“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงทักจากด้านหลังซึ่งเป็นฝั่งหน้าบ้านแฟรี่ดังขัดจังหวะปะทะของฉันกับนับกาลขึ้น ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกสติที่ขาดผึงไปให้กลับมา ก่อนร่างสูงเจ้าของเสียงนั้นจะเดินเข้ามาหยุดยืนด้านข้างกัน “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าหยาด?”
“เปล่า ไม่มีอะไร” ฉันละสายตาจากนับกาลไปตอบคำถามเพลิงศูรย์ เขาไม่ได้มองมาที่ฉัน แต่สายตาคมกริบแสนเยือกเย็นนั่นกำลังมองไปทางนับกาล
“อืม งั้นเข้าบ้านกันเถอะ” เพลิงศูรย์คว้ามือฉันไปจับแล้วดึงให้เดินไปทางเข้าบ้าน หากทว่าเดินยังไม่ถึงสามก้าวก็มีเสียงหยัน ๆ ไล่ตามหลังมา
“สันดานมึงยังแย่เหมือนเดิมเลยนะไอ้เพลิงศูรย์”
“…”
“ไม่คิดจะทักทายเพื่อนเก่าหน่อยหรือไง”
เพลิงศูรย์ชะงักอยู่กับที่พร้อมฉันด้วย ฉันเหลือบมองใบหน้าเรียบนิ่งของผู้ชายข้างกายเล็กน้อย ฉันเห็นนะว่าแววตาที่เขาใช้มองนับกาลมันแปลก ๆ น่ะ สองคนนี้ต้องมีซัมติงอะไรกันสักอย่างแน่ ๆ
“ไม่จำเป็น กูไม่เคยมีเพื่อนหน้าตาแบบมึง” เพลิงศูรย์ตอบโดยที่ยังหันหลังอยู่ ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงพูดจาหยาบ ๆ กับนับกาลได้ทั้งที่เป็นรุ่นน้องหมอนั่นหนึ่งปี นั่นเป็นเพราะว่าตามจริงแล้วอายุของเพลิงศูรย์ก็เท่า ๆ กับนับกาลนั่นแหละ แต่เพราะติดปัญหาบางอย่างตอนสมัยมัธยมทำให้เขาต้องดรอปเรียนไปหนึ่งปี ทำให้เขาเรียนช้าไปหนึ่งปีนั่นเอง ไม่อย่างนั้นปีนี้เขาคงเรียนอยู่ปีสี่เหมือนนับกาลนั่นแหละ
“แล้วถ้าหน้าตาแบบน้องสาวกูล่ะ มึงพอจะคุ้นเคยบ้างไหม?”
ฉันไม่เข้าใจว่าสองคนนี้กำลังคุยเรื่องอะไรกัน น้องสาวของนับกาลคือใคร? แล้วเกี่ยวอะไรกับเพลิงศูรย์ด้วย? ฉันได้แต่ยืนมองหน้าสองคนนั้นสลับกันไปมา นับกาลแสยะยิ้มร้ายมุมปากขณะที่เพลิงศูรย์นิ่งเงียบไปแล้ว
“มึงคงรู้แล้วสินะว่ายัยนั่นกลับมาแล้ว และมึงก็ควรจะรู้นะว่าต้องทำตัวยังไง”
“…”
“เพื่อชดใช้ในสิ่งที่มึงเคยทำไว้กับเธอ”
คำพูดแปลก ๆ ของนับกาลค่อนข้างมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเพลิงศูรย์มากเลยทีเดียว ฉันเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไป แววตาเย็นชาคู่นั้นสั่นไหวแปลก ๆ มือหนาที่กุมมือฉันบีบแน่นจนรู้สึกเจ็บ เพลิงศูรย์กำลังสูญเสียความเป็นตัวเองเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของนับกาล
นี่มันเรื่องอะไรกันนะ… อะไรกันที่ทำให้ผู้ชายอย่างเพลิงศูรย์สูญเสียการควบคุมได้ขนาดนี้ เขาเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง แม้ในเรื่องหนัก ๆ เขาก็สามารถคอนโทรลมันได้ตลอด หากทว่าครั้งนี้ฉันกลับมองเห็นความอ่อนแอของเขาชัดมาก
เพลิงศูรย์เป็นอะไรไปนะ…
.
.
.
“นายรู้จักกับหมอนั่นด้วยเหรอเพลิง” ฉันถามเมื่อเราสองคนเดินเข้ามาภายในห้องนั่งเล่นรวมเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ทุกคนในบ้านคงจะเข้านอนกันหมดแล้วล่ะ บรรยากาศในห้องนั่งเล่นถึงได้เงียบสงบเหลือเพียงฉันกับเขาแค่สองคนแบบนี้
“แล้วเธอล่ะ รู้จักมันด้วยหรือไง” เขาตอบคำถามฉันด้วยคำถาม
“ก็ไม่เชิงรู้จัก และไม่ได้อยากรู้จักด้วย” ฉันทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา สองขายกขึ้นไขว่ห้าง สองแขนยกขึ้นกอดอก สองตาจับจ้องร่างสูงตรงหน้าอย่างจับผิด “อย่ามาเบี่ยงประเด็นนะเพลิง ฉันถามนายอยู่ว่านายรู้จักไอ้บ้านับกาลนั่นด้วยเหรอ”
“เคยรู้จัก” เขาตอบแบบขอไปที
“เคย? หมายความว่าไง?” ฉันเซ้าซี้ถามต่อ เพลิงศูรย์ใช้สายตาเย็น ๆ มองฉัน ถ้าเป็นคนอื่นคงกลัวหงอไปแล้ว แต่ขอโทษเถอะ มันใช้ไม่ได้ผลกับฉันหรอกนะ เพราะฉันไม่กลัวจ้ะ
“ไม่มีอะไรหรอก เธอกลับห้องไปได้แล้ว”
“นี่อย่ามาไล่ฉันนะ คิดจะปิดบังกันใช่มะ?” ฉันเม้มปากนิด ๆ อย่างไม่พอใจ เพลิงศูรย์กับนับกาลกำลังทำต่อมเผือกฉันสั่นมาก! และฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าสองคนนี้รู้จักกันได้ยังไง และอะไรคือสิ่งที่ทำให้คนเย็นชาอย่างเพลิงศูรย์อ่อนไหวได้ขนาดนี้
“ไม่ได้ปิดบังอะไรทั้งนั้น มันไม่มีอะไรจริง ๆ”
“เหรอ งั้นฉันคงต้องเริ่มสืบจากน้องสาวของหมอนั่นก่อนคนแรก” ฉันแกล้งหย่อนหินถามทาง และมันได้ผล… เพลิงศูรย์หันขวับมาจ้องหน้าฉันทันที
หึ ดูออกง่ายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
“อย่าไปยุ่งกับเธอ”
“ใคร?” ฉันเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าใสซื่อสุด ๆ เพลิงศูรย์เม้มปากนิด ๆ สองคิ้วขมวดหน่อย ๆ สีหน้าเคร่งเครียดทันตา
“ก็แค่เพื่อนสมัยเด็ก ฉันกับไอ้เวรนั่นเคยเป็นเพื่อนรักกันสมัยเด็ก ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่จำเป็นต้องสืบ”
ในที่สุดเพลิงศูรย์ก็ยอมตอบคำถามฉัน นี่เขากลัวว่าฉันจะไปยุ่งวุ่นวายกับผู้หญิงคนนั้นมากเลยหรือไงนะ ทำไมต้องปกป้องเธอขนาดนี้ด้วย ยัยนั่นสำคัญกับเขามากเลยเหรอ สำคัญมากกว่าฉันหรือไง
อยู่ ๆ ร่างกายฉันก็ร้อนวาบไปทั่วทั้งตัว หัวใจเต้นรัวบ้าคลั่ง มันร้อนรุ่มไปหมด ฉันรู้ว่าอาการเหล่านี้มันคืออะไร ฉันมักจะเป็นแบบนี้เสมอเมื่อมีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะไร้ความสำคัญ โรคขี้อิจฉาที่รักษาไม่หายของฉันมันกำเริบอีกแล้วน่ะสิ
หึ สำคัญมากงั้นเหรอ ยัยนั่นน่ะ… น่าสนุกดีนี่… ชักอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นซะแล้วสิ!