้าน อ้างเจ็บอ้างป่วย ไม่ยอมหยิบจับอะไรเลย ฉันหวังดีนะคะเลยอยากเตือนเอาไว้หน่อย” หยางฮวาเป้ยรู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายตบหน้าก็ไม่ปาน เธอไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน ที่เธอพูดออกไปเป็นความจริงทั้งนั้น “เยว่ซินแซ่หลัว จำเป็นต้องให้เธอมาเดือดร้อนแทนรึไง มาทางไหนก็รีบกลับไปเถอะ ฉันกับน้องสาวยังต้องรีบไปจัดข้าวของต่อ” น้ำเสียงกดต่ำแสดงออกถึงความไม่พอใจ หลัวจากพูดจบ เขาก็เดินตรงไปยังบ้านของตัวเองทันที นอกจากนี้ยังกันตัวน้องสาวให้ห่างจากอีกฝ่ายด้วยท่าทางรังเกียจอีกด้วย “เสี่ยวซินมาแล้วเหรอ หน้าซีดมากเลย แกไม่ดูแลน้องรึไงแทนที่จะรีบเข้าบ้าน มัวเสียเวลาทำอะไรอยู่! แค่เสียงหมูเสียงหมาจะสนใจทำไม” เยว่ซินที่เดินไปยังหน้าบ้านหลัวก่อนเพราะเห็นแม่หลัวยืนรออยู่ จากนั้นนางหลัวก็ส่งเสียงเขียวด่าทอลูกชายของเธอออกไปเสียงดังทันทีอย่างไม่ไว้หน้าใคร “!!!” หยางฮวาเป้ยได้ยินแบบนั้นน้ำตาก็ไหลพรากลงมาทันทีอย่างนึกเจ็บใจ ก่อนจะรีบวิ่งกลับบ้านตนเองด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา “ผมลืมไป วันนี้เป็นวันหยุดคนเยอะไปหน่อย รีบเข้าบ้านเถอะ” เขาไม่ได้สนใจคำต่อว่าของแม่หลัวเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะตอบออกไปเบาๆ “เข้ามาๆ ของมากมายจริง” แม่หลัวเรียกทั้งสองเข้าบ้านด้วยรอยยิ้ม แต่อีกใจก็อดเป็นห่วงลูกสาวของนางขึ้นมาไม่ได้ คงจะเสียขวัญไม่น้อยที่เจอกับคนบ้านนั้นอีกแบบนี้ “ส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่จำเป็น น้องสาวเป็นคนจ่าย” เขาตอบออกไปตามความจริง เงินของเขาที่เสียไปส่วนใหญ่เป็นของกินกับค่ารถเท่านั้น “ได้ยังไงกัน!!” แม้จะเข้าใจว่าของพวกนี้ใช้คูปองซื้อไม่ได้ แต่ยังไงเธอก็ให้เงินลูกชายไปแล้วไม่ใช่เหรอ “ไม่เป็นไรค่ะ หนูเคยแอบเก็บเงินที่พ่อหยางให้ไว้ เลยพอมีอยู่” เยว่ซินกลัวว่าแม่หลัวจะคิดมาก จึงส่งยิ้มหวานให้อีกฝ่ายทันที “เข้าใจแล้ว วันนี้เหนื่อยมากสินะ แม่ทำกับข้าวเสร็จแล้วรีบมากินเถอะ จะได้พักผ่อน” แม้หลัวยิ้มตามอยากอดไม่ได้ ลูกสาวเธอน่ารักมากขนาดนี้ คนพวกนั้นช่างน่าตายนัก “ค่ะ” เธอกลับเข้าไปในห้องเพื่อจัดเก็บหนังสือและของอย่างอื่นด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน สังคมที่นี่ช่างวุ่นวายเหลือเกิน แค่เข้าเมืองก็ใช้เวลาเกือบทั้งวันแล้ว “แม่ครับ ร่างกายของน้องสาวไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอครับ” เขาถามออกไปอย่างนึกสงสัย แม้ใบหน้าของน้องสาวจะดูขาวซีดกว่าคนทั่วไป แต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะบอบบางราวกับกระดาษแบบนี้ “แกไม่รู้อะไร ตอนที่น้องแกมาที่บ้านวันแรกยิ่งกว่าคนตายซะอีก เนื้อตัวมีแต่รอยเขียวซ้ำ รอยแผล รอยแดงทั่วทั่งตัว จะไม่ให้ป่วยได้ยังไง แม่ก็ว่าจะพาไปหาหมอในเมืองแต่น้องไม่ยอมบอกว่าอีกวันสองวันก็หาย ตอนนี้ก็ดีขึ้นอย่างที่แกเห็นนั่นแหละ” แม่หลัวตอบออกไปอย่างเจ็บใจ หากรู้ก่อนหน้านี้เธอคงไม่รอให้ผู้เฒ่าหยางจากไปก่อนแน่ “คนพวกนั้น!!” เขากัดฟันกรอดขึ้นทันทีด้วยอารมณ์เดือดดาล ไม่คิดเลยว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ นั่นต้องพบเจอกับอะไรบ้างในแต่ละวัน เขาแค่คิดถึงความเจ็บปวดที่น้องสาวได้รับ ก็อยากจะไปจุดไฟเผาบ้านหยางให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย “น้องแกถือว่าหมดเวรหมดกรรมกับคนพวกนั้นแล้วล่ะ ว่าแต่แกได้ซื้อชุดให้น้องแกรึเปล่า” เธอได้แต่ถอนหายใจเมื่อคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาของลูกสาว ก่อนจะถามเรื่องชุด เพื่อเปลี่ยนเรื่องคุยกับลูกชาย นางก็พอจะรู้ว่าตอนนี้เขาคงคับแค้นใจเป็นอย่างมากแน่ๆ “น้องซื้อเอง ผมว่าจะซื้อให้อยู่แต่น้องไม่ยอม แล้วก็… พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อย” เขารู้สึกอึดอัดใจนิดหน่อยที่จะพูดออกไป “เรื่องอะไร!” เมื่อเห็นแบบนี้มีหรือเธอจะยอมปล่อย ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นลูกชายของนางคงไม่มีท่าทางกระอักกระอ่วนเช่นนี้แน่ “เรื่องของ….” เขาบอกเล่าทุกอย่างออกไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึมขึ้น แม้จะไม่อยากให้พ่อแม่ของเขาต้องคิดมาก แต่เรื่องแบบนี้หากไม่รีบบอกคงไม่ดีเท่าไร นอกจากนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว อย่างน้อยเขาเองก็ได้เรียนรู้ว่าไม่ควรไว้ใจหรือให้ใจกับผู้หญิงคนไหนมากจนเกินไปแบบนี้ “เฮ้อ~ ช่างเถอะ ผู้หญิงดีๆ มีอีกมาก หน้าที่การงานแกก็ไม่ได้แย่ หาใครไม่ได้จริงๆ แม่จะลองดูคนในหมู่บ้านให้” เธอได้แต่มองลูกชายด้วยแววตาขุ่นเคือง อาจจะเป็นเพราะลูกชายของเธอไม่ค่อยชอบพูดหรืออธิบายอะไรให้ชัดเจนเลยทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ก็ได้ แต่ก็ยังดีที่เธอไม่ต้องรับมือกับลูกสะใภ้แบบนั้น หากจะให้ดีมีลูกสะใภ้ที่มาจากครอบครัวชนบทเองก็คงจะดีไม่น้อย เพราะอย่างน้อยเด็กสาวที่นี่ก็รู้จักทำงาน และคงไม่แข็งขืนกับนางเท่ากับหญิงสาวที่มาจากในเมืองอย่างแน่นอน “ผมไม่รีบหรอกแม่ ตอนนี้แม่มีคนดูแลแล้วผมว่าจะสมัครเข้าโรงเรียนทหารสักหน่อย” ใช่ว่าเขาเองจะไม่เสียใจกับเรื่องนี้ หากต้องจัดการกับความรู้สึกนี้เขาขอเวลาอยู่กับตัวเองก่อนคงจะดีกว่า การที่ได้ใช้แรงงานหนักๆ บ้างก็คงพอให้เขาได้ระบายออกได้บ้าง “แก! แกพูดจริงๆ เหรอ!” นางรู้สึกว่าที่อีกฝ่ายพูดมาก็ไม่เลวนัก เมื่อก่อนเธอเป็นห่วงเพราะยังมีทหารญี่ปุ่นอยู่ในเมืองมาก แต่ตอนนี้ทหารต่างแดนพวกนั้นถูกขับไล่ออกไปหมดแล้ว นางจึงวางใจในเรื่องนี้ “ผมคงต้องฝึกร่างกายหนักหน่อยแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ทหารญี่ปุ่นถูกผลักดันออกไปเกือบหมดแล้ว บ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ระบบคอมมูลก็อาจจะถูกยกเลิกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถึงตอนนี้ประชาชนจะสามารถเลี้ยงสัตว์ปีกได้แล้ว แม่ไม่ต้องเป็นห่วงจนเกินไป” เขาไม่ได้กลัวที่จะทำสงคราม แต่กลัวว่าพ่อกับแม่จะคิดมากเรื่องของเขามากกว่า ในตอนนี้ศึกภายนอกลดน้อยลงแล้ว ศึกภายในก็ดูเหมือนจะสงบมากกว่าเมื่อก่อน เขาจึงเริ่มวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่แล้ว “จริงเหรอ! ต่อไปจะไม่มีการจัดสรรเรื่องอาหารแล้วเหรอ” เธอดีใจมากที่ได้ยินเรื่องนี้ ในตอนนี้ทุกคนที่ออกไปทำงานในไร่นาก็เพื่อแลกคะแนนทั้งนั้น หากทางรัฐจัดสรรที่ดินทำกินให้ใหม่คงจะดีไม่น้อย “จริงแม่… เบาๆ หน่อย เรื่องนี้รู้กันแค่ภายในเท่านั้น นี่เป็นคูปองเนื้อกับคูปองอุตสาหกรรมแม่เก็บไว้เถอะ อีกหน่อยคงจะพอซื้อจักรยานให้น้องสาวได้ ผมคงไม่ต้องใช้หรอก” เขายังไม่อยากให้คนอื่นได้ยินเรื่องนี้เท่าไร ก่อนจะนำคูปองที่เก็บสะสมออกมาส่งให้ ถึงแม้จะเดินได้ แต่ในหมู่บ้านก็มีร้านสหากรณ์อยู่ห่างจากบ้านไปไม่น้อย น่าจะพอให้น้องสาวได้ออกกำลังกายได้ด้วย “แม่รู้แล้ว น้องสาวแกเป็นเด็กดีมาก แกอย่าไปฟังคนพวกนั้นเลย ดูสิบ้านเราเป็นระเบียบเรียบร้อยแบบนี้เพราะน้องสาวแกทั้งนั้น ทั้งที่ป่วยอยู่ยังไม่ยอมอยู่นิ่งๆ เลย” เธอดีใจมากจริงๆ ที่ได้เยว่ซินมาเป็นลูกสาว แม้ร่างกายจะอ่อนแอบอบบาง แต่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองว่างเลยสักครั้ง “ผมรู้แล้วครับ น้องสาวเป็นคนดี” เขาย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง และเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นและรับรู้มาเท่านั้น ดูจากแววตาท่าทางแล้วนับว่าเป็นเด็กที่ดีไม่น้อย ที่ผ่านมาน้องสาวคนนี้คงจะเจ็บปวดมามาก ในบ้างครั้งเขาถึงรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายดูโดดเดี่ยวและเหงามากเหลือเกิน “อืม” แม่หลัวพยักหน้าให้ลูกชายอย่างเข้าใจ ก่อนจะรีบไปจัดโต๊ะเตรียมมื้อเย็น โดยอาหารที่ทำในวันนี้มีแป้งจี๋ ผัดผักป่าที่เก็บมาเมื่อเช้า ผัดถั่วฝักยาวใส่ไข่ และนอกจากนี้ยังมีของโปรดของลูกสาวนางอีกด้วย นั่นก็คือซุปปลาใส่เห็ดนั่นเอง 18:00 น. “แม่หลัว!! แม่หลัว!!” น้ำเสียงดูเร่งรีบร้อนลนดังขึ้นจากหน้าบ้าน ท่าทางเกรี้ยวกราดมากเลยทีเดียว “มีอะไร ค่ำมืดแล้วยังโวยวายอยู่ได้!” แม่หลัวมีหรือจะกลัว เธอรีบออกไปดูทันทีด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวไม่ต่างกัน “พี่พูดอะไรกับเสี่ยวเป้ย ทำไมเธอถึงร้องไห้ไม่หยุดแบบนี้ล่ะ เสี่ยวเป้ยก็แค่เด็กคนหนึ่ง พี่ดุด่าอะไรเธอถึงเป็นแบบนี้” สะใภ้รองชินหงถามออกไปด้วยท่าทางไม่พอใจทันที ตั้งแต่ที่เธอเห็นลูกสาวร้องไห้กลับบ้านก็ร้อนใจขึ้นมา และบอกว่ากับเธอว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ใช่ว่าลูกของเธอแค่บอกเรื่องของเยว่ซินให้พวกเขาได้รับรู้เอาไว้หรอกหรือ “ฉันจะไปดุด่าอะไรลูกสาวเธอได้ วันนี้ทั้งวันฉันก็เพิ่งจะเห็นหล่อนนี่แหละ” แม่หลัวจับจ้องอีกฝ่ายด้วยใบหน้าดุดันทันทีอย่างไม่เกรงกลัว คนพวกนี้แม้แต่หน้านางยังไม่อยากจะมองเลยด้วยซ้ำ “แม่! เมื่อกี้! ป้าหลัวด่าว่าฉันเป็นหมู เป็นหมาอยู่เลย ฉันแค่บอกให้พี่ว่านเทารับรู้เอาไว้ว่า นังซินไม่ชอบอ้างเจ็บอ้างป่วยไม่ยอมช่วยงานที่บ้านก็แค่นั้น” น้ำเสียงสะอื้นของหย่งฮวาเป้ยส่งเสียงขึ้นอย่างไม่ยอม ก่อนจะชี้หน้าเยว่ซินออกไปด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด “มันก็เรื่องจริงทั้งนั้น ทำไมต้องด่าลูกฉันแบบนั้นด้วย” สะใภ้รองรีบพูดออกไป “ฉันว่าหล่อนเข้าใจอะไรผิดๆ ไปนะ ฉันจำได้ว่าด่าลูกชายของฉันที่ไม่ยอมเข้าบ้าน ส่วนใครหมู ใครหมา ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ใครอยากรับก็รับไปสิ” แม่หลัวยกยิ้มเยาะขึ้นอย่างไม่ไว้หน้า พร้อมกับจ้องมองไปที่เด็กสาวด้วยแววตาแข็งกร้าวทันที “นี่!!” สะใภ้รองได้แต่ตกตะลึง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยมีปากเสียงกับใครเลยแท้ๆ “นี่อะไร! อยากให้ฉันรายงานคนของทางการหรือว่าค่ำมืดไม่ยอมเข้าบ้าน มาโวยวายเรื่องไร้สาระหน้าบ้านคนอื่นแบบนี้” เธอไม่กลัวอะไรอีกแล้วในตอนนี้ กองพลน้อยของรัฐตั้งอยู่ไม่ไกล หากจะขอความช่วยเหลือคงไม่ลำบากอะไรอยู่แล้ว “เชอะ! กลับ!!” มีหรือเธอจะกล้าอยู่ต่อ อีกฝ่ายเป็นภรรยาผู้ใหญ่บ้านย่อมคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่รัฐอยู่แล้ว เธอไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางแบบนั้นแน่ๆ “แม่!!” หยางฮวาเป้ยไม่พอใจที่จะกลับไปง่ายๆ แบบนี้ อย่างน้อยก็ต้องด่านังขี้โรคจนให้สาแก่ใจก่อนไม่ใช่รึไง “รึแกอยากเป็นหมูเป็นหมาให้คนเขาด่าต่อก็เชิญ!” เธอส่งเสียงด่าทอออกไปทันที “แม่!!” หยางฮวาเป้ยร้องขึ้นอย่างไม่พอใจเช่นกัน แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ เป็นแบบนี้แล้วความหวังที่เธอจะได้สานสัมพันธ์กับหลัวว่านเทาคงกลายเป็นแค่ฝันไปแล้ว ทุกอย่างเป็นเพราะเยว่ซินเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่คนนั้น! "แกหยุดเรียกฉันสักที แล้วก็นะหัดควบคุมตัวเองไว้บ้าง อะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็แหกปากร้องออกมาแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน เป็นแบบนี้ไงผู้ชายเขาถึงไม่ได้สนใจแก" นางด่าลูกสาวออกไปอย่างนึกเจ็บใจเมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว "เกิดอะไรขึ้น แล้วนี่ทำไมยังไม่เตรียมกับข้าวอีก" หยางไห่เฟิงถามออกไปด้วยน้ำเสียงเขียวทันที เขากลับมาเหนื่อยๆ แทนที่จะได้รับการดูแล ได้กินข้าวอร่อยๆ แต่ต้องมานั่งรอสองแม่ลูกที่เพิ่งจะกลับมาแบบนี้ "ขอโทษด้วยนะพี่ พอดีมีเรื่องกับพี่สะใภ้หลัวนิดหน่อย" นางบอกกับสามีออกไปด้วยใบหน้าเจื่อนๆ ทันที "แกเองก็โตเป็นสาวจะแต่งงานได้อยู่แล้ว ยังไม่รู้จักคิดอีกนะ คงไปหาเรื่องนังขี้โรคนั่นอีกล่ะสิ" เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น "พ่อไม่รู้อะไร วันนี้พี่ว่างเทาพามันเข้าไปในเมืองด้วยนะ หอบข้าวหอบของมามากมายเลย ฉันเห็นมีผ้าใหม่ด้วย แล้วยังมีของอีกอย่างอย่างเลยนะพ่อ" หยางฮวาเป้ยรีบนั่งข้างพ่อของเธอ ก่อนจะเล่าเรื่องที่ได้เห็นอดีตอาเล็กของเธอออกไปอย่างออกรส "โอ้! ท่าทางบ้านพ่อผู้ใหญ่คงจะเลี้ยงดูมันเป็นอย่างดีเลยสินะ หากแกอยากได้ของพวกนั้นก็คอยดูเวลาที่คนอื่นไม่อยู่สิ แค่ข่มขู่มันนิดๆ หน่อยๆ ขี้คร้านจะยกของพวกนั้นให้เอ็งแทบไม่ทัน" หยางไห่เฟิงพูดออกมาด้วยแววตาเป็นประกายทันที น่าเสียดายที่วันนั้นพี่สะใภ้เรียกเงินจากทางนั้นน้อยไปหน่อย หากรู้ว่าพวกมันมีเงินมากขนาดนี้คงจะเรียกราคามากกว่านี้แน่นอน "นั่นสิ! แกนี่ไม่รู้จักวางแผนเหมือนพ่อของแกเลยนะลูกคนนี้" สะใภ้รองรีบพูดชมคำพูดของสามีทันที "เรื่องข่มขู่ผมจะช่วยด้วยอีกคน ไม่ได้ทุบตีนังนั่นนานแล้ว รู้สึกอึดอัดซะมัดเลย" หยางรุ่ยลูกชายคนเล็กอายุได้ 14 ปีแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางได้ใจทันที หากได้ทุบตีอีกฝ่ายเหมือนเมื่อก่อนก็คงจะดี "อย่าทำให้คนอื่นเห็นก็พอ" หยางไห่เฟิงยกยิ้มให้ลูกชายเล็กน้อย เพราะรู้ดีว่านังเด็กขี้โรคเป็นคนยังไง ไม่มีทางเลยที่จะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องผู้ใหญ่บ้าน คงจะทำได้แค่เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่เงียบๆ เท่านั้นแหละ "เข้าใจแล้วครับพ่อ" เด็กชายยกยิ้มขึ้นอย่างชอบใจทันที ในที่สุดเขาก็จะได้ทุบตีอีกฝ่ายแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD