“เงียบทำไมล่ะ ไม่ฤทธิ์มากต่อแล้วเหรอหะ?” เขากดฝ่ามือหนาลงบนข้อมือทั้งสองข้างของฉัน เขากักกันและคุกคามกันอย่างชัดเจน นับกาลเป็นผู้ชายคนแรกที่กล้าทำเรื่องบ้า ๆ กับฉันได้ขนาดนี้
“ปล่อย” มีเพียงวลีสั้น ๆ หลุดออกจากปากฉัน ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกกลัว แต่อยากจะหลุดไปจากตรงนี้มาก
“ฉันช่วยเธอ แต่เธอทำร้ายฉัน? เธอควรจะชดใช้นะยัยดาวจอมฉาว”
“ชื่อฉันคือหยาดฟ้า… ถ้าสมองนายมันเล็กมากจนจำชื่อฉันยาก ก็ไม่จำเป็นต้องเรียก!” ปกติฉันไม่เคยใส่ใจกับชื่อเรียกบ้า ๆ พวกนี้หรอกนะ แต่ไม่รู้ทำไมพอมันออกมาจากปากของผู้ชายคนนี้ฉันกลับโกรธอย่างบอกไม่ถูก
“อ้อ ๆ หยาดฟ้า…” นับกาลยิ้มมุมปากขณะเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงยียวน หน้าตาเขาก็กวนเบื้องล่างไม่ต่างกัน
“นายต้องการอะไร! ปล่อยฉันสักที!” ฉันพยายามยื้อข้อมือทั้งสองข้างแต่มันไร้ผลสิ้นดี นับกาลแรงเยอะเกินไป ฉันสู้อะไรเขาไม่ได้เลย!
“เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ต้องให้บอกเหรอ” ฉันเงียบเพราะเดาไม่ออกว่าเขาต้องการอะไร “เธอทำร้ายฉัน และฉันช่วยเธอเอาไว้?”
ฉันจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมเข้ม แววตานั้นกำลังต้องการบางอย่างจากฉัน คำบางคำที่ฉันยากจะเอ่ยกับใครง่าย ๆ
“ขอโทษ… และขอบคุณ” นั่นไง ฉันคิดผิดซะที่ไหน นับกาลต้องการให้ฉันพูดสองคำนี้จริง ๆ ด้วยสินะ “ด้วยน้ำเสียงหวาน ๆ น่าฟัง และเรียกฉันว่าเฮียกาล ทำได้ไหมล่ะ… หยาดฟ้า”
“ฝันไปเถอะ!!”
ฉันพยายามกระทุ้งขาใส่ส่วนล่างเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นับกาลรู้ทัน เขาเบี่ยงตัวหลบแล้วใช้มืออีกข้างกดขาทั้งสองข้างของฉันแนบกับที่นอนโดยใช้ขาของเขาทาบทับเอาไว้ กลายเป็นว่าตอนนี้ร่างกายเราสองคนสนิทแนบชิดกันแทบจะทุกส่วนแล้ว… ซึ่งมันบัดซบมาก!
“เธอนี่มันโคตรอันตรายเลยว่ะ คิดว่าฉันจะยอมให้เธอทำร้ายลูกรักกันอีกรอบง่าย ๆ เหรอวะ? ดูถูกคนอย่างนับกาลเกินไปแล้ว”
“จะ… จะทำบ้าอะไร?! เอามือออกไปนะไอ้สารเลว!” ฉันก่นด่าเขาเสียงแข็ง สายตากร้าวจ้องลึกเพื่อกดดันให้เขาปล่อยมือออกจากปลายคางฉันซะ นับกาลแสยะยิ้มมุมปากไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับฉันเลย
“แหม ๆ ทำแค่นี้ด่าฉันสารเลว นี่ถ้ามากกว่านี้คงไม่เหลือความเป็นคนเลยมั้ง” ทำไมเขาถึงกวนประสาทได้โล่ขนาดนี้นะ! คิดจะปั่นประสาทฉันไปถึงไหนกัน ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว!
“ก็ลองทำมากกว่านี้ดูสิ… ได้เห็นดีกันแน่!” ฉันข่มใจขู่ แม้ตอนนี้จะหมดทางสู้แล้วก็ตาม
“หึ ๆ เธอท้าผิดคนแล้วหยาดฟ้า” นับกาลยื่นใบหน้าหล่อแสนร้ายเข้ามาใกล้พลางกระซิบ “พอดีฉันเป็นพวกชอบลองของซะด้วยสิ”
“อย่า… อื้อ!”
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ริมฝีปากหนาที่อยู่ใกล้เพียงปลายนิ้วเมื่อครู่ฉกวูบลงมาทาบทับริมฝีปากฉันด้วยความรวดเร็ว เขาดูดกลืนเสียงร้องของฉันไปจนหมด ฉันพยายามเม้มปากแน่นไม่ยอมให้ความน่าขยะแขยงแทรกผ่านเข้ามาง่าย ๆ
หากทว่าความพยายามของฉันมันกลับสูญเปล่าเมื่อถูกปลายนิ้วดั่งคีมเหล็กบีบเคล้นปลายคางจนเจ็บระบมไปหมด สุดท้ายฉันก็พ่ายแพ้ต่อความเจ็บปวดและเผลอเปิดปากรับสัมผัสหยาบกระด้างของเขา
“อืม” เสียงครางคำรามต่ำเหมือนพึงพอใจที่ได้รุกล้ำเข้ามา เขาดูดดึงเรียวลิ้นอย่างไม่คิดจะหยุดพัก ความหยาบกระด้างในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลและร้อนแรงสลับกัน มันปั่นป่วนสมองและหัวใจฉันจนแทบจะมอดไหม้
แกเป็นบ้าอะไรไปหยาด… ก็แค่จูบเลว ๆ จากผู้ชายสารเลว… อย่าอ่อนแอเด็ดขาด… อย่านอนโง่ให้ผู้ชายมาข่มเหงกันง่าย ๆ แบบนี้เด็ดขาด!
กึก!
“โอ๊ย!” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นพร้อมกับริมฝีปากเลว ๆ ที่ผละออกไป ฉันอาศัยจังหวะนั้นผลักนับกาลออกก่อนจะพลิกตัวลงจากเตียงด้วยความรวดเร็ว แม้สองมือจะสั่นไม่ต่างจากหัวใจ แต่ฉันก็พยายามข่มความหวาดหวั่นนั้นเอาไว้ให้ลึกที่สุด “เวรเอ๊ย! เธอกัดลิ้นฉันเหรอวะ! เจ็บฉิบ!!”
ใช่… อย่างที่เขาบอกนั่นแหละ เมื่อครู่ฉันฝังเขี้ยวลงบนลิ้นอันน่าขยะแขยงของนับกาลเอง ฉันกัดมันเต็มแรงโดยไม่ลังเลเลยล่ะ กลิ่นคาวเลือดยังคละคลุ้งอยู่ในปากฉันจนน่าสะอิดสะเอียน
“ฆ่านายได้ฉันคงทำไปแล้ว!”
“เหอะ! งั้นเหรอ…” นับกาลลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากตัวเองพลางแสยะยิ้มชั่วร้ายใส่ฉัน แววตาเขาเปลี่ยนไปราวกับคนละคน “รสชาติก็ไม่ได้แย่เหมือนนิสัยนิ”
“สารเลว…”
“แหม ไม่มีใครด่าฉันแบบนี้นานแล้วแฮะ เจ็บจี๊ดหัวใจดีจริง ๆ” นับกาลดูไม่สะทกสะท้านอะไรเลยสักนิด เขามันโรคจิตเกินจะเยียวยา!
“อย่าเข้ามานะ!”
ฉันค่อย ๆ ขยับตัวเดินไปทางประตูช้า ๆ สายตาจ้องมองร่างสูงด้วยความหวาดระแวง นับกาลไม่ได้เดินตามฉัน เขาแค่ยืนนิ่ง ๆ ส่งยิ้มโรคจิตมาให้
เมื่อเดินมาถึงประตูฉันก็ไม่ลังเลที่จะเปิดมันออกแล้วรีบหนีทันที ตลอดทางที่เดินลงบันไดมาฉันถูกสายตาหลายคู่จับจ้องด้วยความสอดรู้สุด ๆ ทั้งจากพนักงานและบรรดาลูกค้า อาจจะเพราะสภาพแย่ ๆ ของฉันด้วยมั้ง สภาพยับเยินอย่างกับถูกรุมโทรมมาไม่มีผิด น่าสมเพชชะมัด!