“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะหยาด กลับบ้านดี ๆ นะ” พี่นิสาเงยหน้าขึ้นมาทักเมื่อเห็นฉันเดินออกมาจากห้องแต่งตัว ฉันยิ้มให้เธอนิด ๆ ก่อนจะเดินออกจากงานมา
อย่างที่ทุกคนเห็นนี่แหละ ฉันรับงานพิเศษเป็น MC มีหน้าที่โปรโมทและแนะนำสินค้า หรือพูดง่าย ๆ คือยืนสวย ๆ โพสต์ท่าถ่ายรูปกับสินค้านั้น ๆ นั่นแหละฉันรู้ว่างานแนวนี้เป็นงานที่ไม่เหมาะกับบุคลิกและนิสัยฉันเลยสักนิด แต่เพราะอะไรหลาย ๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้ฉันไม่สามารถเลือกอะไรได้มากนัก ฉันต้องหาเงินเพื่อดูแลตัวเองทุกอย่าง แม้ว่าค่าเรียนจะมีคนคนนั้นคอยส่งเสียให้ก็เถอะ แต่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ฉันเป็นคนหามันเองทั้งหมด
ฉันได้รับเงินค่าเลี้ยงดูจากคนคนนั้นทุกเดือนก็จริง แต่ส่วนหนึ่งฉันต้องแบ่งส่งเสียให้กับป้านิรา และส่วนที่เหลือทั้งหมดฉันทุ่มมันไปกับการรักษาแม่ ซึ่งเงินก้อนนั้นมันมากพอแค่ให้ใช้จ่ายได้แค่สองส่วนนั้น ฉันจึงต้องหาเงินดูแลในส่วนของตัวเองแบบนี้มาตลอดเวลาสิบกว่าปี
ถามว่าเหนื่อยไหม… ก็เหนื่อยนะ แต่ก็ภูมิใจที่สามารถหาเงินด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร และไม่ต้องเบียดเบียนใครด้วย
ฉันเดินคิดอะไรเพลิน ๆ มาจนถึงหน้าอาคารซึ่งเป็นทางเดินทอดยาวไปทางขึ้นบันไดเลื่อนของรถไฟฟ้า และในขณะที่ฉันกำลังจะเดินผ่านลานจอดรถนั้นจู่ ๆ ก็ถูกร่างสูงของใครคนหนึ่งพุ่งเข้ามาดักหน้าเอาไว้ ฉันตกใจจนเผลอถอยหลังไปหลายก้าว โชคดีที่เท้าไม่พลิกตกส้นสูงไปด้วย
และพอเห็นหน้าเขาคนนั้นชัด ๆ ว่าเป็นใคร ฉันก็ตวาดเสียงถามด้วยความไม่พอใจทันที
“นับกาล… นายจะทำบ้าอะไร!”
“ตกใจขนาดนั้นเลย? คิดว่าฉันเป็นพวกผู้ชายที่คลั่งไคล้จนต้องมาดักฉุดเธอหรือไง” นับกาลยิ้มร้ายได้โคตรน่าตบ อยู่ ๆ เขาก็โผล่มาดักหน้ากันแบบนี้แล้วมันต่างจากสิ่งที่เขาพูดตรงไหนไม่ทราบ?
“แล้วที่ทำอยู่นี่เรียกว่าอะไร?”
“ก็ดักรอไง ไม่ใช่ดักฉุด” เกลียดความยอกย้อนและปลิ้นปล้อนของหมอนี่ชะมัด! โตมาในสังคมแบบไหนกันถึงได้มั่นหน้าขนาดนี้!
“มาดักทำไม! โรคจิตเหรอ?!” ฉันก้าวถอยหลังออกห่างเขาพอสมควร ผู้ชายหน้าเนื้อใจเสือแบบหมอนี่ไว้ใจไม่ได้หรอก
“เหอะ ๆ เธอหักหน้าฉันกลางงานขนาดนั้น คิดว่าฉันจะปล่อยเธอไปง่าย ๆ งั้นสิ?” นับกาลใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มท่าทางกวนประสาทมาก แววตาคมเข้มพราวระยับไม่น่าไว้ใจสุด ๆ
“แล้วนายต้องอะไร ถ้าเป็นคำขอโทษ ฉันไม่มีให้” ฉันตอบหน้าตึง
“งั้นเอาอย่างอื่นแทน”
“จะเอาอะไรของนาย!” ฉันแว้ดใส่เสียงดังเมื่อสายตาพราวระยับนั่นกวาดมองไปทั่วเรือนร่างฉันขณะพูดประโยคนั้น อยากจะเดินเข้าไปตบให้หน้าหันจริง ๆ เลยให้ตาย!
“อะไร ๆ มองแบบนั้นหมายความว่าไง คิดลึกอะไรกับฉันอยู่เหรอ” นับกาลโคตรกวนประสาทอ่ะ เขาทั้งมึน ทั้งขี้มโน ทั้งน่าโมโหในเวลาเดียวกัน อยู่ใกล้แล้วน่าหงุดหงิดสุด ๆ
“ไปลำไยไกล ๆ ได้ป่ะ ฉันจะรีบกลับบ้าน” ฉันไล่พร้อมกับเบี่ยงตัวเดินหนี แต่ถูกมือหนาถือวิสาสะคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน ฉันหันขวับมองแรงใส่เขาแทบจะทันที นับกาลจึงยอมปล่อยมือออกจากฉัน
“ตอบคำถามฉันหนึ่งข้อ แล้วฉันจะปล่อยเธอกลับบ้าน”
คำถาม? คำถามบ้าบออะไรอีกล่ะ!
“มีอะไรก็พูด ฉันรีบ!” ฉันขึ้นเสียงใส่เมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่ยืนจ้องฉันนิ่งไม่ยอมถามสักที
“เธอคบกับไอ้เพลิงศูรย์อยู่หรือเปล่า”
อะไรนะ…ฉันนิ่งไปหลายวินาทีกับคำถามแปลก ๆ ของนับกาล เมื่อกี้เขาถามว่าฉันกำลังคบกับเพลิงศูรย์อยู่หรือเปล่างั้นเหรอ… หมายความว่ายังไงกัน… แล้วไอ้คบที่ว่านี่คือคบแบบไหนล่ะ?
“ว่าไง เธอคบกับไอ้เวรนั่นอยู่หรือเปล่าวะ?” เขาถามซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงนิด ๆ ฉันหรี่ตามองสีหน้าและท่าทางของนับกาลอย่างจับผิด หมอนี่ไม่ชอบขี้หน้าเพลิงศูรย์สินะ…
“ถามทำไม นั่นมันเรื่องส่วนตัว ฉันไม่จำเป็นต้องตอบนาย” พูดจบฉันก็รีบชิ่งเดินหนีขึ้นบันไดเลื่อนของรถไฟฟ้าทันที นับกาลเดินตามหลังมาติด ๆ เหมือนจะไม่ยอมให้ฉันหนีง่าย ๆ “จะตามมาทำไม?”
“แล้วเธอหนีทำไมล่ะ ถ้าเธอไม่ตอบฉันก็จะตามเธอแบบนี้แหละ” เขาตอบอย่างหน้าด้าน ๆ ฉันค้อนใส่เขาทีหนึ่งก่อนจะหยิบบัตรรถไฟฟ้าขึ้นมาสแกนแล้วเดินผ่านช่องกั้นเข้ามา หากทว่าเดินมายังไม่ถึงสามก้าวก็ได้ยินเสียงโวยวายจากด้านหลัง “เฮ้ย! ฉันเข้าไม่ได้อ่ะ! เวรเอ๊ย! มันเข้ายังไงวะเนี่ย! หยาดฟ้า… กลับมาช่วยฉันก่อนดิ!”
อะไรของเขาเนี่ย!
ฉันหันกลับมาหาร่างสูงอีกครั้ง และพบว่านับกาลกำลังพยายามจะปีนข้ามช่องกั้นนั้นเข้ามา ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับ รปภ. เดินเข้าไปเจรจากับเขานับกาลชี้นิ้วมาทางฉันแล้วพูดอะไรบางอย่างกับ รปภ. คนนั้น และทั้งคู่ก็มองมาที่ฉันเป็นตาเดียว
อะไร… นี่อย่าบอกนะว่า… หมอนั่นขึ้นรถไฟฟ้าไม่เป็น?!!