ตอนที่ 25 เขาไม่มา

1560 Words
ตอนที่ 25 เขาไม่มา แสงสีขาวนวลจากหลอดไฟเพดานห้องสาดส่องลงมาบนใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากแห้งผากขยับเล็กน้อย ก่อนที่เปลือกตาหนักอึ้งจะค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมองภาพตรงหน้าที่ดูพร่ามัวในวินาทีแรกที่เขารู้สึกตัว กลิ่นยา กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ และเสียงเครื่องวัดชีพจรที่ดังเป็นจังหวะ เสมือนเครื่องยืนยันว่าเขายังคงมีลมหายใจ แต่ร่างกายนี่สิ กลับไร้เรี่ยวแรง ไร้ความรู้สึก “ฟื้นแล้วเหรอ...” เสียงใครสักคนดังแผ่วข้างเตียง แต่ไม่ใช่เสียงที่เขาเฝ้าฝันถึงอยากได้ยินเป็นคนแรก เมื่อเขาได้ลืมตาตื่น อธิษฐ์ค่อย ๆ หันหน้าไปมองอย่าง ช้า ๆ ตามเสียง ทว่าทุกการเคลื่อนไหวนั่นเหมือนร่างกายของเขาราวกับจะฉีกขาด แต่ไม่มีสิ่งใดเจ็บปวดเท่าช่วงอกข้างซ้ายที่ว่างเปล่า เมื่อภาพสุดท้ายในหัวที่เขาจำความได้นั้นคือ เสียงร้องไห้และคำต่อว่ากับภาพใบหน้าของเธอ ที่ทั้งเย็นชา ห่างเหิน และคำพูดเหล่านั้น...พร้อมกับคำประชดประชันที่เขานั้นได้ตอบกลับไป เพียงเพราะความโกรธที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นของเธอแค่นั้น “อืม...” “เล่นเอาวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยนะพี่กลาง พี่รู้ไหมว่าพี่หลับไปตั้งสามวันสามคืน แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” “ณิดาล่ะ” อรรณ์ญาริญได้ยินพี่ชายถามหาเพื่อนสนิทตัวเองก็ถึงกับกรอกตาบนใส่ ว่าด้วยความหมั่นไส้ “ฮึ คำแรกก็ถามหาเมียเลยนะ ไม่สิ เมียเก่า” เมียเก่า คำนี้ทำให้คนป่วยหนักถึงกับมุ่นคิ้ว รู้สึกบาดหู แสลงในความรู้สึกอย่างบอกไม่ถูก ย้อนกลับเสียงเข้ม “ณิดาไม่ใช่เมียเก่า!” อรรณ์ญาริญวางมือบนสะโพก มองพี่ชายด้วยสีหน้าเหนื่อยใจปนหงุดหงิด แม้จะโล่งอกที่อย่างน้อยเขาก็ฟื้นคืนกลับมา สติยังคงครบถ้วน แต่ก็อดหมั่นไส้ไม่ได้จริง ๆ “แน่ล่ะ ก็พี่เล่นป่วยเป็นผักแบบนี้ ถามจริง ๆ เถอะ นี่เป็นแผนพี่หรือเปล่าเนี่ย ไม่ยอมไปหย่า เลยแกล้งตายก่อนงี้” แกล้งเหน็บใส่ พลางส่งสายตาค้อนให้คนเป็นพี่อย่างไม่ปิดบัง คิดถึงความใจร้ายของพี่ชายเธอขึ้นมาทีไร ก็อยากทุบแรง ๆ ให้หายเคือง แต่พอเห็นสภาพที่ถูกด้วยผ้าพันแผลไปทั้งตัว ก็อดที่จะเวทนาไม่ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจหนัก หมดแรงที่จะโต้เถียง ขณะที่คนเป็นน้องยังไม่วายเหน็บแหนมต่อด้วยความหมั่นไส้ “ไม่อยากเซ็นใบหย่า ก็ไม่เห็นต้องแกล้งตายขนาดนั้นก็ได้มั้งพี่...เล่นใหญ่ไปหน่อยนะ” ได้ยินประโยคแสร้งเย้าของอรรณ์ญาริญ อธิษฐ์ถึงกับหลุบตาลง ดวงตาสีเข้มหม่นแสงลง กับบางสิ่งในใจที่เหมือนถูกกระแทกเบา ๆ เมื่อได้ยินคำว่า “หย่า” หลุดออกมาจากปากของน้องสาวทุกครั้ง “แล้วณิดาล่ะ” เขากระซิบถามเสียงแหบแผ่ว “ไม่รู้สิ” “เขากลับไปแล้วเหรอ” กลั้นใจถามด้วยเสียงแหบพร่า เพราะยังหวังว่าเธอนั้นอาจจะมานั่งเฝ้า ในช่วงที่เขาหลับไปหลายวัน ทว่า คำตอบที่ได้รับกลับมานั้น “ฮึฮึ เขาคงมาหรอกพี่กลาง” “ณิดาคงเกลียดพี่มากเลยใช่ไหม” แม้จะอ่อนแรง แต่ก็ยังประชดประชัน เมื่อนึกถึงภรรยาสาวของตนเอง ที่ไม่ยอมมาเยี่ยมเขาทั้งที่ เจ็บหนักถึงเพียงนี้ “แล้วพี่ไม่ถามหาผู้หญิงอีกคนเหรอ” “ใคร”คิ้วหนาขมวดมุ่นเล็กน้อย “แฟนพี่ไง ยัยเป้ยน่ะ” “หยุดพูดเหลวไหล ได้ละ” ตอกกลับด้วยเสียงเข้มดุ คิ้วหนาขมวดมุ่น หงุดหงิดรำคาญใจ เมื่อยินน้องสาวพูดจาแดกดันเขาในเรื่องนั้น “ชิ ทำมาว่าน้องพูดเหลวไหล ตัวเองน่ะจะโดนเมียทิ้งอยู่แล้วยังไม่รู้ตัว” “พูดเรื่องอะไร” “ก็ณิดามันรอพี่ฟื้นไปหย่าอยู่นี่ไง” “พี่ไม่หย่า!! อ๊ะ” ปฏิเสธเสียงเข้มด้วยความโกรธ ฉุนที่อีกฝ่ายพูดคำแสลงต่อความรู้สึกของเขา ย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด เสียดแปลบที่บริเวณช่วงท้อง จนน้องสาวที่คิดจะหาคำแรง ๆ มาต่อว่าพี่ชายตนเองด้วยความหมั่นไส้ ถึงกับยกธงขาว ยอมแพ้เพราะเห็นสีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดของพี่ชายตนเองแล้วก็อดสงสารไม่ได้ “โอเค ๆ ไม่พูดละ นอนพักเถอะ จะได้หายไว ๆ” “แล้วณิดา มาหรือยัง” เขายังคงถามซ้ำเพราะจิตใจยังวนเวียนอยากได้ยินคำตอบที่ทำให้เขารู้สึกชื่นใจขึ้นมาบ้าง ทว่าอรรณ์ญาริญกลับถอนใจดังตอบปฏิเสธทันที “เขาไม่มาหรอก” “อืม....เขาโกรธเกลียดพี่” “ก็สมควรนะ พี่ทำเขาขนาดนั้น” หล่อนกล่าวซ้ำ เพราะในใจลึก ๆ แล้วก็ยังขุ่นเคืองพี่ชายคนรองคนนี้ของเธออยู่ไม่น้อย “พี่ไม่ได้...” “พี่กลาง... อัญน่ะไม่อยากว่าพี่หรอกนะ...เพราะพี่น่ะพี่ชายอัญ แต่ณิดาก็เพื่อนสนิทอัญเหมือนกัน ในเมื่อที่ผ่านมาพี่ไม่เคยรักมันเลย พี่ก็ปล่อยมันไปเถอะให้มันได้ตัดใจ ส่วนพี่ก็จะได้ไปอยู่กับคนที่พี่รัก ไม่ต้องฝืนใจกันอีกไง” ได้ยินถ้อยคำบาดหูเหล่านั้น เขายิ่งรู้สึกเจ็บปวด ส่ายหน้าปฏิเสธความคิดเหล่านั้นทันที “ไม่! เธอไม่เข้าใจพี่” “ใช่ อัญไม่เข้าใจ!” หล่อนเว้นจังหวะพูดเล็กน้อย เพื่อมองหน้าอีกฝ่าย “อัญไม่เข้าใจว่าพี่จะมานั่งคร่ำครวญหาเพื่อนอัญอีกทำไม ทั้งทอดทิ้ง ไม่ใส่ใจ ไม่เคยดูแล พอวันที่มันจะปล่อยมือพี่จริง ๆ พี่ดันเป็นบ้าอะไรพี่กลาง” “พอเถอะ แกจะไปไหนก็ไป พี่จะนอน” คนป่วยตัดบทด้วยความรำคาญใจ สมองเขาในตอนนี้ยังไม่อยากรับรู้ความจริง หรือคำต่อว่าอะไรอีกทั้งนั้น ทำท่าจะพลิกตัวหนี แต่ก็เหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยเรียกคนที่กำลังเก็บของจะลุกออกไป ให้หันกลับมา “เดี๋ยวอัญ” คิ้วสวยเลิกสูงเล็ก มองหน้าพี่ชายตนเองที่มีผ้าสีขาวพันเกือบรอบตัว “เอาโทรศัพท์เธอมาให้พี่หน่อย” “พี่จะเอาไปทำไม” ย้อนถามเสียงขุ่น นัยน์ตาหรี่เล็กลงมองอย่างไม่ไว้ใจ ในขณะที่อีกฝ่ายกลับชักสีหน้า พร้อมกับยื่นมือที่มีผ้าพันแผลไว้ “เถอะน่า เอามาเถอะ” หล่อนยังยืนนิ่ง ลังเลช่างใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา รู้สึกหงุดหงิดตัวเอง สุดท้ายเธอก็ทนใจแข็งกับพี่ชายตนเองไม่ได้ ยอมหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองที่เก็บไว้ในกระเป๋ายื่นให้อีกฝ่าย แต่ไม่วายบ่นทิ้งท้ายด้วยความหมั่นไส้ “เห็นว่าเจ็บใกล้ตายหรอกนะ ถึงได้ช่วยน่ะ” “อืม ออกไปก่อนป่ะ พี่จะคุยโทรศัพท์” ชายหนุ่มเอ่ยไล่ น้องสาวที่พอได้ยินถึงกับบ่นกระปอดประแปดต่อว่าอีกฝ่ายด้วยความหงุดหงิด แกมหมั่นไส้ แต่ก็ยอมเดินออกไปนั่งรอด้านนอกซึ่งเป็นห้องสำหรับแขกที่จัดไว้ให้นั่งเฝ้าแต่โดยดี “ว่าไงอัญ...” ทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย เสียงของเธอก็ดังขึ้น นุ่มนวล แผ่วเบา แต่ชัดเจนจนเขาต้องกลั้นลมหายใจไว้ชั่ววินาทีเขาหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว เสียงนั้น... เสียงที่เขาเคยชิน เคยได้ยินทุกเช้าเย็น แต่กลับกลายเป็นของหายาก และสิ่งที่เขารู้สึกโหยหามากที่สุดในยามนี้ สุ้มเสียงหวานที่เอ่ยตอบกลับหลังจากรับสาย เพราะเข้าใจว่าเป็นเพื่อนสนิทของตนเองโทรมา ทว่าหล่อนกลับมุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่ออีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบไม่พูดอะไรตอบกลับ นอกจากได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาของอีกฝ่ายเท่านั้น ในขณะที่คนป่วยซึ่งกำลังนอนซม ด้วยพิษบาดแผลที่มีอยู่ทั่วร่าง กลับหัวใจเต้นรัวเร็ว ด้วยความตื่นเต้น ปนประหม่า เป็นความรู้สึกแรกที่เขาไม่ได้รู้สึกมานาน กอปรกับความรู้สึกส่วนลึกที่โหยหา อยากได้ยินเสียง เป็นความรู้สึกที่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงรู้สึกดีเช่นนี้เมื่อได้ยินเสียงเธอ ทว่าในความเงียบที่ตามมานั้น หัวใจเขากลับเต้นช้าลงราวกับจะตั้งใจฟังทุกถ้อยคำจากเธอให้ชัดที่สุด แม้จะมีเพียงไม่กี่คำ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนได้ยินทั้งอดีตและความทรงจำปะปนกัน น้ำเสียงของเธอยังเหมือนเดิม ยังเป็นเสียงของผู้หญิงที่เขาเคยละเลย...แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเสียงเดียวที่เขาคิดถึงจนแทบจะทนไม่ไหว เขากระพริบตาถี่ ฝืนกลั้นบางอย่างที่จุกอยู่ในอก ไม่คิดเลยว่าแค่ได้ยินเสียงเธอ ก็สามารถซัดเขาให้จมไปกับความคิดถึง ความผิด และความซาบซึ้งได้ถึงขนาดนี้ ในขณะที่นิษฐ์รัณดากลับเริ่มรับรู้ถึงความเงียบผิดปกติของปลายสาย หล่อนจึงแสร้งตอบกลับไป หวังว่าลางสังหรณ์ของตนเองนั้นจะผิดพลาด ‘ถ้าแกไม่พูด งั้นฉันวางสายก่อนนะอัญ’ “เดี๋ยวสิณิดา!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD