ตอนที่ 4 ไม่อยากให้เสียเวลา
นิษฐ์รัณดาตื่นลืมตาขึ้นมามองพื้นที่ว่างเปล่าข้างเธอความน้อยใจตีรื้นขึ้นมาจนจุกแน่น นับเป็นคืนที่สองแล้วที่เขานั้นเลือกที่จะนอนในห้องอื่น แทนที่จะกลับเข้ามานอนในห้องเหมือนอย่างปกติ
หล่อนมุ่นคิ้วด้วยความข้องใจ สงสัยอยู่ไม่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาเวลานี้ ความห่างเหินเย็นชาที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน ก่อเกิดคำถามมากมายให้หล่อนต้องมานั่งคิดทบทวน ว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ เธอทำสิ่งใดให้เขาเคืองขุ่นหรือไม่
หล่อนพลาด หรือทำผิดตรงไหน ให้เขาเคืองขุ่น พยายามคิดทบทวนตนเองด้วยความเจ็บปวดใจ เมื่อความห่างเหิน เย็นชาที่เขาแสดงต่อเธอในเวลานี้ แสดงออกชัดมากกว่าที่ผ่านมา ยิ่งทำให้หัวใจยิ่งสาวรู้สึกสั่นคลอน ไม่มั่นใจมากยิ่งขึ้น
หญิงสาวพยายามคิดปลอบใจตนเองอย่างคนโง่เขลา ราวกับมีเมฆหมอกบาง ๆ กางกั้นสายตา ว่าช่วงนี้เขาอาจงานยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลาว่าง หล่อนพยายามคิดแบบนี้ เพราะไม่อยากทำให้เขาต้องขุ่นข้องหมองใจ อีกไม่กี่วันจะถึงวันแต่งงานแล้ว หล่อนอยากให้ทุกอย่างราบรื่น ผ่านไปด้วยดี
กระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนถึงบ่ายหลังเสร็จจากเตรียมงานกับพี่นุชและพี่อุ้ยหัวหน้าของเธอที่ทำงานกับเจ้านายโดยตรง หล่อนจึงเลี่ยงหลบมานั่งพัก ด้วยอาการวิงเวียนที่มีขึ้นเป็นระยะ พาลคิดไปว่าช่วงนี้มีเรื่องให้กังวลใจหลายอย่าง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งภาพการจองตั๋วหนังไปให้เขาดูพร้อมกับระบุเวลา สองทุ่มสิบห้านาที
“เย็นนี้พี่จะมารับกี่โมงคะพี่กลาง”
อธิษฐ์มองข้อความที่เด้งขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับอีกฝ่ายไปเพียงว่า
‘ไปเจอกันที่หน้าโรงหนังเลยแล้วกัน เสร็จงานพี่จะตามไป’ พิมพ์ส่งไปแค่นั้นก่อนจะวางโทรศัพท์เครื่องนั้นลงบนโต๊ะข้างตัวอย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นักว่าภรรยาของเขาจะพิมพ์ตอบกลับมาว่าอย่างไร
เพราะคำตอบในใจตอนนี้ของเขานั้นชัดเจนอยู่แล้ว
บรรยากาศภายในร้านอาหารสไตล์นั่งชิล กิน บรรยากาศเคล้าเสียงเพลง สไตล์ดนตรีสด ในช่วงค่ำวันธรรมดาของกลางสัปดาห์นั้นไม่ได้หนาแน่นมากนักจากนักท่องเที่ยวขาจรทั่วไป จะมีก็แต่กลุ่มพนักงานที่มาเลี้ยงต้อนรับหวังสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานคนใหม่สามคนกลุ่มใหญ่ จากพนักงานบริษัทด้านตัวแทนยาและอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ ของนายแพทย์หนุ่มหล่อ ที่นั่งยิ้มอ่อนหลบมุมอยู่กับหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นอดีตคนรักของเขา โดยมีสายตาของเหล่าบรรดาพนักงาน หลายคนคอยลอบมองดูด้วยความสนใจ อยากรู้ความเป็นไป แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยถาม หรือทักแซว
กระทั่ง ชายร่างสูงใหญ่ มีใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้ม สะกดสายตาของสาวน้อย สาวใหญ่ ให้หันมองกันเป็นตาเดียว เดินตรงเข้ามายังโต๊ะด้านในสุด ซึ่งเป็นมุมประจำคุ้นเคย
“อ้าวเห้ย...เป็นไงมาไงวะ”
“พาลูกน้องมาเลี้ยงน่ะ พอดีมีพนักงานใหม่เข้ามา เลยมาเลี้ยงกันหน่อย” ขุน หรือ รชตะ หุ้นส่วนใหญ่ของร้านและยังเป็นเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เดินตรงเข้ามาทักทายทันทีที่เห็นหน้า แต่กลับต้องเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นใครบางคน ที่ไม่พบหน้ากันนานนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
“อ้าวน้องเป้ย ไม่ได้เจอกันนานเลย สบายดีเหรอครับ”
“สบายดีค่ะ พี่ขุนละคะเป็นยังไงบ้าง ไม่เจอนาน เลิกเป็นอาจารย์ มาเปิดร้านเหล้าแทนแล้วเหรอคะ” หล่อนแสร้งเย้า
“หึหึ ยังไม่เลิกครับ ยังสอนอยู่” ชายหนุ่มเจ้าของร้านหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะแอบหันไปส่งสายตาเป็นเชิงถามกับคนเป็นเพื่อนที่ยังคงนั่งนิ่ง ไม่สนใจต่อสายตาคู่นั้นของเขาเลยสักนิด
จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ หญิงสาวที่ถือโอกาสนั่งเกาะเขาแจไม่ยอมลุกไปร่วมทำความรู้จักกับบรรดาเพื่อนร่วมงาน จึงถูกหนึ่งในนั้นดึงแล้วลากไปร่วมสนทนา พูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างความคุ้นเคย
รชตะรอโอกาสที่ได้นั่งอยู่ด้วยกันลำพัง จึงถือโอกาสเอ่ยถาม ไขข้อสงสัยที่อยากรู้
“เล่นอะไรของมึงวะ กูงงไปหมดแล้ว สรุปมึงกลับไปดีกับน้องเขาเหรอวะ แล้วเมียมึง?” นายแพทย์หนุ่มได้ยินคำถามชวนอึดอัด ถึงกับถอนหายใจยาว
“เปล่า กูยังไม่ได้กลับไปดีกับเป้ย”
“อืมก็ดีแล้ว กูนึกว่ามึงจะเหี้ยทิ้งเมียมึงกลับไปหาเป้ยเสียอีก แล้วมึงทำไมมานั่งอยู่กับน้องเขาแบบนี้วะ เดี๋ยวก็งานเข้าหรอก” อธิษฐ์ตวัดตามองเพื่อนสนิทที่คบหากันมานานด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจ แต่ก็ไม่คิดเถียง หรือพูดอะไรกลับไป ได้แต่นั่งยกแก้วที่มีน้ำสีอำพันขึ้นดื่ม
“แล้วนี่ยังไงวะ อาทิตย์หน้าใช่ไหมงานแต่งมึง กูยังไม่ได้เตรียมชุดเลย”
“ไม่ต้องเตรียมหรอก” อธิษฐ์ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ในขณะที่อีกฝ่ายยังไม่ทันคิดอะไร เพราะมองว่าชุดเพื่อนเจ้าบ่าว อธิษฐ์ก็คงจะเตรียมไว้ให้พร้อม ทว่า
“บางทีกูอาจไม่แต่ง”
พรวด!!! น้ำสีอำพันที่ดื่มไปเมื่อครู่พุ่งพรวดออกมาจนหมด ก่อนจะหันมาทำตาเหลือกใส่คนเป็นเพื่อน ที่ยังวางสีหน้าเรียบเฉยปกติ
“อะไรของมึงวะ!”
“อืม...อย่างที่กูเคยบอกพวกมึงไว้คราวก่อน กูอาจจะเลิกกับณิดา”
“มึงเอาจริงเหรอวะ”
“อืม...กูคิดดีแล้ว ยังไงกูก็ไม่อยากทำให้ณิดาเขาต้องมาทนเสียเวลาอยู่กับกู”
“กูถามเมื่อจริง ๆ ตอนนั้นมึงยอมตามใจแม่ ไปแต่งกับน้องเขาทำไมวะ เท่าที่กูจำได้ แม่มึงไม่ได้บังคับไม่ใช่เหรอวะ” เลิกคิ้วถามด้วยความข้องใจ เขาจำได้ดีว่าในวันนั้นอีกฝ่ายเพียงแค่มาเปรยให้ฟังว่ามารดาของเขาชอบผู้หญิงคนนี้ และอยากได้ดองมาเป็นคนในครอบครัว
นายแพทย์หนุ่มถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะตอบอีกฝ่ายว่า
“กูแม่งคิดว่าเป้ยจะแต่งงาน”
“แล้ว?? มึงก็เลยจะแต่งงานประชดเป้ย”
“เออ ตอนนั้นกูอยู่คนเดียวไม่ได้ว่ะ กูแม่งคิดถึงเขา กูยอมรับว่ากูเหี้ย กูมันเห็นแก่ตัว”
“เออมึงนี่แม่งเหี้ยจริง ๆ กูก็ว่าทำไมอยู่ ๆ ไปคบกับน้องเขา ทั้ง ๆ ที่ก็เห็นกันมาแต่เด็ก ที่แท้มึงเอาน้องเขามาเป็นตัวแทนเป้ยเหรอวะ”
“กูทำไงดีวะ”
“ทำไงอะไรของมึง” รชตะหรี่สายตามองเพื่อนสนิทเล็กน้อย
“กูคิดว่าณิดาคงจะเข้าใจกู” เขาตอบด้วยความมั่นใจ ว่าอย่างไรนิษฐ์รัณดาก็คงไม่ขัดข้องต่อความต้องการของเขา เพราะที่ผ่านมานั้น แม้ว่าเขาจะเย็นชาใส่เธอมากแค่ไหน หล่อนก็ไม่เคยคิดโกรธ และยังเข้าใจเขามาตลอด
ขณะที่อีกฝ่ายกลับแกล้งถอนหายใจดังออกมา ก่อนจะตอกกลับ
“เข้าใจก็เหี้ยละ น้องเขารักมึงขนาดนั้น ไอ้เหี้ยแล้วมึงก็เป็นคนขอเขาแต่งงานเองด้วย มึงนี่เล่นเหี้ยอีกคนหนึ่งแล้ว ขยันเล่นความรู้สึกจริง พวกมึงนี่”
“อีกคน? มึงหมายถึงใครวะ” ถามด้วยความแปลกใจ ลืมสนิทว่าเพื่อนในกลุ่มอีกคนหนึ่งก็เพิ่งผ่านเรื่องราวมา
“ไอ้ภีมไง สันดานเดียวกับมึงเลย” ทำเสียงคล้ายกับเหนื่อยใจในเรื่องที่ได้ยิน ได้รับรู้ พลางส่ายหัวไปมา อยู่ ๆ รู้สึกปวดหัวจนอยากทานยาพาราเซตามอลสักกำมือ แต่ที่ทำได้
“แล้วมึงจะเอาไง จะไปบอกน้องเขาจริง ๆ เหรอวะ ว่าที่ผ่านมามึงไม่ได้ชอบน้องเขา” เป็นคำถามที่ทำให้อธิษฐ์ นายแพทย์หนุ่มที่ผันตัวเองมาทำธุรกิจ ถึงกับนิ่วหน้าด้วยความเคร่งเครียด พลางคิดทบทวนถึงความรู้สึกของตนเองที่มีต่อหญิงสาว ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขาแล้ว
แต่ยังไม่ทันเอ่ยตอบ หรือพูดอะไร เสียงโทรศัพท์เครื่องหรูก็แผดดังขึ้น ดึงสติชายทั้งสองให้หันมองไปยังต้นเสียงนั่นเป็นตาเดียว
“เมียมึงโทรมาเหรอวะ” รชตะแกล้งถามย้ำสถานะของหญิงสาวอีกคน ขณะที่อธิษฐ์มองชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนิ่งไปเล็กน้อย ‘ณิดา’