ตอนที่ ๒ เสี่ยวเสียน (๒)

2593 Words
ตอนที่ ๒ เสี่ยวเสียน (๒) ดวงอาทิตย์คล้อยบ่าย อ่อนแสงเบาบางทว่าไม่อาจคลายความร้อน ผู้คนในเมืองยังคงเดินขวักไขว่ แลกเปลี่ยนสินค้าและข่าวสารกันอย่างคึกคัก มือผอมเรียวโยนถุงเงินขึ้นเป็นจังหวะ ริมฝีปากอมยิ้มสมใจ เสี่ยวเสียนชั่งน้ำหนักถุงเงินในมือด้วยสีหน้าเบิกบาน มืออีกข้างที่คอยรับเงินชื้นเหงื่อจนต้องเช็ดอกเสื้อเป็นระยะ เขาเงยหน้ามองต้นหลิวที่ร่มเงากำลังจะหายไป ระบายลมหายใจอย่างสุขสม เป็นสัญญาณบอกว่าภารกิจในวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว ก้มลงเก็บถุงเงินเอาไว้ในแขนเสื้อ หมับ! เงาร่างหนึ่งวูบไหว ถุงเงินหนักอึ้งถูกคนฉกไปต่อหน้าต่อตา! “มีโจรขโมยถุงเงินข้า!” เสี่ยวเสียนผู้รักเงินยิ่งกว่าชีวิตตัดสินใจวิ่งตามจนชนกับผู้คนเป็นระยะ ทว่ากลับไม่มีใครสนใจที่จะช่วยเขาเลยแม้แต่น้อย เสี่ยวเสียนเงี่ยหูฟังเสียงแหวกของอากาศ เขาหูดีมาตั้งแต่เด็กการแยกแยะระหว่างเสียงฝีเท้าและเสียงกระแสลมเป็นเรื่องที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ดวงตาฉลาดเฉลียวกวาดมองกลางสี่แยกที่ว่างเปล่า ขโมยผู้นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย เด็กหนุ่มหอบหายใจหนักหน่วง เหงื่อผุดพรายจนอาบใบหน้าที่สกปรกมอมแมม ยกมือขึ้นทำท่าราวกับสวมหน้ากาก หูสดับฟังเสียงรอบกาย ‘ด้านบน!’ ดวงตาของเสี่ยวเสียนวาววับ เงยหน้าขึ้นมองหอเทียนเจียว โรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ของซูโจว ร่างหนึ่งแสร้งปีนป่ายแนบตัวติดกับขื่อมุมของอาคารราวกับจะกลืนไปกับเงาหลังคา เสี่ยวเสียนกัดฟัน ครางในลำคอด้วยความโมโห ใบหน้าบูดเบี้ยว ยกมือชี้หน้าด่าทันที “หยุดนะเจ้าโจรชั่ว!” น่าเสียดายที่โจรไม่หยุด แต่คนรอบข้างกลับหยุดนิ่ง เสี่ยวเสียนไม่สนใจ รีบเปลี่ยนท่าทะยานขึ้นบนหลังคาโรงเตี๊ยม พุ่งหาโจรชั่วด้วยความรวดเร็ว ใบไม้กระจายวูบ เด็กชายคนหนึ่งเห็นภาพเข้าก็เบิกตากว้าง “ท่านแม่ๆ พี่เสี่ยวเสียนบินได้!” ผู้เป็นมารดาอมยิ้ม เงยหน้ามองตามปลายนิ้วของบุตรชาย “เขาไม่ได้บินจ้ะ นั่นเรียกว่าวิชาตัวเบา” สามีนางทำงานที่หอเกอจื่อ เคยเห็นเสี่ยวเสียนวาดลวดลายมาแล้ว เพราะฝีมือมิใช่ชั่ว หอเกอจื่อจึงให้เขาเป็นมือส่งสารอันดับหนึ่ง ทว่ามีคนไม่มากนักที่รู้ หารู้ไม่ว่าอีกไม่นาน ข่าวว่าคนส่งสารของหอเกอจื่อเป็นยอดฝีมือก็แพร่สะพัด… ทว่าตอนนี้!!! เสี่ยวเสียนคิดอย่างเดียวคือถุงเงินในมือโจรร้าย เขาจึงพุ่งเจ้าหาคนร้ายอย่างไม่คิดชีวิต โจรร้ายเมื่อเห็นเสี่ยวเสียนพุ่งเข้ามาใกล้ก็แตกตื่นลนลาน ยังไม่ทันบิดกายหลบ ถุงเงินก็ถูกเสี่ยวเสียนคว้าไว้ได้ ในเสี้ยวเวลานั้นเอง ประกายสีเงินของอะไรบางอย่างก็สะท้อนเข้านัยน์ตาของเสี่ยวเสียน เพียงพริบตามือซ้ายของเสี่ยวเสียนพลันถูกบาด พร้อมกับที่มีดกระเด็นหลุดออกจากมือโจรชั่ว กระแทกกระเบื้องหลังคาโรงเตี๊ยม แตกกระจายร่วงลงสู่พื้นดังสนั่น เสี่ยวเสียนทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด ยกเท้าถีบยอดหน้าโจรชั่วเต็มแรง ร่างของโจรกระแทกกับผนัง ลมหายใจหอบหนัก ซวนเซตกจากหลังคาหอเทียนเจียว ประกายตาของเด็กหนุ่มวาววับ ใบหน้าซีดเผือดมีแววสาแก่ใจ “สมน้ำหน้า!” ครั้นเงินถูกเอากลับคืนมาได้พลังทั้งหมดในร่างของเสี่ยวเสียนก็เหือดหายไปในทันที เขาเก็บถุงเงินไว้ในแขนเสื้อ สายตาพลันพร่าเลือน สติดับวูบ ตัวเบาโหวง ร่วงลงจากหลังคาราวกับนักปีกหัก เสียงผู้คนกรีดร้อง ทำให้บุรุษสามคนที่ยืนดูคนร้ายหันมองตาม พบว่าร่างอีกร่างหนึ่งตกลงมา ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนออกมาว่า “รีบไปรับเจ้าเสี่ยวเสียนเร็วเข้า!” เพียงพริบตาก็มีเงาไหววูบ คนผู้หนึ่งเหินร่างเข้ารับร่างของเสี่ยวเสียนได้ทันท่วงที อาภรณ์สีเข้มไหวตามแรงลม ท่าร่างราวกับเทพเซียนจุติ เสี่ยวเสียนตกอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษหนุ่มอย่างทันท่วงที ครั้นคนผู้นั้นหันกลับ เสียงอุทานของชาวเมืองก็ดังเซ็งแซ่ ซุบซิบกันถึงความองอาจและความหล่อเหลาของผู้ช่วยเหลือ ดวงตาคมกริบเพียงปรายมองชาวเมือง ใบหน้าเย็นเยียบดุจน้ำแข็งสลัก ไม่กระเพื่อมไหวแม้เพียงนิด กระแสลมร้อนพัดวูบ ผู้คนพากันหลบสายตา เขาเดินไปร่วมวงกับอีกสองคนที่เหลือ ทุกคนต่างก็โล่งใจไปตามๆ กัน “จะเอาอย่างไรต่อ?” บุรุษที่อุ้มเสี่ยวเสียนถามขึ้น น้ำเสียงเย็นชาเป็นนิจรับกับหน้าตาสงบนิ่งไร้ระลอกคลื่น แม้จะแปลกใจที่บุรุษผู้หนึ่งในอ้อมแขนของเขาตัวเบาหวิว แต่ก็หาได้ใส่ใจไม่ บุรุษอีกคนที่สวมชุดมือปราบสีดำสนิทครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลางกวาดตามองหาลูกน้องที่เดินตรวจการ “พาเขาสองคนไปกองปราบก่อนก็แล้วกัน เจ้าหนุ่มนั่นเลือดไหลแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้ตายกันพอดี ส่วนเจ้านี่เดี๋ยวข้าจะเรียกคนมาลากไป” “อืม…” บุรุษหน้าตาเย็นชาพยักหน้ารับ เขาหันกายใช้วิชาตัวเบาจากไป ปล่อยให้บุรุษอีกสองคนมองหน้ากันสักพัก ก่อนที่บุรุษชุดขาวจะยกพัดขึ้นมาเคาะศีรษะของคนในเครื่องแบบ “เจ้าโง่ รีบเรียกลูกน้องมาสิ ข้าจะไปรอที่กองปราบ” คนชุดขาวพูดจบก็เดินหายไปในฝูงชนด้วยความรวดเร็ว บุรุษชุดดำยืนงงกับตัวเองสักพัก ก่อนจะนึกได้ ตะโกนเสียงดังลั่น “เฟิงเจี๋ย หลี่เปียว ทิ้งกันซึ่งหน้าแบบนี้น่ะหรือ?” เพิ่งพูดจบก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งลอยมาตามลม “ข้าเหม็นกลิ่นตัวของเจ้าโจรผู้นี้ ก่อนนำกลับกองปราบช่วยอาบน้ำให้เขาก่อนก็ดี…” เสียงนี้เป็นเสียงของคุณชายฉินผู้รักความสะอาดยิ่งชีพนั่นเอง เยี่ยเหวินอี้ฮึดฮัด หยิบแท่งโลหะทรงกระบอกสีเงินขนาดเท่านิ้วก้อยที่คอขึ้นมาเป่า เพียงครู่เดียวชายฉกรรจ์ในชุดเครื่องแบบมือปราบจำนวนสามคนก็วิ่งเข้ามา “หัวหน้า!” ครั้นลูกน้องมาถึง ชายหนุ่มก็ได้ที “พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่หา? มีคนปล้นกันซึ่งหน้า มือปราบหายไปไหนกันหมด! ช่วยกันแบกคนผู้นี้ตามไปที่กองปราบด้วย” ครั้นได้ระบายโทสะเล็กน้อยเขารู้สึกดีขึ้นจึงคิดเดินจากไป “แล้วก็…อย่าลืมอาบน้ำให้เจ้านี่แล้วพาหมอมาตรวจด้วยล่ะ” บรรดามือปราบได้แต่ยืนมองตากันไปมา รู้สึกงุนงงกับคำสั่งของท่านเยี่ยไม่น้อย มาถึงก็ถลึงตาดุด่า พวกเขาได้แต่ก้มหน้าก้มตาสงบปากสงบคำ รีบทำตามคำสั่งโดยดี “ขอรับ” “ให้ไว!” สิ้นเสียงเร่ง การทำงานก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว เยี่ยเหวินอี้จึงเดินกลับกองปราบด้วยใบหน้าที่ดีขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่หวานกว่าบุรุษทั่วไปขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาชื่นชมจากชาวเมือง พลันยืดอก เดินแข็งทื่อแหวกฝูงชนไปประหนึ่งตอไม้เดินได้ ทว่านอกจากสายตาชื่นชมแล้ว บรรดาชาวบ้านต่างก็งงว่า เหตุใดมือปราบเยี่ยจึงมีโทสะเช่นนี้ โดนทิ้งขนาดนี้ไม่หงุดหงิดสิแปลก! ข่าวลืออีกเรื่องที่แพร่สะพัด คือสามยอดบุรุษเป็นสหายสนิทกัน อีกทั้งคำเล่าลือเรื่องบุคลิกท่าทางของพวกเขานั้นแม่นยำยิ่ง นั่นเป็นสาเหตุว่าเพราะเหตุใดหอเกอจื่อจึงกลายเป็นแหล่งค้าข่าวอันดับหนึ่งของเจียงหนานตลอดมา หยางเฟิงเจี๋ยรีบสาวเท้าเข้าไปยังกองปราบ บรรดามือปราบเมื่อเห็นองค์ชายสิบสามอุ้มใครบางคนเข้ามาก็ปรี่เข้ามาต้อนรับ นึกสงสัยไม่น้อยว่าคุณชายฉินและท่านเยี่ยหายไปไหน “องค์ชายสิบสาม มีอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ” “หาห้องว่างสักห้องแล้วรีบไปตามหมอมา” “ถ้าอย่างนั้นเชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ” มือปราบอีกคนรีบนำทาง ปกติท่านเยี่ยมักจะให้คนจัดเตรียมห้องว่างไว้เสมอเผื่อกรณีฉุกเฉิน ห้องพักรับรองจึงว่างตลอดเวลา เดินไปไม่นานก็ถึงห้องพักรับรองขนาดเล็ก เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับห้องสะอาดขนาดเล็กห้องหนึ่ง หยางเฟิงเจี๋ยรีบวางร่างในอ้อมแขนของตนไว้บนเตียง หมวกสานหลุดออกจากศีรษะเผยให้เห็นใบหน้าเรียวเล็กที่มอมแมม ดวงตาคมกริบกวาดมอง ครั้นพินิจดูให้ดีแล้ว ก็ลอบคิดในใจว่าเด็กคนนี้หากเป็นลูกหลานตระกูลชั้นสูงก็คงจะเติบโตเป็นบุรุษที่หล่อเหลาไม่น้อย ริมฝีปากบางอิ่มของเขาช่างดูเหมือนสตรียิ่ง กวาดสายตาไปยังปลายจมูกโด่งรั้นชื้นเหงื่อยิ่งบ่งบอกว่าหนุ่มน้อยผู้นี้ดื้อรั้นไม่แพ้ใคร พลันสะดุดสายตาเข้ากับขนตาหนาเป็นแพคล้ายปีกผีเสื้อ องค์ชายสิบสามอย่างเขาพลันถอนหายใจด้วยความเสียดาย เมื่อมองโดยรวมแล้ว เด็กหนุ่มผู้นี้ หากจับไปอาบน้ำให้สะอาด คงงดงามกว่าเยี่ยเหวินอี้เสียอีก คล้ายกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่ หยางเฟิงเจี๋ยสั่นศีรษะ ร่ำร้องในใจว่าผิดพลาดแล้ว เด็กคนนี้เป็นผู้ชาย เขาไม่ได้มีรสนิยมชมชอบบุรุษ อดขนลุกซู่ไม่ได้ หยางเฟิงเจี๋ยเหลือบไปเห็นแขนเสื้อที่โป่งพองพอควร เมื่อเลิกแขนเสื้อของเด็กหนุ่มแปลกหน้าขึ้นดูก็ต้องแปลกใจที่เด็กคนนี้มีผิวเนียนละเอียดราวกับสตรี แถมแขนยังเล็กบอบบางกว่าแขนบุรุษอยู่มากโข น่าเสียดายที่เขาไม่สันทัดเรื่องรูปลักษณ์ของคน เมื่ออยู่ในกองทัพ รูปลักษณ์ภายนอกของบุรุษก็แค่ก้อนเนื้อใต้ชุดเกราะ หากเด็กคนนี้รัดเท้า ก็คงจะสะกิดใจให้เขาสงสัยว่านี่คือเด็กสาว ไม่ใช่เด็กหนุ่มไปแล้ว หยางเฟิงเจี๋ยจึงคิดว่าเด็กกำลังโตก็ควรจะเป็นแบบนี้ ในแขนเสื้อของเด็กหนุ่มมีถุงเงินถุงใหญ่ยัดเอาไว้ ดูท่าแล้วคงจะหวงน่าดู เสียงฝีเท้าดังขึ้น ชายหนุ่มจึงหันไปตามเสียง พบว่าเป็นหนึ่งในมือปราบที่นำทางเขามายังห้องนี้นั่นเอง “หมอมาหรือยัง” “ยังพ่ะย่ะค่ะ” หยางเฟิงเจี๋ยพยักหน้ารับ รีบใช้มือกดบาดแผลที่ถูกบาดของเด็กหนุ่ม ยังอดเลิกคิ้วไม่ได้ที่ผิวของเด็กคนนี้เนียนละเอียดกว่าผิวของฉินหลี่เปียวนัก ที่น่าเป็นกังวลก็คือหากเลือดไม่หยุดไหลเกรงว่าอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ มืออีกข้างจึงรีบดึงผ้าผูกผมสีดำของตนออกมาพันรอบฝ่ามือของเด็กหนุ่มเพื่อห้ามเลือด ลืมนึกถึงความเหมาะสมทั้งหลายไปเสียสิ้น ผ้าไหมสีดำสนิท ลายบนผ้าเป็นลวดลายมังกรเหินที่จักรพรรดิพระราชทานให้ ใบหน้าของหยางเฟิงเจี๋ยเครียดขมึง เมื่อยิ่งสัมผัสก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้บอบบางนัก ทว่าฝ่ามือกลับไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนคุณชายบ้านไหน ทว่าก็ไม่ได้หยาบกระด้างเฉกเช่นบุรุษทั่วไป มีเพียงปลายนิ้วไม่กี่นิ้วเท่านั้นที่หยาบเล็กน้อย เขาจึงไพล่คิดไปว่าเสี่ยวเสียนผู้นี้คงจับพู่กันจนมือด้านกระมัง “เฟิงเจี๋ย เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินหลี่เปียวเดินเข้ามา ใบหน้ามีแววใคร่รู้ เมื่อเห็นร่างบนเตียงก็เบิ่งตาโต “เหตุใดเขาจึงสกปรกขนาดนี้ เจ้าไม่ให้คนมาเช็ดตัวเขาสักหน่อยรึ” หยางเฟิงเจี๋ยตวัดสายตาคมกริบไปยังฉินหลี่เปียวที่ถอยกรูดไปไกล “ถ้าเขาฟื้นแล้วก็ให้กลับบ้านไปสิ เจ้าจะวุ่นวายอะไรกับผู้อื่น” “ก็สกปรกมอมแมมขนาดนี้นี่นา” “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่เช็ดตัวให้เขาเองล่ะ?” ฉินหลี่เปียวถอยไปไกลกว่าเดิม แค่นเสียงขึ้นจมูกด้วยความหงุดหงิด “ข้าไม่ไปทำงานอะไรแบบนั้นแน่ๆ ก็แค่อยากเห็นเจ้าหนุ่มนี่สะอาดสะอ้านเสียหน่อย จะว่าไปก็เก่งไม่เบานะ ถึงขั้นขึ้นไปตามโจรบนหลังคา” ตอนนั้นพวกเขาสามคนกำลังเดินสำรวจรอบเมือง เห็นคนผู้หนึ่งกำลังลุกลี้ลุกลนปีนขึ้นหลังคาโรงเตี๊ยมด้วยความว่องไว เยี่ยเหวินอี้ตั้งท่าจะขึ้นไปดู ทว่ากลับถูกหยางเฟิงเจี๋ยดึงแขนไว้ก่อน ได้ยินเสียงเด็กคนหนึ่งพูดกับมารดา ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งลอยตัวขึ้นสู่หลังคา หยางเฟิงเจี๋ยไม่ได้สนใจคำพูดของฉินหลี่เปียว เขานั่งรอในห้องอย่างสงบ อย่างน้อยเสียงลมหายใจของคนบนเตียงก็บ่งบอกได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ “หลี่เปียว เฟิงเจี๋ย หมอมาแล้ว” เยี่ยเหวินอี้เดินเข้ามาพร้อมกับหมอชราคนหนึ่ง ท่านหมอเข้ามาก็เดินไปตรวจอาการคนบนเตียงโดยไม่พูดอะไร หมอชราตรวจได้สักพักก็เขียนเทียบยา ก่อนจะหันมาพูดกับสามหนุ่มที่นั่งรออยู่ว่า “แม่นางน้อยเป็นระดู พอเสียเลือดมากจึงเป็นลมไป” “แม่นาง?” ทั้งสามคนตะโกนขึ้นพร้อมกัน กระทั่งหยางเฟิงเจี๋ยก็เสียจริตไปด้วย “ใช่แล้ว นางเป็นระดู อีกทั้งเสียเลือดมากจึงทำให้อ่อนเพลีย ข้าจะให้ยาบำรุงเลือดกับยาสมานแผลเอาไว้ พักนี้อย่างให้นางขยับมือข้างที่บาดเจ็บ โชคดีที่แผลไม่ลึกมากอีกทั้งยังห้ามเลือดได้ทันท่วงที หากร่างกายแข็งแรงสักเดือนสองเดือนก็หายสนิท” ในห้องพลันเงียบสงัด กระทั่งเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนบนเตียงก็ยังได้ยิน ชายหนุ่มทั้งสามตัวแข็งทื่อ ประหนึ่งว่าหากขยับแม้เพียงนิด ดรุณีน้อยบนเตียงจะรู้สึกตัว คราวนี้ฉินหลี่เปียวไม่กล้าขอให้หยางเฟิงเจี๋ยเช็ดตัวคนบนเตียงอีกแล้ว มันออกจะ...ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก หยางเฟิงเจี๋ยหน้าซีด หันไปมองหน้าสหายทั้งสอง พูดเสียงเบาว่า “ข้าคงไม่ต้องรับผิดชอบนางใช่หรือไม่ เพราะข้าไม่รู้ว่านางเป็นสตรี” ฉินหลี่เปียวดีดหน้าผากองค์ชายสิบสามดังเพียะ! บริภาษเสียงเบา “เจ้าโง่ อุ้มนางตั้งนานยังไม่รู้ว่าเป็นสตรี ถ้านางตื่นมาเราก็ทำเป็นเนียนๆ ไม่รู้เรื่องไปซะ ไม่เสียดุลการค้าอย่างแน่นอน” “ทำไมไม่เป็นข้าที่อุ้มนางมานะ!” เสียงพึมพำของเยี่ยเหวินอี้เรียกฝ่าเท้าของอีกสองคนให้พุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับหลบหลีกอย่างว่องไว “เจ้าโง่ สตรีเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยุ่งยาก อยู่ให้ไกลที่สุดนั่นแหละดี” หยางเฟิงเจี๋ยกระซิบให้ได้ยินกันเฉพาะในกลุ่ม เกรงว่าคนที่นอนอยู่จะรู้ตัว “เอ่อ...คุณชาย ค่ารักษาข้าล่ะ” ท่านหมออดพูดขัดจังหวะการหารือของบุรุษทั้งสามไม่ได้ ฉินหลี่เปียวควักเงินก้อนหนึ่งให้ท่านหมอ โน้มใบหน้ากระซิบเสียงเบา “ท่านหมอ เรื่องวันนี้ห้ามบอกใครเด็ดขาดรู้หรือไม่?” ท่านหมอเมื่อเห็นเงินขาวๆ ก็รีบคว้าหมับ “ขอบคุณคุณชาย ข้าจะปิดปากให้สนิท” “ดี”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD