“เข้ามาหาฉันใกล้ๆสิดอกแก้ว”
หญิงหม้ายวัยหกสิบสองปีมองหาเด็กสาวที่คอยปรนนิบัติพัดวีตนเองที่ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายนอนติดเตียงมานานกว่าหกเดือน จนเป็นแผลกดทับบริเวณแผ่นหลัง
“ค่ะคุณหญิง”
อัปสรสุดาย่อตัวนั่งลงบนพื้นข้างเตียงในห้องนอนของคุณหญิงเฉิดฉาย มือบางจับประคองมือเหี่ยวนี้เอาไว้ มองผู้มีพระคุณที่อุปการะรับเลี้ยงเธอมาจากบ้านเด็กกำพร้าเมื่อหลายปีก่อน
“ฉันคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ฉันเขียนพินัยกรรมไว้แล้ว เธอจะได้รับเงินส่วนหนึ่งที่ฉันตั้งใจจะให้”
เสียงที่เปล่งออกไปแหบแห้งไร้น้ำหนัก แต่ทว่าแววตานั้นมีความตั้งใจและแน่วแน่
“ดอกแก้วรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ แค่มีที่ซุกหัวนอนนอนก็เป็นบุญของดอกแก้วมากแล้ว”
เด็กสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธ เธอไม่ได้หวังอะไรจากคุณหญิงเฉิดฉายเลยแม้แต่น้อย
“อย่าขัดคำสั่งฉันสิ”
พูดได้เท่านั้นคุณหญิงเฉิดฉายก็ไอสำลักรุนแรง ผ้าสีขาวที่ใช้ปิดปากมีเลือดสีแดงสดติดออกมา
“คุณหญิง!”
อัปสรสุดาตกใจรีบออกแรงพยุงร่างอวบของคุณหญิงเฉิดฉายให้พิงพนักหัวเตียง เผื่อว่าอาการจะทุเลาลง
“นั่นเธอจะทำอะไร มาประจบขออะไรจากคุณแม่อีกล่ะ”
ร่างสูงทรงสง่าตามฉบับของหนุ่มใหญ่ลูกครึ่งอังกฤษก้าวเข้ามาในห้อง ดวงตาสีนิลกวาดมองร่างบางอย่างนึกรังเกียจ เขาไปดูงานที่อิตาลีแค่ไม่กี่อาทิตย์ พอกลับมาถึงบ้านก็ยิ่งหงุดหงิดที่เห็นอัปสรสุดายังลอยหน้าลอยตาอยู่ในบ้าน เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่มารดาเก็บมาเลี้ยง
“ปะ...เปล่านะคะ คือดอกแก้วแค่...”
ดวงหน้าหวานส่ายยิก ใจหนึ่งก็หวั่นไหวกับความหล่อเหลาเอาการของผู้ชายปากร้ายคนนี้ ไม่ได้เห็นหน้าเขามาเกือบเดือนเต็มๆ
“เลือด! เธอทำอะไรคุณแม่”
คเชนทร์เบิกตากว้างกัดกรามแน่นเมื่อเห็นเลือดที่ติดริมฝีปากของมารดา แล้วจึงมองเด็กสาวอย่างคาดโทษ
“เปล่านะคะ คุณหญิงท่านไอหนักมาก ดอกแก้วก็เลยช่วยพยุงท่านให้นั่ง”
เขาจะมองเธอในแง่ดีบ้างได้ไหม อัปสรสุดารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ปี เธอก็ยังเป็นเด็กกาฝากที่เขาไม่ยอมรับ
“คุณแม่ครับ คุณแม่ คุณแม่ได้ยินเสียงผมไหม”
คเชนทร์อุ้มประคองร่างของมารดาที่หลับใหล ไม่ว่าจะเรียกสติยังไงก็ไม่ฟื้น
“บ้าฉิบ! ถ้าคุณแม่เป็นอะไรไป ฉันคิดบัญชีกับเธอแน่ดอกแก้ว”
แขนแข็งแรงอุ้มร่างอวบขึ้นมาจากที่นอน ก่อนจะมองไปที่อัปสรสุดทาตาขวาง แล้วเดินผ่านร่างเธอไป
“ดอกแก้วขอโทษ ดอกแก้วดูแลคุณหญิงไม่ดีเอง”
เธอยังนั่งอยู่ที่เดิมพูดกับตัวเองแล้วร้องไห้ แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าต้องรีบตามคุณหญิงท่านไปที่โรงพยาบาล ร่างบางก็ลุกพรวดพราดแล้ววิ่งออกไปจากห้อง
ณ โรงพยาบาล
ร่างใหญ่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินด้วยความเป็นกังวลใจ แต่พอหันไปเจอหน้าของเด็กสาว เธอมองมาราวกับว่าใสซื่อนักหนา เขาก็ยิ่งไม่พอใจ
“เลิกทำหน้าทำตาแบบนั้นสักที” หนุ่มใหญ่สบถเสียงต่ำ
“ขะ...ขอโทษค่ะ”
อัปสรสุดารีบก้มหน้างุดไม่กล้าประสานกับดวงตาดุเข้ม มือทั้งสองข้างขยำชายกระโปรงตัวเก่าจนยับยู่ยี่ ริมฝีปากรูปกระจับเม้มเป็นเส้นตรง
การกระทำของเด็กสาวช่างเกะกะสายตา เด็กคนนี้มีอะไรดีมารดาถึงได้อยากให้เขารับไว้เป็นลูกบุญธรรม หนุ่มใหญ่ที่ครองชีวิตโสดมาโดยตลอดยิ่งไม่เห็นด้วยกับการมีลูก ไม่ว่าจะเป็นลูกจริง หรือลูกบุญธรรมก็ตาม
“เชิญญาติพบคุณหมอด้านในค่ะ”
พยาบาลในชุดสีขาวสะอาดเดินออกมา ทำให้คเชนทร์หลุดออกจากความคิดของตัวเอง
“ครับ”
เขาไม่รอช้ารีบเดินตามพยาบาลสาวไป จนกระทั่งเห็นร่างของมารดานอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้
“ผมพยายามช่วยชีวิตคุณหญิงจนสุดความสามารถแล้ว แต่คุณหญิงท่านได้หยุดหายใจไปก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล”
อดิศรเป็นเพื่อนสนิทน้องชายของคเชนทร์ และยังเป็นแพทย์ประจำตัวของคุณหญิงเฉิดฉาย
“หมายความว่า แม่...”
ดวงตาของคเชนทร์แดงก่ำ เขาโน้มตัวลงไปหาแล้วกอดร่างที่ไร้วิญญาณด้วยความเสียใจ
“คุณหญิงเฉิดฉายท่านจากเราไปแล้วครับ”
เขาเองก็น้ำตาตก ไม่รู้ว่าจะบอกคชินทร์อย่างไรดี เพราะเพื่อนของเขารักมารดามาก และตอนนี้มันก็ไม่ได้อยู่ประเทศไทย
อัปสรสุดาตามเข้ามาเห็นภาพตรงหน้าก็ร้องไห้โฮ หล่อนคลานเข้าไปหาที่เตียงแล้วก้มกราบลงบนปลายเท้าอันแสนจะเย็นเฉียบ เธอทราบดีว่าอาการของคุณหญิงทรุดหนัก แต่ท่านก็ขอร้องไม่ให้เธอบอกกับใคร เพราะไม่อยากให้บุตรชายทั้งสองคนเป็นห่วงจนเสียการเสียงาน ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องจากโลกนี้ไป อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วแค่นั้นเอง
“เธอดูแลแม่ฉันยังไง ให้ท่านกินยาครบไหม หรืออยากให้แม่ฉันตาย เพื่อที่เธอจะได้มาเป็นลูกบุญธรรมของฉัน ใช้นามสกุลอัครหิรัญ มีสิทธิ์ในทรัพย์สิน ต้องการแบบนั้นใช่ไหม”
คเชนทร์ดึงกระชากแขนเรียวด้วยความกรุ่นโกรธ หากมารดาเสียชีวิตลงสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำก็คือรับเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนี้ไว้เป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งเขาไม่ได้ต้องการเลย แต่ก็ได้รับปากมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว
“โอ้ย...ดอกแก้วเจ็บ”
ต้นแขนโดนมือหนาแข็งแรงดังคีมเหล็กบีบเคล้นรวดร้าวจนถึงกระดูกข้างใน
“ตอบฉันมาสิ ไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือไง”
การแสดงตลบตะแลงเสแสร้งของอัปสรสุดายิ่งทำให้เขาเกลียดเธอมากกว่าเดิม
“ดอกแก้วเปล่า”
คนตัวเล็กก้มหน้างุดซ่อนความกลัวในแววตาที่สั่นระริก
“พี่มาร์ตินครับ ใจเย็นๆก่อน”
อดิศรเห็นแล้วก็อดสงสารอัปสรสุดาไม่ได้
คเชนทร์ยอมปล่อยมือที่จับแน่น พร้อมกับออกแรงผลักเด็กสาวจนล้มลงกับพื้นด้วยความตั้งใจ
“ลุกขึ้นไหวไหม”
แพทย์หนุ่มช่วยพยุงร่างบางด้วยความเป็นห่วงและเห็นใจ อุปสรสุดาเป็นเด็กเรียบร้อย นิสัยดี และพูดจาไพเราะน่าฟัง แต่ทำไมคเชนทร์ถึงได้จงเกลียดจงชัง ช่างน่าเห็นใจ
“ดอกแก้วไหวค่ะ”
เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดน้ำตา พอตั้งสติได้ก็รีบเดินผ่านหน้าคนใจร้ายออกมาข้างนอก ถึงแม้คุณหญิงต้องการให้เขารับเธอเป็นลูกบุญธรรม แต่เธอก็คิดไว้แล้วว่าจะออกมาจากบ้านอัครหิรัญทันทีหลังจากเสร็จพิธีบำเพ็ญกุศลสวดอภิธรรมศพคุณหญิงเฉิดฉาย