[แกจะไปเยี่ยมแม่แกเมื่อไหร่นังหยาด] คำถามเดิม ๆ จากปลายสายเรียกเสียงถอนหายใจจากฉัน [ถ้าจะไปก็โทรมาบอกฉันก่อนล่ะ]
“…”
[แล้วเรื่องพ่อแกด้วย มันยังส่งเงินให้แกอยู่หรือเปล่า ถ้ามันไม่ส่งแกต้องรีบบอกฉันเลยนะ เดี๋ยวฉันจะไปอาละวาดพวกมันเอง คนชั้นสูงอย่างพวกมันหนังหน้าบางจะตาย โดยเฉพาะนัง…]
“ป้าจะโทรมาแค่นี้ใช่ไหมฉันจะได้วาง ฉันต้องรีบไปเรียนนะ” ฉันพูดแทรกป้านารา พี่สาวของแม่หรือก็คือป้าแท้ ๆ ของตัวเองอย่างตัดความรำคาญ ทุกครั้งที่ท่านโทรมาหาก็มักจะพูดย้ำแต่เรื่องเดิม ๆ วนไปวนมาจนฉันจำได้ขึ้นใจหมดแล้ว ไม่รู้จะพูดทำไมนักหนาตั้งเป็นสิบ ๆ ปี
[เออ ๆ ฉันโทรมายังไม่ถึงสองนาทีก็รีบวางเลยนะ แกนี่มันเนรคุณจริง ๆ นังหยาด]
“อย่ามาพูดแบบนี้นะป้า! ที่ฉันยังส่งเสียเงินให้ป้าอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เพราะกำลังตอบแทนบุญคุณอยู่เหรอ” ฉันขึ้นเสียงนิด ๆ เพื่อปรามให้ป้านารารู้ว่าท่านกำลังจะล้ำเส้นเกินไป
[เหอะ! เงินที่แกส่งให้ฉันมันก็แค่เศษเงินจากที่พ่อชั่ว ๆ ของแกส่งให้ ถ้าไม่ได้ฉันไปจัดการให้แกกับแม่ของแกคงไม่มีทางได้เงินจากพวกมันแม้แต่บาทเดียวหรอก! ระลึกถึงบุญคุณฉันไว้เถอะนังหยาด และอย่าให้ฉันต้องโทรมาพูดซ้ำอีก]
สายถูกตัดไปพร้อมกับอารมณ์ปะทุเดือดของฉัน สิ่งที่ป้านาราพูดมันไม่ได้ผิดไปสักนิดเลย เพราะได้ป้านาราช่วยเหลือฉันกับแม่เอาไว้เมื่อสิบห้าปีก่อน แถมท่านยังไปจัดการเรื่องค่าส่งเสียเลี้ยงดูของฉันกับผู้ชายคนนั้นให้ ฉันกับแม่ถึงได้มาไกลขนาดนี้
แต่… นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันเรียกร้องเลย! ฉันไม่เคยต้องการความช่วยเหลือไม่ว่าจากใคร! ฉันแค่ต้องการมีครอบครัวที่สมบูรณ์และชีวิตที่สงบสุขซึ่งมันไม่มีทางเป็นจริง!
เพราะฉันมันก็เป็นได้แค่… ลูกเมียน้อย!
.
.
.
โรงพยาบาลจิตเวช
‘นภา ยุวเกศ’
ฉันอ่านป้ายชื่อหน้าประตูห้องก่อนจะมองผ่านกระจกใสของช่องบานประตูเข้าไปพบกับร่างผอมบางในชุดผู้ป่วยสีฟ้าอ่อนซึ่งกำลังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
‘คนไข้ยังอาการคงที่นะคะ ไม่ได้อาละวาดโวยวายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ยังพูดถึงเรื่องเดิม ๆ และเรียกชื่อคนเดิม ๆ อยู่ค่ะ ถ้าคุณเข้าไปหาเธอก็ลองพูดคุยกับเธอช้า ๆ ดูนะคะ’
แกร๊ก…
ฉันค่อย ๆ ก้าวเข้ามาในห้องช้า ๆ สองตาจับจ้องผู้หญิงบนเตียงด้วยหัวใจปวดหนึบ ดวงตาเหม่อลอยละจากหน้าต่างมาทางฉัน เราสบตากันนิ่งงัน ฉันมองเห็นเพียงความว่างเปล่าในแววตาคู่นั้น
“แม่…”
เป็นคำเดียวที่หลุดออกมาจากปากของฉัน น้ำเสียงสั่นเครืออย่างห้ามไม่อยู่ ความร้อนผ่าวแล่นวาบทั่วขอบตา เหมือนเช่นทุกครั้งที่ฉันมาที่นี่…
“ใคร… ใครเหรอ”
ผู้หญิงที่มีใบหน้าซีดเซียวหากทว่ายังคงความสวยมองมาที่ฉัน แววตาของท่านดูหวาดระแวง และแน่นอนว่าท่านจำฉันไม่ได้
“หยาดฟ้า… ลูกสาวของแม่ไง” ฉันแนะนำตัวเหมือนทุกครั้ง สองเท้าค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ท่านมากขึ้น แม่กวาดสายตามองฉันไปทั่วทั้งตัว ท่านเผยยิ้มน้อย ๆ พลางยื่นมือออกมาหาฉัน
“ลูกเหรอ… ลูกสาวฉันเหรอ”
“ใช่… หยาดเอง ลูกสาวของแม่” ฉันคว้ามือท่านมาแนบใบหน้า ดวงตาของแม่เอ่อคลอหยาดน้ำตา ท่านดูดีใจมากที่ได้พบกับฉัน “แม่สบายดีไหม เจ็บปวดตรงไหนบ้างหรือเปล่า”
“ไม่… ไม่เจ็บ” ท่านส่ายหน้าปฏิเสธแล้วดึงมือฉันไปแนบแก้มตัวเองบ้าง สายตาเหม่อลอยราวกับคนไม่มีสติ “ลูกแม่… ไปนะ… เราไปหาพ่อกันนะ”
“…” ฉันชะงักไปกับคำพูดของแม่ ที่ผ่านมาฉันมักจะแวะมาหาท่านพร้อมกับป้านาราเสมอ ส่วนมากจะเป็นป้านาราที่ได้พูดคุยกับแม่ ท่านจึงไม่ค่อยพูดเรื่องของเขาคนนั้นขึ้นมา
“ไปหาพ่อกันนะ… ไปนะ”
“แม่… แม่พักผ่อนก่อนนะ” ฉันกลั้นน้ำตาและความเจ็บปวดหัวใจเอาไว้พร้อมกับพยุงแม่ให้นอนลงบนเตียงช้า ๆ ท่านส่ายหน้าทั้งน้ำตา สองตาจับจ้องฉันนิ่ง
“ไม่อยากนอนแล้ว… อยากออกไป”
“หยาดจะพาแม่ไป แต่แม่ต้องนอนก่อนนะ” ฉันพยายามเกลี้ยกล่อมท่านอย่างใจเย็น แต่เหมือนจะทำได้ยากเหลือเกิน
“ไม่เอา… จะไปหาเขา… คุณธร… คุณธรของนภา…”
ชื่อผู้ชายคนนั้นหลุดออกมาจากปากของแม่อีกแล้ว นับตั้งแต่แม่เริ่มป่วย ท่านมักจะพูดถึงชื่อของเขาเสมอ ชื่อของผู้ชายที่แม่ยอมถวายความรักให้กับเขาจนหมดหัวใจ และสุดท้ายก็ถูกเขาหักหลัง ถูกเขาย่ำยีความรักอย่างไม่เหลือชิ้นดี
แม่ต้องหอบความโศกเศร้าเสียใจหนีออกจากบ้านมาพร้อมกับฉันที่มีอายุเพียงหกขวบ เราสองคนระหกระเหินอย่างไร้จุดหมายจนกระทั่งได้มาพบกับป้านารา
ในตอนนั้นฉันไม่เคยรู้เลยว่าได้สูญเสียคำว่าครอบครัวไปแล้ว ความรักที่ฉันเคยได้รับจากคนที่ฉันเรียกว่าพ่อ อ้อมกอดอบอุ่นของผู้ชายคนแรกที่ฉันได้สัมผัส สิ่งเหล่านั้นมันไม่มีอีกแล้ว… ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็แค่การหลอกลวง…
ผู้ชายคนนั้นหลอกลวงฉันกับแม่มาโดยตลอด พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขามีครอบครัวอยู่แล้ว จนวันที่บ้านของเราถูกทำลายจนไม่เหลือสภาพเดิม ฉันถึงได้รู้ว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว…
และนั่นคือผลตอบแทนความรักที่แม่มีให้กับผู้ชายคนนั้น!