ตอนที่ 6 ปล่อยให้รอ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่จนเลยเวลาที่ภาพยนตร์ฉายไปพอสมควรแล้ว หญิงสาวนั่งก้นแทบไม่ติดเก้าอี้บุนวมสีแดงที่ตั้งเด่นอยู่บริเวณโซนหน้า หล่อนเดินกระสับกระส่ายไปมา คอยแต่จะชะเง้อคอมอง ไปยังทางขึ้นบันไดที่คนส่วนใหญ่จะต้องเดินขึ้นมาตรงนั้น มือบางกำรอบโทรศัพท์ไว้แน่น หล่อนรอคอยเขามานานนับชั่วโมง
“เกิดอะไรขึ้นกับพี่อธิษฐ์หรือเปล่านะ” หล่อนพึมพำกับตนเอง ในใจนั้นเกิดความรู้สึกลังเล สับสนอยู่ไม่น้อย ว่าระหว่างที่เธอจะนั่งรออยู่ที่นี่ รอ เพราะกลัวว่าจะเกิดสวนทางกัน จนทำให้คลาดกันไป หรือว่าเขาอาจจะมีเรื่องติดขัดอะไร เลวร้ายสุดที่เธอกังวล คือกลัวว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง หล่อนยืนลังเล สับสนอยู่นาน
กระทั่งผู้คนเริ่มพากันทยอยออกมาจากโรงภาพยนตร์ หญิงสาวกวาดตามองผู้คนเหล่าด้วยน้ำตาคลอ ก่อนจะปาดทิ้งด้วยความเสียใจ
เขาผิดนัดเธออีกแล้ว ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปล่อยให้เธอรออย่างไร้จุดหมาย หากเขาไม่ว่าง หรือมีธุระอันใดทำไมถึงไม่บอกเธอตรง ๆ ปล่อยให้เธอรออยู่อย่างนี้
สายตาจับจ้องมองโทรศัพท์ในมือนิ่งนาน ก่อนตัดสินใจลุกจากตรงนั้นกลับบ้านพักทันที
กระทั่งเช้าของวันใหม่ หญิงสาวลุกขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปทำงาน ทว่า ระหว่างลุกจากที่นั่งกลับรู้สึกวิงเวียนหน้ามืด จนต้องนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องอาหาร
ระหว่างนั้นอธิษฐ์ที่เพิ่งเดินลงมาจากห้องทำงานชั้นบน หล่อนปรายตามองเขาอย่างเงียบ ๆ ไม่มีคำพูดคุยหรือทักทายเขาอย่างที่เคยทำในทุกวัน ไม่มีอาหารกล่องฝีมือเธอที่เคยทำอย่างตั้งใจ
หล่อนนั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงเก้าอี้ตัวนั้นในห้องรับประทานอาหาร ก้มหน้าตักอาหารที่ตนเองรู้สึกเหม็นขึ้นคอ อยากจะอาเจียนอยู่รอมร่อ จนต้องเสหันไปหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มหวังดับอาการวิงเวียน ที่คิดว่าเกิดจากความเครียดและพักผ่อนน้อย ขณะที่เขาเองก็ไม่กล้าสู้หน้า สบตาเธอ เดินเลี่ยงเข้าไปในครัว หยิบน้ำจากในตู้เย็นรินใส่แก้ว พลางชำเลืองมองดูหญิงสาวที่ยังคงนั่งนิ่งไม่หันมาทักทายหรือพูดกับเขาอย่างทุกวันด้วยความแปลกใจ ระคนรู้สึกผิดอยู่ลึก ๆ ที่เมื่อคืนนี้เขาเลือกที่จะผิดนัดแล้วปล่อยให้เธอรอเพื่อใครอีกคน
หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่เพียงครู่เดียว ก่อนตัดสินใจลุกเดินออกจากห้องครัวไปทันที พร้อมกับหยิบกล่องอาหารในส่วนของตน โดยไม่คิดที่จะทำเผื่อ คอยคะยั้นคะยอให้เขานำไปทานที่ทำงานอย่างที่แล้วมา
หล่อนพยายามพร่ำบอกและปณิธานกับตัวเอง แม้ว่ามันจะค่อนข้างยากเหลือเกินที่เธอจะไม่ใส่เขา แต่หล่อนก็มุ่งมั่นที่จะต้องทำให้ได้ กลับมารักษาใจตัวเองนะณิดา...ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของเธอเลยสักนิด คำขอโทษหรือคำอธิบายที่เขาควรมีให้เธอ ยามเมื่อพบหน้ากันกลับเป็นเพียงความว่างเปล่าและความเงียบงันตอบกลับมาเท่านั้น
อธิษฐ์มองตามแผ่นหลังของภรรยา ที่เดินออกจากบ้านไปขึ้นรถยนต์สีขาวที่คาดว่าจะเป็นรถแท็กซี่ที่เรียกผ่านแอพพลิเคชั่นชื่อดัง โดยไม่แม้แต่ทักทายพูดคุย หรือหันมองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ อดที่จะวูบโหวงในใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นอะไรหรือเปล่าณิดา ทำไมหน้าซีดแบบนี้” เสียงทักถามอย่างห่วงใยจากเพื่อนร่วมงาน พลอยทำให้หญิงสาวที่กำลังยืนกอดแฟ้มเอกสาร ขณะรอลิฟต์ถึงกับยกขึ้นลูบหน้าตาตัวเอง ก่อนอ้อมแอ้มตอบอีกฝ่ายด้วยเสียงแผ่วเบา
“รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยน่ะค่ะพี่อุ้ย”
“ลืมทานข้าวเช้าอีกแล้วใช่ไหมแบบนี้ รีบไปหาอะไรทานรองท้องไว้ก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวเข้าประชุมแล้วจะเป็นลมเป็นแล้ง”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” หล่อนตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนที่สายตาจะเหลือบเห็นร่างสูงใหญ่ ของคนที่ทุกคนตรงนั้นรู้สึกหวั่นเกรง จนต้องพากันเลี่ยงหลบ หลีกทางให้เขาได้มีโอกาสเข้าไปในลิฟต์ที่เพิ่งเปิดกว้าง
ทว่าระหว่างที่หญิงสาวหมุนตัวเพื่อจะเดินเลี่ยงหลบไปอีกทาง วินาทีนั้นกลับรู้สึกราวกับบ้านหมุนเคว้ง ภาพตรงหน้าเลือนรางวูบวาบไปมา จนหล่อนต้องกระพริบถี่หวังขับไล่อาการดังกล่าว
พลันร่างกายกลับเบาโหวง โงนเงน ราวกับไร้พื้นดินให้ยึดหลัก ก่อนจะรู้สึกลอยละลิ่ว ตัวเบาราวสายลมพร้อมกับสติที่ดับวูบไปทันที
กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศกับอากาศที่ค่อนหนาวเย็นจนกระทบความรู้สึกตัวให้ตื่น หล่อนปรือตาขึ้นมองรอบตัวด้วยอาการสะลึมสะลือ มึนงงไปชั่วขณะ พยายามจับต้นชนปลายก่อนที่ระหว่างคิ้วจะมุ่นหากัน เมื่อพบตัวเองว่ากำลังนั่งอยู่ในรถคันหรูของใครบางคน ก่อนจะมองเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มที่กำลังนั่งก้มหน้านิ่งอ่านเอกสารจากในแท็ปเล็ตที่ถืออยู่ ข้างตัวเธอเองในรถคันหรูถึงกับนิ่งค้างไปทันที พยายามทบทวน ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า
“อืม เมื่อกี้คุณเป็นลมน่ะ” ชายหนุ่มบอกเล่าให้กับลูกน้องสาวของเขาที่กำลังทำหน้าครุ่นคิด แปลกใจว่าทำไมตนเองถึงได้มาอยู่ในรถของเขาได้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่า เมื่อหล่อนได้ยินอย่างนั้นยิ่งรู้สึกตัวลีบเกร็ง หายใจติดขัดขึ้นมาทันที เพราะปกติแล้วนั้น นอกจากเรื่องงานแล้ว เธอไม่เคยได้มีโอกาสพูดคุย ใกล้ชิดกับเจ้านายของเธอเลยสักครั้ง พอได้มานั่งอยู่ในรถของเขา หล่อนจึงรู้สึกอึดอัดราวกับหายใจไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ค่ะ ขอบคุณนะคะว่าแต่...นี่เรากำลังจะไปที่ไหนเหรอกันบอส”
“ผมจะพาคุณไปโรงบาลน่ะ”
“โรงบาล!!!?”
“เอ่อ ไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันไปเองดีกว่า ไม่อยากรบกวนบอสน่ะค่ะ” หล่อนรีบตอบปฏิเสธทันควัน ทว่าเขากลับหัวเราะเสียงต่ำดังในลำคอ ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“หึ ทำไม? อย่าบอกนะว่าคุณกลัวโรงพยาบาล” เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นรอยยิ้มอ่อนจากคนเป็นเจ้านาย หล่อนมองด้วยความแปลกประหลาดใจ ก่อนจะส่ายหน้า พลางยิ้มแห้งด้วยสีหน้าจืดเจื่อนเล็กน้อย
“แค่ไม่ชอบค่ะ” เขาหัวเราะต่ำดังในลำคอ ขณะเพ่งพินิศมองลูกน้องสาวก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
“หึ ไปเถอะ เดี๋ยวผมออกค่ารักษาให้...ทำงานล่วงเวลาให้ผมก็บ่อย ถึงเวลาที่เจ้านายอย่างผมต้องดูแลลูกน้องบ้าง จะได้ไม่มีใครว่าผมได้ ว่าผมกดขี่แรงงานลูกน้อง อีกอย่างผมก็มีธุระที่ต้องไป ที่นั่นด้วย”
ได้ยินคำบอกเล่าเหล่านั้น เธอจึงกลืนคำที่คิดจะบอกปฏิเสธเขาลงคอ แล้วเลือกที่จะนั่งเงียบมาตลอดทาง
“ยินดีด้วยนะคะคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ได้สิบสัปดาห์แล้วค่ะ” สิ้นประโยคนั้น ราวกับทุกอย่างรอบตัวหยุดเคลื่อนไหว เวลาคล้ายกับหยุดเดินไปชั่วขณะ
หล่อนไม่รับรู้อะไรรอบตัวเลยสักนิด ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจตนเอง
“เดี๋ยวหมอจะจัดยาให้นะคะ คุณแม่มีอาการแพ้อะไรบ้างไหมคะช่วงนี้” ราวกับสายน้ำที่ไหลผ่าน หญิงสาวแทบไม่รับรู้อะไรใด ๆ ทั้งสิ้นนอกจากนั่งนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น นานหลายนาที กว่าที่สติตัวเองจะกลับคืนมาพร้อมกับหัวใจเต้นแรง ริมฝีปากบางค่อย ๆ ยกยิ้มแย้มออกมาด้วยความตื้นตัน น้ำตาเอ่อล้น ก่อนจะเลื่อนมือบาง ค่อย ๆ แตะที่หน้าท้องตัวเองอย่างแผ่วเบา
หญิงสาวเดินออกมานั่งรอรับยา อยู่ที่บริเวณเก้าอี้ด้านหน้า ในใจนั้นกำลังตื่นเต้นดีใจ ที่ได้รับรู้ว่าอีกไม่นานเธอกำลังจะได้เป็นแม่...และได้สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์กับชายที่เธอรักมาตลอดหลายปี ความโกรธเคือง อารมณ์ขุ่นมัวที่มีในใจก่อนหน้า แทบมลายหายสิ้น หล่อนเฝ้ารออยากเห็นสีหน้าของสามีเธอว่าจะยิ้มและดีใจมากแค่ไหน หล่อนจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก ความอ่อนโยนของเขาที่มีต่อเด็กน้อยนั้น เป็นภาพอบอุ่นที่เธอนั้นยังประทับใจไม่รู้ลืม
แม่อยากเจอหนูเร็ว ๆ แล้ว...หนูจะเป็นเด็กหญิง หรือ เด็กชายกันนะ
ขณะที่หล่อนกำลังนึกครึ้มอยู่ในใจ สายตากลับเหลือบเห็นใครบางคนจากอีกด้านหนึ่ง ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่ก็อยู่ในระยะสายตา ที่ทำให้เธอเห็นเพียงปราดเดียวก็จำเขาได้ในทันที
หล่อนหยุดสายตาไว้ที่ชายร่างสูงโปร่งหน้าตาดี สวมเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำตัวเดียวกันกับที่เธอเห็นเมื่อเช้า เดินเคียงข้างหญิงสาวแสนสวย แปลกหน้า ทว่ากลับคุ้นในความรู้สึกตัวเองอย่างบอกไม่ถูก หล่อนปล่อยผมยาวสยายถึงกลางหลัง สวมกางเกงขายาวสีขาว กับเสื้อเชิ้ตสีดำ ใบหน้าสวยฉาบด้วยเครื่องสำอางราคาแพงกลับดูอิดโรย คล้ายคนอ่อนแรง จนต้องคอยเกาะแขนเขาให้ช่วยประคองพาเดิน
หญิงสาวหยุดสายตาไว้ที่ใบหน้าของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอด้วยหัวใจเต้นแรงเร็ว หล่อนทั้งตระหนกและตกใจในเวลาเดียวกัน
น่าแปลก ในยามที่เธอร่างกายอ่อนแอ กลับนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้ญาติมาคอยใส่ใจ
แต่กลับหญิงคนนั้น กลับมีสามีของเธอคอยประคองเดินไม่ห่าง ทำราวกับว่าโลกทั้งใบมีแค่คู่นั้น ไม่สนใจมองใครรอบด้านเลยสักนิด
มือบางกำแน่นจนปลายเล็บจิกเข้าเนื้อ เจ็บจนน้ำตาคลอขณะมองดูสามีตนเองกำลังเดินประคองเคียงข้างอยู่กับหญิงคนนั้นด้วยท่าทีเป็นห่วงเป็นใย ดูแลประคบประหงมไม่ห่าง พากันไปขึ้นรถที่จอดเทียบอยู่หน้าอาคาร กระทั่งรถคันนั้นหายลับตาไป
หัวใจหล่อนเต้นไม่เป็นส่ำ พร้อมกับความรู้สึกที่วิ่งถาโถมเข้ามาด้วยความสับสน ลังเลใจอยู่นาน กระทั่งตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเขา หล่อนอยากรู้ อยากฟังว่าเขาจะกลับเธอมาอย่างไร
พลางคิดในแง่ดีว่าสิ่งที่เห็นนั้นอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด...และความบังเอิญเท่านั้น เธอควรที่จะถามเขาให้แน่ชัด ชัดเจน เสียก่อน มากกว่าคิดไปเองแบบนี้
หล่อนพยายามพร่ำบอกตนเอง เพราะเชื่อว่าอย่างไร เขาก็ไม่มีทางนอกใจเธอ ผู้ชายอย่างเขามั่นคง และยึดหลักในความถูกต้องมาโดยตลอด
ทว่า ชั่ววินาทีนั้นที่สายโทรศัพท์ของถูกตัดทิ้ง พร้อมกับความรู้สึกเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลัง เจ็บแปลบที่หน้าอกสาย จนน้ำตาเอ่อคลอ
ปลายนิ้วเรียวชะงักมือที่กำลังจะพิมพ์ข้อความบางอย่างส่งไปให้เขา กำรอบโทรศัพท์ไว้แน่นด้วยมืออันสั่นเทา
หล่อนกะพริบตาถี่ไล่หยาดน้ำที่มาเอ่อคลอจนบดบังการมองเห็น ก่อนจะพรูลมหายใจระบายความอัดอั้น มวนท้องให้เบาบางลง เมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่อเธอซ้ำ ให้ไปรับยาและชำระเงินแล้วลุกเดินไปรับยาและชำระเงินที่เคาน์เตอร์ตามช่องหมายเลขที่ระบุไว้
พลางคิดทบทวนกับตนเองอย่างหนัก หล่อนพยายามตั้งสติ พร้อมกับก้มลงมองท้องแบนราบของตนเองที่กำลังมีหัวใจอีกดวงกำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยหัวใจที่หนักหน่วง พลางคิดปลอบโยนหัวใจตัวเอง
ลูกของเธอนั้นเกิดจากความรัก...เกิดจากพ่อและแม่ ที่กำลังจะสร้างครอบครัวด้วยกัน
หนูให้กำลังใจแม่ด้วยนะลูก...