อึก…
ผมพยายามขยับตัวสุดฤทธิ์ ภายในใจก็นึกพ่อแก้วแม่แก้วเข้าไว้ เคยดูรายการผี ๆ เขาบอกว่าเวลาผีอำให้สวดมนต์ แล้วถ้าหมีอำล่ะวะกูต้องทำยังไง?!
ฟืด… ฟืด…
เชี้ย!
ผมย่นคอหนีลมหายใจฟืด ๆ ข้างลำคอด้วยความสยอง สองตาหลับแน่นอย่างไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับอีหมีนั่นอีก เสียงลมหายใจดัง ๆ พร้อมแรงกดทับหน้าขาและหน้าอกเริ่มทำผมขวัญเสีย
ไม่ได้การล่ะ… ผมจะปล่อยให้หมีอำแบบนี้ไม่ได้ ผมต้องสู้!
คิดดังนั้นผมก็รวบรวมแรงฮึดขึ้นมาก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง แสงสว่างริบหรี่ลอดผ้าม่านหน้าต่างเข้ามาส่องวาบไปทางหน้าหมีซึ่งควรจะอยู่ตรงหน้าผม หากทว่ามันกลับหายไปไหนแล้วไม่รู้ มีเพียงแรงกดทับกับเสียงลมหายใจแรง ๆ ข้างใบหูเท่านั้น
ฟืด… ฟืด…
เอาอีกแล้ว… เสียงเวรนั่นมาอีกแล้ว!
คราวนี้ผมหลับตาแน่นแล้วกลั้นใจพลิกใบหน้าไปด้านข้างก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเพื่อจ้องมองอีหมีเวรตัวนั้นชัด ๆ อีกครั้ง
“ฟิด ๆ”
“อีหมีเหี้ยยยยยยยยยยย!!!”
“เฮ้ย!!”
ผมสติแตกทันทีทันใดที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใบหน้าตัวเองในระยะกระชั้นชิด มันไม่ใช่ใบหน้าใหญ่ ๆ ขาว ๆ ของหมีขาวขั้วโลกเหนือเหมือนอย่างตอนแรก แต่มันกลับเป็นใบหน้าตี๋ ๆ ขาว ๆ ที่ยื่นเข้ามาใกล้แถมยังทำหน้าฟินใส่ผมด้วย
“ไอ้… ไอ้ชาลี! มึงจะทำอะไรกูเนี่ย!!”
ผมว้ากดังลั่นห้องเมื่อลืมตามาเห็นว่าไอ้ตัวที่นอนอยู่ข้าง ๆ ไม่ใช่หมีขั้วโลกที่อำเมื่อครู่แต่เป็นไอ้น้องเวรที่บังอาจย่องเข้ามาในห้องผมตอนหลับแถมยังกล้าสามหาวปีนขึ้นมานอนบนเตียงข้าง ๆ ผมด้วย
ยังครับ… ถ้าคิดว่าคนอย่างไอ้ชาลีมันจะนอนข้างผมเฉย ๆ นั้นคิดผิดแล้ว! เพราะมันดันใช้ขายาว ๆ แขนยาว ๆ ของมันพาดพันรอบตัวผมด้วย แล้วไอ้จมูกโด่ง ๆ ของมันก็ซุกไซ้ฟุดฟิดอยู่ข้างต้นคอผม
สรุปคือไอ้อาการหมีอำเมื่อกี้สาเหตุมันมาจากไอ้หมีควายตัวนี้นี่แหละ!!
“ถอยออกไปนะโว้ยยยย! กูหนัก!!” ผมดิ้นจนขาเป็นอิสระจากหน้าแข้งของไอ้ชาลีแล้วทำท่าจะยกเท้าขึ้นถีบมัน ทว่ากลับถูกใครอีกคนกระโจนทับสองมือจับล็อกขาข้างนั้นของผมไว้กับที่นอนด้วยความรวดเร็ว
“ย้าก! กูล็อกให้แล้ว! มึงรุกเลย! มึงรุกเฮียเลย!”
“อ๊ากกกก! ไอ้เชี้ยนาวา!! ทับขากูทำไม!!” ผมโวยวายด้วยน้ำเสียงอันแผดดัง ความอึดอัดจากการพาดทับของไอ้ชาลียังไม่วายความเจ็บปวดจากหน้าแข้งที่ถูกทับโดยไอ้นาวาก็เข้ามาแทนที่ “นี่พวกมึงเล่นอะไรกันวะเนี่ย! จะฆาตกรรมกูเหรอ!!”
“เออดิ! ก็เฮียแม่งปลุกยากปลุกเย็น ดูดิ๊! แดกกรุงเทพฯ ไปครึ่งเมืองแล้วเนี่ย!” ไอ้นี่ก็เว่อร์ตลอด… ผมมองแรงใส่ไอ้นาวาก่อนจะดึงสายตากลับมาเขม่นใส่ไอ้ชาลีด้วย
“ปล่อยกูเลยไอ้พวกเวรนี่! ปลุกกูดี ๆ ก็ได้กูไม่ดื้อหรอก!” ผมสะบัดตัวแรง ๆ จนมันสองคนยอมปล่อยในที่สุด ไอ้นาวาขยับตัวไปนั่งปลายเตียง ส่วนไอ้ชาลีลุกขึ้นไปยืนทำท่าเหนียมอายเหมือนคนเพิ่งจะเสียตัว มันใช่เหรอกับท่าทางแบบนั้นน่ะ มึงดูฟินเกินจะอายนะ!
“มีประธานบ้านแบบนี้ บ้านคงล่มจม” เสียงเหยาะ ๆ ดังจากหน้าประตูเรียกสายตาแข็ง ๆ ของผมแทบจะทันที ไอ้คชายืนหล่ออยู่ตรงนั้น มันแสยะยิ้มมุมปากเหมือนเยาะเย้ยกันนัย ๆ ตอนแรกแอบคิดว่าจะมีตัวก่อกวนแค่ไอ้สองคนนี้ พอเห็นไอ้คชาเสริมมาอีกคนเท่านั้นแหละ…
สรุปพวกมึงเลวยกแก๊งเลยไอ้สามเกรียน!
“แล้วพวกมึงมาทำอะไรห้องกูแต่เช้าเนี่ย! ไม่มีความเกรงใจเลยดิ?” ผมขยี้หัวตัวเองแรง ๆ พลางล้มตัวลงนอนอีกรอบ เมื่อคืนผมกลับมาดึกนะโว้ย กว่าจะได้นอนก็เกือบสว่าง แถมวันนี้ไม่มีเรียนด้วยว่าจะนอนยาว ๆ สักหน่อยเชียว เสือกโดนไอ้สามเกรียนป่วนซะได้
“เช้าอะไรล่ะเฮีย! เนี่ย ๆ มันเที่ยงแล้วนะเห็นไหม” ไอ้นาวากระตุกขาผมแรง ๆ แล้วชี้ไปที่นาฬิกาบนผนัง ผมเหลือบมองนิด ๆ แล้วดึงผ้าห่มคลุมหัวไม่สนใจมัน แต่ก็ถูกมันดึงออกไปอีก “ตื่นได้แล้วโดม่อนคุง พวกเค้าหิวแล้วนะ!”
“โอ๊ยไอ้วา! พวกมึงหิวก็ไปหาแดกกันเองสิวะ มือตีนก็มีจะมาปลุกกูหาพระแสงอะไรเนี่ย!” เวลาผมเพิ่งตื่นผมจะหัวร้อนแบบนี้เสมอแหละ ถ้าลองได้ง่วงหรืองัวเงียนะ นับกาลดาร์กไซด์คัมเบคทันที ทั้งที่ปกติผมเป็นคนดีมากนะ โคตรเฟรนด์ลี่และขี้เล่นอ่ะ ไม่เคยหยาบอะไรแบบนี้หร้อกกก
“ก็เฮียรับปากว่าจะเลี้ยงข้าวพวกเรานี่ เนอะ ๆ” ไอ้ชาลีหันไปหาไอ้คชาเพื่อหาแนวร่วมพยักหน้า ซึ่งไอ้คชาก็ไม่ได้เออออห่อหมกอะไรกับมันหรอก แค่ยืนเก๊กหล่อแล้วเสยผมเท่ ๆ ราวกับตัวเองเป็นพระเอก MV
“ช่าย ๆ เฮียบอกจะเลี้ยงข้าว! วันนี้เลยวันนี้ เดี๋ยวนี้เวลานี้ด้วย หิว ๆ ๆ ๆ” กลับเป็นไอ้นาวาคู่หูคู่บ้าไอ้ชาลีที่ผสมโรงกันทวงค่าข้าวกับผม
คือ… มันก็จริงที่ผมเคยพูดว่าจะเลี้ยงข้าวพวกมัน แต่… มันเป็นสิทธิ์ของคนจ่ายตังอย่างกูไหมที่จะเลี้ยงพวกมึงตอนไหนก็ได้น่ะ! ไม่เข้าใจทำไมต้องเวลานี้และเดี๋ยวนี้ด้วย กูง่วงโว้ยยยยยย!
“งั้นมึงเอาเงินไป กูขอนอนต่อ โอเค้?” ผมลุกขึ้นมานั่งแล้วมองหน้าพวกมันสามคนเรียงตัว ทว่าคำตอบที่ได้รับอย่างพร้อมเพรียงกันแม่งโคตรขยี้หัวใจผมเลย
“ไม่/โนวว/โอ้โนวววว!!”