ตอนที่ 10 เห็นก่อนก็ต้องได้ก่อน
ห้างสรรพสินค้าชื่อดังอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านมากนักอธิษฐ์จับจูงมือภรรยาพาเดินดูข้าวของในห้าง ไม่บ่อยเลยที่เขาจะว่างแล้ว ยอมสละงาน หรือเวลาส่วนตัวที่เขาหวงแหนมาตลอด ยอมพาเธอมาเดินเล่นเลือกซื้อของ
ความหม่นหมอง คลางแคลงใจในก่อนหน้า ค่อย ๆ มลายหายไปจากใจ หล่อนมองมือหนาของเขา ที่กำลังจับจูงมือเธอเดินด้วยความรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
นิษฐ์รัณดาอดรู้สึกแปลกใจ สงสัยต่อท่าทีของเขาอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธความอบอุ่นที่เธอเคยโหยหามานานนั้นได้ บ่อยครั้งที่เธอต้องคอยปลอบตัวเองว่าเขาเป็นคนไม่หวาน ไม่เคยโรแมนติก ไม่มีเซอร์ไพรส์ วันเกิดสำหรับเขาก็คือวันธรรมดาวันหนึ่ง
ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างมีความสุข เป็นสิ่งที่เธอนั้นรอคอยมาตลอดหลายปีที่ได้คบหากับเขา
หรือนี่จะเป็นเพราะ....ลูกน้อย ที่ทำให้เขาเห็นคุณค่าเธอแล้วใช่หรือไม่
เพียงแต่คิดว่า เมื่อเขารู้ว่ากำลังมีหัวใจดวงน้อย ๆ อยู่ในท้องของเธอ เขาคงจะเปลี่ยนใจไม่คิดหย่าร้างกับเธอแล้ว และคงตัดขาดกับคนหญิงคนนั้นเพื่อเธอและลูก
คิดถึงตรงนี้หล่อนถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น กลั้นรอยยิ้มแห่งความสุขนั้นไว้ไม่ให้ล้นทะลักออกมาจนเกินไป ขณะที่เขานั้นก็หันมายิ้มอ่อนให้เธอ พาเลือกซื้อของกระทั่ง พาไปทานในร้านอาหารที่เธอชื่นชอบ เป็นความเอาใจใส่ที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อนเลยสักครั้ง
“ก่อนกลับอยากซื้ออะไรอีกไหม”
“อืม...ณิขอแวะเดินดูในซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนได้ไหมคะ”
“อืมได้สิ งั้นพี่ขอแวะเข้าร้านหนังสือตรงนั้นก่อนแล้วกันนะ”
“ได้ค่ะ” หล่อนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเบี่ยงเท้าเดินตรงไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่อีกด้าน
ร่างเพรียวบางเข็นรถเข็นเดินสำรวจบรรดาอาหารทะเลสดที่วางเรียงรายอยู่บนกระบะน้ำแข็งอย่างสวยงาม ก่อนจะเลื่อน สายตากวาดมองไปยังอาหารแพ็คแช่เย็นที่วางเรียงรายอยู่ไม่ไกลด้วยความสนใจ ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับปลาสีส้มลายสวย ที่ถูกหั่นวางเรียงอย่างสวยงามในแพ็คถาดทรงกลมขนาดใหญ่ที่มีอยู่เพียงชิ้นเดียว
หล่อนคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“แซลมอนซาซิมิพี่กลางไม่ได้ทานนานแล้ว น่าจะชอบ” หล่อนบอกกับตนเองอย่างครึ้มใจ ก่อนจะเอื้อมมือเพื่อจะหยิบถาดแพ็คนั้น
ทว่า ชั่ววินาทีนั้นที่มือผอมบางของใครบางคนกลับสัมผัสหยิบจับของชิ้นเดียวกันกับเธอ ราวกับว่าจงใจ จนหล่อนถึงกับผงะหันไปมองใบหน้าขาวสวย เจ้าของนัยน์ตากลมโตภายใต้ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเป็นแพ หล่อนมีกลิ่นตัวที่หอมมากเป็นพิเศษ กับรอยยิ้มแสนหวาน ยามเมื่อสบตาเธอด้วยอาการตกใจเช่นเดียวกัน
“อุ้ย...ขอโทษค่ะ พอดีฉันจะหยิบชิ้นนี้เหมือนกัน”
“ไม่เป็นอะไรค่ะ” ตอบรับเสียงแผ่วเบา สีหน้ายังไม่คลายอาการตื่นตะลึง เมื่อได้เห็นหญิงสาวคุ้นตา ที่พอมองเห็นเพียงแวบแรกหัวใจหล่อนถึงกับกระตุกวูบลงแทบปลายเท้า
“งั้นฉันขอได้ไหมคะ ถาดนี้” หล่อนเอียงคอถามเสียงหวาน ขณะที่เธอมองคนตรงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าขอเธอตรง ๆ เช่นนี้ มือบางกำยึดถาดนั้นไว้แน่น
เธอเป็นคนเห็นและหยิบมันก่อน หล่อนคิดเช่นนั้น
ขณะที่อีกฝ่ายมองสังเกตเห็นท่าทีดังกล่าว จึงแค่นหัวเราะร่วน ราวกับเป็นเรื่องขบขัน
“ฉันล้อเล่นน่ะค่ะ คุณเห็นก่อน ก็ต้องได้ก่อนสิถึงจะถูก” ประโยคถ้อยคำคล้ายกับมีความนัยแฝงอยู่ ส่งผ่านทางสายตา ขณะที่นิษฐ์รัณดาสบตาเธอแล้วนิ่งไปเล็กน้อย
“ขอบคุณค่ะ” ก่อนจะยกยิ้มมุมปากบาง ๆ แล้วดึงถาดนั้นไว้กับตัว ก่อนจะวางถาดปลาแซลมอลนั่นใส่ลงในรถเข็นของตนเอง
เข็นรถเบี่ยงเท้าเดินไปอีกทางทันที ด้วยหัวใจเต้นแรง เพราะยังรู้สึกประหม่า กับหญิงสาวที่เธอระลึกได้แล้วในภายหลังว่าเธอคนนั้นเป็นใคร
ผู้หญิงคนนั้น คนเดียวกับคนที่เดินข้างสามีเธอเมื่อวันก่อน
คิดถึงตรงนี้ มือบางถึงกับกำรอบแฮนด์จับรถเข็นแน่น ก่อนจะพาตัวเองไปยังจุดชำระเงิน
ทว่าชั่วจังหวะสายตาที่กำลังมองหาสามีเธอ กลับต้องมุ่นคิ้ว อยู่ในอาการหอบเร็ว หายใจติดขัดเมื่อสายตาเหลือบเห็นสามีเธอกำลังยืนพูดคุยอยู่กับหญิงคนนั้น
แม้จะตกใจในวินาทีแรก แต่หล่อนก็ตัดสินใจเร่งเร้าพนักงานเพื่อที่จะชำระเงินให้แล้วเสร็จ ก่อนจะเข็นรถดังกล่าวเข้าไปหาสามีเธอทันทีด้วยความร้อนใจ
“พี่กลางคะ!”
ความเงียบเข้ามาครอบครองบรรยากาศโดยรอบ พร้อมกับห้วงเวลาคล้ายกับหยุดเดิน ทุกสรรพสิ่งเหมือนจะหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ
เมื่อสายตาของเธอสบประสานกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ภายใต้กรอบแว่นเลนส์หนา ที่มองสบตาเธอด้วยความตกใจในวินาทีแรก ก่อนที่มันจะเลือนหายไปจากความรู้สึกเธอ เมื่อเขาตั้งสติขึ้นมาได้
ริมฝีปากหนายกยิ้มอ่อน เอ่ยถามเธอทันที
“ซื้อของเสร็จแล้วเหรอ”
“ค่ะ” ตอบรับเสียงเรียบ พลางเหลือบสายตามองไปยังหญิงสาวอีกคนที่กำลังยืนฉีกหวาน มองเธออยู่ก่อนแล้ว เพียงครู่เดียวหล่อนก็ทำสีหน้าคล้ายแปลกใจ ระคนตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
“เอ๊ะ...นี่คุณคนเมื่อกี้นี่คะ...พอดีเป้ยเจอเขาตอนจะซื้อ
แซลมอลซาซิมิ ตั้งใจจะซื้อมาฝากพี่น่ะค่ะ เห็นน่าทานดี แต่ช้าไปนิดเดียว คุณคนนี้เขาหยิบก่อนน่ะค่ะ ว่าแต่...” หล่อนแสร้งตีหน้าสงสัย แสร้งหันไปถามชายหนุ่ม ขณะที่เขาเองถึงกับลอบถอนหายใจ หวังระบายความอึดอัดที่มี
“เอ่อ...นี่ณิดา...”ท่าทีครุ่นคิด กอปรกับสีหน้าอึดอัด คล้ายลำบากใจที่จะบอกนั้น ทำให้เธอตัดสินใจชิงแนะนำตัวเอง
“ภรรยาพี่กลางค่ะ”
ปริติกามองด้วยความตกตะลึงอยู่ขณะ มองหญิงสาวที่เพิ่งแนะนำตนเองว่าเป็นภรรยาของอดีตคนรักเธอ แววตาฉายความแปลกประหลาดใจในวินาทีแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มฉีกหวาน แนะนำตัวอย่างเป็นกันเองกับอีกฝ่าย
“ภรรยาพี่กลางเหรอคะ ดิฉันเป้ยค่ะ...เป็น...รุ่นน้องของพี่กลาง ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” หล่อนเว้นจังหวะมองหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตามองชายคนเป็นสามีเธอ แล้วค่อยหันมาถามเธอคนนั้นด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ทว่าแววตานั้นกลับนิ่งเฉย ไม่มีความยินดีอยู่ในแววตาเธอเลยสักนิด หัวใจหล่อนกลับยิ่งรู้สึกบีบแน่นจนแทบหายใจไม่ออก แต่ก็ต้องทนยืนปั้นหน้าอยู่แบบนั้น
“มาเดินเล่นเหรอคะ”
“ค่ะ พอดีมาเดินเล่น แล้วบังเอิญเจอพี่อธิษฐ์ ก็เลยเข้ามาทัก ว่าแต่ทานอะไรกันหรือยังคะ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ กำลังกลับ” คำตอบนั้นเหมือนจะทำให้ใครบางคนรู้สึกผิดหวังอะไรบางอย่าง แสร้งโอดครวญออกมาเบา ๆ
“อ้าว...งั้นเหรอคะ เสียดายจัง เป้ยว่าจะชวนเบ๊บ อุ้ยขอโทษค่ะ พูดผิด พอดีลืมตัวน่ะค่ะ ไม่ว่ากันนะคะน้องณิดา” แสร้งพูดผิด คล้ายจงใจยั่ว ปั่นป่วนให้เธอรู้เจ็บปวด ทว่าหญิงสาวกลับซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ เพียงยิ้มบาง ๆ ปฏิเสธเสียงเรียบ
“ค่ะ ดิฉันไม่ถือ” นิษฐ์รัณดาสบตาคนเป็นสามีนิ่งไปนาน ก่อนที่เธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ หยิบของบางสิ่งจากในกระเป๋าสะพาย เป็นซองสีครีมที่ปิดผนึกไว้ด้วยครั่งสีขาวมีลวดลายสวยงามทาบทับกับตัวก้านดอกไม้แห้งขนาดเล็ก ตัวซองมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นการ์ดเชิญงานแต่งงาน
หญิงสาวหยิบยื่นให้กับคนตรงหน้า ด้วยรอยยิ้มหวาน ก่อนจะสำทับในคำที่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับชักสีหน้าใส่ด้วยความลืมตัว รอยยิ้มที่มีก่อนหน้าเลือนหายไปทันที
“เชิญด้วยนะคะ งานมีวันเสาร์หน้านี้ ไม่รู้ว่าพี่กลางได้บอกคุณเป้ยหรือยัง”