ไอ้…
ฉันงับปากที่กำลังรัวคำถามแล้วเปลี่ยนเป็นจิกตาใส่เขาแทน นับกาลใช้สายตาคมเข้มกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าฉันพลางจะกระตุกยิ้มมุมปาก
“สภาพเธอตอนนี้โคตรสยองเลยว่ะ เหมือนเพิ่งผ่านศึกครั้งใหญ่มาสามวันสามคืน” พอเขาพูดงั้น ฉันเลยก้มมองสารรูปตัวเองบ้าง
เออ… จริงว่ะ
สภาพฉันโคตรเยินอ่ะ เสื้อผ้ายับยู่ยี่แถมแขนเสื้อยังขาดหวิ่งอีกต่างหาก ตามท่อนแขนและลำคอเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนขึ้นสีแดง ๆ ฉันค่อย ๆ ยกมือขึ้นจับผมเผ้ากระเซอะกระเซิงให้เข้าที่เข้าทาง
ถามว่าตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกอะไร… ก็เฉย ๆ นะ ชินแล้ว…
“อ่ะนี่” ผ้าขนหนูสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้า ฉันเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อแกมเจ้าเล่ห์อย่างไม่ไว้ใจ “อะไร ทำไมต้องมองด้วยสายตาแบบนั้นหะ ก็แค่เอาผ้ามาให้ไปล้างเนื้อล้างตัว”
“…”
“นู้น… ห้องน้ำ ตามสบายเลย”
“ไม่จำเป็น ฉันจะกลับแล้ว” ฉันเดินเบี่ยงตัวหลบร่างสูงเพื่อจะออกจากห้อง แต่นับกาลเดินมาดักหน้าเอาไว้ แถมยังทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่ฉันด้วย “หลบไป”
“อะไรวะ ฉันช่วยเธอไว้นะเว้ย ไม่คิดจะขอบคุณกันสักคำแถมยังจะเดินหนีไปง่าย ๆ แบบนี้เหรอวะ” นับกาลทวงบุญคุณ แล้วฉันต้องแคร์ไหม?
“ไม่ได้ขอ”
“เออ ฉันเสือกเองดิ” เขาชักสีหน้าใส่ ฉันโคตรไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
“งั้นฉันจะลงไปหาตำรวจเอง จบไหม?” ฉันตัดปัญหา รำคาญน่ะ
“ไม่จบ เพราะมันไม่มีตำรวจตั้งแต่แรกเว้ย” เขาดูหงุดหงิดกว่าเดิมอีก
“หมายความว่าไง ก็ฉันได้ยินเสียงคนตะโกนว่าตำรวจมา?”
“ฉันตะโกนเองแหละ เธอคิดว่าฉันจะโง่โทรตามตำรวจเข้ามาระงับเหตุวิวาทเผื่อให้ผับตัวเองถูกปิดหรือไงวะ”
ว่าไงนะ… ผับตัวเอง?
“ที่นี่ผับนาย?” ฉันขมวดคิ้วถาม รู้สึกแสบแผลนิด ๆ แต่พอทนไหว
“ใช่ เพิ่งรู้เหรอ? ห้องที่เธอยืนอยู่นี่มันห้องเจ้าของผับนะ ดูไม่ออกไง?” พอนับกาลพูดแบบนั้นฉันเลยหันไปมองรอบห้องอีกครั้ง
จริงสินะ ฉันถูกพาขึ้นมาชั้นสามของผับ ซึ่งมันเป็นที่ส่วนบุคคลเฉพาะเจ้าของผับเท่านั้นถึงจะขึ้นมาได้
“แล้วนายจะเอาไง จะจับตัวฉันส่งตำรวจเลยไหมล่ะ ข้อหาก่อความวุ่นวายในผับของนาย” ไม่ได้ประชดนะ แต่ถามเพราะต้องการจบประเด็นสักที
“ก็ไม่เอาไง แค่ทำตามที่สั่งก็พอ”
“อะไร?” ฉันเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนริมฝีปากหนาด้วยล่ะ สีหน้านับกาลโคตรไม่น่าไว้วางใจเลย ไม่รู้ทำไมฉันถึงดวงซวยซ้ำซ้อนขนาดนี้กันนะ! ทั้งโดนรุมตบ ทั้งโดนข่มขู่ ทั้งต้องมาเจอผู้ชายอย่างหมอนี่ช่วยเอาไว้ โคตรเฮงซวยจริง ๆ!
“ไปล้างเนื้อล้างตัวซะ แล้วค่อยมาทำแผล”
“เพื่อ?”
“สั่งก็ทำ ไม่ต้องถามได้ป่ะ”
บ้าบอสิ้นดี! คิดว่าฉันจะยอมทำตามงั้นเหรอ? ง่ายไปมั้ง!
ฉันหลุบตามองปลายเท้าอย่างใช้ความคิดเล็กน้อย พอเห็นว่านับกาลกำลังชะล่าใจฉันก็ยกสองมือขึ้นผลักเขาจนเซไปอีกทางก่อนจะรีบวิ่งมาทางประตู
หากทว่าวิ่งมาไม่กี่ก้าวก็ถูกมือหนาคว้าท่อนแขนเอาไว้ทัน เขาจับฉันพลิกตัวกลับมาแล้วดันจนแผ่นหลังแนบชิดกับบานประตู เสียงหอบหายใจของเราสองคนดังแข่งกันเบา ๆ สองตาจับจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“คิดจะหนีจากฉันยังเร็วเกินไป ยัยดาวจอมฉาว”
“เลิกเรียกฉันด้วยชื่อทุเรศนั่นสักที!!”
พลั่ก!
“s**t!! มันเจ็บนะเว้ย!!” ฉันถ่องขาใส่ส่วนล่างของนับกาลเต็มแรง ตั้งใจว่าจะอาศัยจังหวะที่เขาเจ็บปวดเพื่อหนี ทว่าเขากลับไม่ยอมปล่อยมือจากฉันง่าย ๆ แม้จะงอตัวจนหน้าดำหน้าแดงก็ตาม
“ปล่อยสิวะ! ไอ้บ้านับกาล!” ฉันเริ่มหยาบแล้วนะ โมโหมากแล้วด้วย!
“ฮึ่ย! ทำร้ายลูกรักฉันขนาดนี้เธอต้องชดใช้โว้ยยย!”
“กรี๊ดดด! จะทำบ้าอะไร! ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้เลยนะ!!” ฉันดีดดิ้นตัวเองอยู่บนไหล่ของร่างสูง นับกาลจับฉันพาดบนไหล่แล้วเดินไปทางเตียงนอนก่อนจะโยนฉันลงบนนั้นอย่างไม่ยั้งแรง ร่างฉันกระแทกกับที่นอนเต็มแรงรู้สึกจุกไปชั่วขณะ
“เล่นแรงนะยัยตัวร้าย! ฉันจะเอาคืนให้สาสมเลยคอยดู!”
นับกาลทาบทับร่างกายสูงใหญ่ลงมา สีหน้าเขาแดงก่ำไม่รู้ว่าแดงเพราะเจ็บหรือแดงเพราะโกรธกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ คือเขาเอาจริงชัวร์!
“อย่าคิดทำอะไรบ้า ๆ นะนับกาล! เราไม่รู้จักกัน! และฉันก็เกลียดขี้หน้านายด้วย! เพราะงั้นอย่ามาทำชั่ว ๆ ใส่ให้ฉันเกลียดมากไปกว่านี้ได้ยินไหม!” ฉันรัวคำพูดออกมาตามสมองคิด สองมือพยายามปัดป้องร่างสูงให้ถอยห่างจากตัว แต่ทำได้ยากเย็นมากเพราะเขาไม่ยอมถอยไปง่าย ๆ น่ะสิ!
“ฉันก็ไม่ได้พิศวาสเธอเลยสักนิด ก็แค่สงเคราะห์เพราะเห็นว่าโดนรุมตบหรอก ไม่คิดว่าเธอจะอกตัญญูขนาดนี้”
อกตัญญูงั้นเหรอ…?
“แม่ฉันสอนเอาไว้ว่าใครที่มีบุญคุณกับเรา เราก็ควรจะตอบแทน แม่เธอไม่สอนหรือไงหะ?”
ฉันชะงักไปกับคำพูดของนับกาลด้วยความรู้สึกหน้าชาราวกับโดนตบ มันจี้ใจฉันจนพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำหน้าแบบไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้ควรทำอะไรต่อไป