1 ชีวิตใหม่

4224 Words
นิ้วมือเรียวงามกระตุกช้าๆ แสดงให้เห็นถึงเจ้าของร่างเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง ดวงตาคู่งามค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น          “ฮูหยิน ในที่สุดท่านก็ฟื้นขึ้นมาเสียที” สาวใช้ชุดเขียวรีบร้องเรียกทันทีที่หันมาเห็นผู้เป็นนายลืมตาตื่นขึ้น          ฮูหยิน? นางพูดถึงใครกัน          ใบหน้างามฉายแววฉงน หลังจากที่ดวงตาปรับแสงได้และมองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น หญิงสาวกลับต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เตียงไม้แกะสลักอย่างประณีต ม่านเตียงสีสันงดงามดูมีราคา ซึ่งทั้งชีวิตนางคงไม่มีปัญญาใช้ของพวกนี้ได้เป็นแน่ และรวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ภายในเรือนที่ดูหรูหรามีราคาอีกหลายชิ้น ดูไม่ต่างอะไรกับบ้านเศรษฐีร่ำรวยเงินทอง          “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านหลับไปเกือบยี่สิบวันแล้ว ทำเอาบ่าวตกใจแทบแย่”          ฮูหยิน? นางเรียกข้าว่าฮูหยินอีกแล้ว แต่ข้าไม่ใช่ฮูหยินนี่ แล้วเหตุใดนางถึงเรียกข้าเช่นนั้นกัน ร่างบางคิดจะขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงนอน แต่ร่างกายเจ้ากรรมกลับไม่เป็นไปอย่างที่นางต้องการ ความรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหน้าอกทำให้ใบหน้างามถึงกับขมวดคิ้วมุ่น          “ฮูหยิน ท่านอยู่นิ่งๆ ก่อนนะเจ้าค่ะ ข้าจะรีบไปตามท่านหมอมาดูอาการท่านเดี๋ยวนี้” สาวใช้ชุดเขียวรีบหมุนกายวิ่งออกไปจากเรือนในทันที          เกิดอะไรขึ้น? นี่นางรู้สึกงุนงงไปหมดแล้ว ฮูหยิน? ทำไมหญิงสาวคนนั้นถึงเอาแต่เรียกนางว่าฮูหยินๆ นางไม่ใช่ฮูหยินสักหน่อย นางมีชื่อว่า ‘ซือซิง’ ต่างหากเล่า          นางเป็นขอทานที่เพิ่งจะสิ้นใจตายอยู่นอกเมืองไปหมาดๆ ยังไม่เคยแต่งงานมีครอบครัว แล้วจะไปเป็นฮูหยินบ้านอื่นได้อย่างไร          เอ๊ะ! ไม่สิ! นางตายอยู่นอกเมืองไม่ใช่หรือ ทำไมตัวนางมานอนอยู่บนเตียงไม้หรูหราหลังนี้ได้ ก่อนที่นางจะสิ้นใจรอบกายของนางเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนไม่มีแม้แต่ผ้าห่มสักผืนไว้ห่อหุ้มกาย แล้วทำไมนางมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ          ไวเท่าความคิด ซือซิงพยายามพยุงร่างกายที่หนักอึ้งของตนฝืนเดินไปที่กระจกสีเหลืองทองที่ตั้งใกล้ๆ กับเตียงไม้ในทันที ฉับพลันเงาที่สะท้อนออกจากกระจกทำให้หญิงสาวแทบจะล้มทั้งยืน ใบหน้าสตรีที่งามหมดจดสะท้อนสู่สายตาทั้งคู่ของนาง ทำให้ซือซิงรู้สึกตื่นตระหนกและไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองกับสิ่งที่เห็นในตอนนี้          ขณะเดียวกันก็มีสาวใช้ชุดขาวนางหนึ่งรีบปรี่เข้ามาพยุงร่างของนางที่ตอนนี้แทบจะทรุดตัวลงกับพื้น          “ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรไป กระจกใบนั้นมันมีอะไรหรือเจ้าคะ” ขณะที่ถามหญิงรับใช้ชุดขาวก็พยุงร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของซือซิงมานอนที่เตียงตามเดิม          ใบหน้านี้ไม่ใช่ใบหน้านาง เกิดอะไรขึ้น? แล้วโฉมงามผู้นี้เป็นใคร ซือซิงรีบก้มหน้าสำรวจร่างกายของตนในทันที นิ้วมือขาวเนียนเรียวงาม ทรวดทรงองเอวคอดกิ่วราวกับกิ่งหลิว เรือนผมสีดำขลับดูสุขภาพดี สวรรค์! นี่ไม่ใช่ร่างกายของข้า!          นี่นางกำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่ แต่ทำไมในฝันมันช่างคล้ายกับเรื่องจริงถึงเพียงนี้          เพื่อพิสูจน์ว่านางไม่ได้ฝันไป หญิงสาวยกแขนขาวเนียนขึ้นมากัดหนึ่งที          “โอ๊ย! เจ็บจัง...” สาวใช้ชุดขาวลอบสังเกตอาการของผู้เป็นนายด้วยใบหน้าตื่นตระหนก เพราะเดิมทีฮูหยินของนางจะเป็นคนที่สงวนท่าที และรักษากิริยามารยาทเฉกเช่นคุณหนูผู้ดีที่ถูกอบรมมาเป็นอย่างดี ไม่เหมือนกับสตรีตรงหน้านางในตอนนี้ “ฮูหยิน ท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ”          ยังไม่ทันที่ซือซิงจะทันได้ตระเตรียมใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น สาวใช้ชุดเขียวก็พาท่านหมอเข้ามาในห้องแล้ว          เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปกว่าท่านหมอจะตรวจอาการนางเสร็จ ใบหน้าเหี่ยวย่นของท่านหมอยังคงฉายแววเรียบนิ่ง ก่อนจะบอกอาการของนางว่า “ร่างกายของฮูหยินรับพิษไม่มาก แต่โดยรวมแล้วไม่มีอะไรให้น่ากังวล เพียงแต่พิษที่อยู่ในร่างกายฮูหยินยังถูกขจัดออกไม่หมด ต้องระวังให้มาก ข้าจะจัดยาให้ท่านอีกสักหนึ่งชุดก็แล้วกัน”          “ข้าเป็นอะไร?” ซือซิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย          สาวใช้ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความฉงนสงสัย พวกนางต่างคิดในใจว่าฮูหยินของพวกนางเปลี่ยนไป          “ฮูหยิน ท่านลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ...ว่าท่านดื่มยาพิษ...” สาวใช้ชุดเขียวพูดอ้ำๆ อึ้งๆ อย่างไม่เต็มเสียงเพราะกลัวจะกระทบความรู้สึกของผู้เป็นนาย          “ว่าไงนะ! ข้านะหรือดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย?” ซือซิงรู้ดีว่านางไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่จะให้นางอธิบายอย่างไรดีว่าตนไม่ใช่ฮูหยินของพวกนาง หากพูดออกไปแล้วจะมีผู้ใดเชื่อนางเล่า          ท่านหมอชรารีบจับชีพจรตรวจนางอย่างละเอียดอีกครั้ง ใบหน้าของเขาขมวดมุ่นดูกังวลใจ ผ่านไปครึ่งชั่วยามท่านหมอจึงเอ่ยอาการกับนางอีกครั้ง “ฮูหยินอย่าได้กังวลไป อาจเป็นเพราะพิษที่ท่านดื่มยังขจัดออกจากร่างกายไม่หมด บวกกับสภาพจิตใจของท่านอ่อนแอขณะที่ดื่มยาพิษเข้าไป ฤทธิ์ของพิษจึงแทรกซึมเข้าไปทั่วร่างกาย และอาจทำให้ท่านความจำเสื่อมไปชั่วขณะได้ เอาเป็นว่าข้าจะจัดยาขับพิษให้ท่านเพิ่มอีกสักสามชุด แต่ถ้าหากเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้วอาการของท่านยังไม่ดีขึ้น ข้าจะหาหนทางรักษาท่านอีกครั้ง”          “ฮูหยินของข้า...ความจำเสื่อมจริงๆ หรือเจ้าคะ” สาวใช้ทั้งสองเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าตกตะลึง ท่านหมอชราพยักหน้า “ใช่...นางความจำเสื่อมไปชั่วขณะ” ราวกับเวลาหยุดนิ่ง ใบหน้างามฉายแววตื่นตะลึง แต่การตื่นตะลึงของนางหาได้เป็นเรื่องเดียวกันกับสาวใช้ทั้งสองไม่ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเหลือเชื่อเกินไป สวรรค์กำลังเล่นตลกกับนางใช่ไหม ถึงให้นางมาอยู่ในร่างของสตรีที่มีสามีแล้ว หรือเป็นเพราะคำขอสุดท้ายของนางก่อนตาย สวรรค์ถึงได้ส่งนางมาอยู่ในร่างของสตรีผู้นี้ แค่คิดข้าก็อยากจะนอนหลับไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นเพียงความฝันที่แปลกประหลาดเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง ใช่ไหม? เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ ซือซิงก็คร้านที่จะไปใส่ใจกับสิ่งรอบด้านอีก ร่างบอบบางรีบเอนกายลงบนเตียงช้าๆ ด้วยความเหนื่อยล้า หญิงสาวจึงเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราอีกครั้งได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่ซือซิงนอนหลับพักผ่อนร่างกายมาหลายวัน หญิงสาวสก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้มากขึ้น ว่าสิ่งที่นางเผชิญอยู่ในตอนนี้มันคือเรื่องจริง หาได้เป็นความฝันที่แปลกประหลาดไม่ นางอยู่ในร่างของสตรีที่ออกเรือนแล้ว แถมยังมีสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติถึงสองนาง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายมีกินมีใช้จนถึงชาติหน้าได้เลยกระมัง สวรรค์ช่างล้อเล่นกับโชคชะตาของนางนัก จากหญิงขอทานข้างถนนที่มีชีวิตอย่างอดๆ อยากๆ นอนรอความตายอยู่นอกเมือง คิดว่ายามเมื่อตายไปแล้วดวงวิญญาณของตนจะได้ไปพบหน้าบิดามารดาที่รออยู่ปรโลกเสียอีก แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางกลับต้องมาเผชิญเคราะห์กรรมเช่นนี้ สวรรค์ช่างเลือกเล่นตลกกับข้าเสียนี่กระไร แม้ว่าท่านจะเห็นใจข้าในชีวิตที่แสนบัดซบเมื่อชาติที่แล้ว แต่ไฉนท่านกลับเลือกให้ข้ามาสิงสู่อยู่ในร่างฮูหยินบ้านอื่นกัน นี่ท่านกำลังกลั่นแกล้งข้าอยู่ใช่หรือไม่ เฮ้อ! เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว แม้ว่าท่านจะกลั่นแกล้งข้าเช่นไร แต่ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วข้าจะทำเช่นไรได้ นอกจากก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมที่ท่านประทานมาให้ แม้ว่าข้าจะรู้สึกขัดใจหน่อยๆ ก็ตาม แต่ก็ยังดีที่ท่านให้ข้ามาเกิดใหม่ในร่างสตรีผู้มั่งมีเงินทอง ข้าก็ยังพอให้อภัยท่านได้หน่อย เมื่อนึกถึงอาหารมากมายที่เหล่าสาวใช้ทั้งสองนางขยันยกมาประเคนให้ข้าถึงที่ ข้าก็เลิกหายโกรธท่านแล้วล่ะ ข้าสัญญาว่านับจากนี้เป็นต้นไป ข้าจะกอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อชดเชยในสิ่งที่ชาติที่แล้วข้าไม่เคยได้กินได้ใช้ให้ถึงที่สุด เพราะข้าไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร หากวันใดวันหนึ่งข้าต้องตายไปอีกครั้ง ข้าก็คงตายตาหลับแล้วล่ะ จากนี้ไปนางจะเป็นคนใหม่ นางจะพยายามทิ้งเรื่องราวในอดีตให้หมดสิ้น และยืนหยัดอยู่บนกองเงินกองทองให้มีความสุข เสมือนว่าเรื่องราวเลวร้ายในชีวิตของนางที่ผ่านมา คือฝันร้ายยาวนานเรื่องหนึ่งก็เท่านั้นเอง จู่ๆ ร่างของบุรุษคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในห้องนางอย่างช้าๆ ไม่เพียงทำให้นางงุนงง แต่ก็รู้สึกตกใจอยู่บ้างเล็กน้อย สาวใช้ข้างกายนางเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยใคร่รู้ “พ่อบ้านหลี่ ท่านมาที่นี่มีธุระอันใดรึ?” ชายหนุ่มสวมชุดขาวอย่างสุภาพที่ถูกเรียกขานว่าพ่อบ้านหลี่เดินเข้ามาทำความเคารพแก่นาง แล้วพูดจาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งว่า “เรียนฮูหยิน นายท่านสั่งให้ข้านำความมาบอกแก่ท่านว่า...ให้ดูแลตัวเองด้วย อย่าได้คิดสั้นอีกขอรับ” ซือซิงนั่งอยู่บนเตียงด้วยใบหน้ามึนงง มองชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าพ่อบ้านหลี่ด้วยใบหน้าไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาบอกกับตน นายของชายผู้นี้เป็นผู้ใดกันถึงได้มาสั่งให้นางดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้คิดสั้น? หากเป็นนางในตอนนี้ อย่าว่าแต่คิดฆ่าตัวตายเลย ให้นางกลั้นหายใจตายก็ไม่ทำ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ซือซิงจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างโง่เขลา “นายท่านของเจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดถึงได้สั่งให้ข้าทำโน้นทำนี่รึ?” ใบหน้าเรียบนิ่งของพ่อบ้านหนุ่มฉายแววตกตะลึง หรือว่าข่าวที่ฮูหยินความจำเสื่อมจะเป็นเรื่องจริง หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น นายท่านก็ตัดสินใจไม่ข้องแวะกับฮูหยินอีก เพียงสั่งให้เขามาดูอาการนางตามมารยาทก็เท่านั้นเอง ชายหนุ่มพยายามปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งอีกครั้ง “ฮูหยิน ท่านจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ นะหรือ?” แทนที่ซือซิงจะตอบคำถามพ่อบ้านหลี่ กลับเป็นสาวใช้ทั้งสองรีบเอ่ยขึ้น “พ่อบ้านหลี่ ฮูหยินความจำเสื่อมไปชั่วขณะ ท่านหมอบอกว่าเป็นเพราะผลข้างเคียงจากยาพิษเจ้าค่ะ” “อย่างนั้นหรือ” พ่อบ้านหลี่ตอบรับอย่างใจลอย เพียงไม่นานชายหนุ่มก็เอ่ยตัวขอลา ทิ้งให้หญิงสาวทั้งสามนางรู้สึกงงงวยไปตามๆ กัน คล้อยหลังพ่อบ้านหลี่ไปเพียงครู่ สาวใช้ทั้งสองก็รีบจับกลุ่มสนทนากันทันที “นี่หลันฮวา เจ้าว่าวันนี้พ่อบ้านหลีเข้ามาที่เรือนฮูหยินเพียงเพราะถามอาการเท่านั้นเองหรือ?” สาวใช้ชุดขาวพูดพลางส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เช่นเดียวกับเจ้านั่นแหละ ตั้งแต่ที่นายท่านตัดขาดจากฮูหยิน ข้าก็ไม่รู้ความเป็นไปของเรือนใหญ่อีกเลย” สาวใช้ชุดเขียวมีนามว่าเหลียนฮวาหน้ามุ่ยเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่สามารถตอบคำถามอย่างที่ตนอยากรู้ได้ ก่อนจะพูดเสริมขึ้นกับสิ่งที่ตนสงสัย “ข้าว่านะ ตั้งแต่ที่นายท่านจับได้ว่าฮูหยินแอบไปพบกับคุณชายฉี คงเกลียดชังฮูหยินเท่ากระดูกดำแล้วเป็นแน่ หลังจากที่นายท่านสั่งกักบริเวณฮูหยินของพวกเรา และเกิดเรื่องขึ้น...” บทสนทนาของสาวใช้ทั้งสองทำให้ซือซิงหูผึ่งขึ้นมาในทันที เดี๋ยวก่อนนะ ใครแอบพบใคร ใครเกลียดขี้หน้าใคร นางงงไปหมดแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของร่างนี้หรือ ทำไมสาวใช้ทั้งสองถึงได้นินทากันอย่างออกรสออกชาติถึงปานนั้น เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของร่างเดิมของนางกันแน่ ไม่ได้การล่ะ ต่อมอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชาวบ้านของนางเริ่มทำงานแล้ว “เมื่อครู่...พวกเจ้าพูดเรื่องอันใดกันรึ? ช่วยนินทาให้ข้าฟังอย่างกระจ่างได้หรือไม่” ซือซิงค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามอย่างใจเย็น เมื่อรู้ว่าพวกนางเผลอคุยเรื่องของผู้เป็นนายอย่างออกรสออกชาติ จนลืมไปว่าฮูหยินของพวกนางยังนั่งหัวโด่อยู่ต่อหน้า จึงทำให้สาวใช้ทั้งสองถึงกับหน้าซีดไปตามๆ กัน เหลียนฮวารีบตอบคำถามของผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว “ฮูหยินเจ้าคะ คะคือบ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้ตั้งใจจะนินทาท่านเลยนะเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้ากับหลันฮวา...” ซือซิงรีบตัดบทเพื่อไม่อยากฟังคำแก้ตัวข้างๆ คูๆ ของพวกนางอีก “เอาล่ะ ข้าจะไม่ถือสาพวกเจ้า เร็วรีบพูดเรื่องที่เจ้านินทาข้าเมื่อครู่ให้ข้าฟังเถอะ ข้ารอฟังแทบไม่ไหวแล้ว” หญิงสาวทั้งสองถึงกับตกตะลึงอีกครั้ง ฮูหยินของพวกนางเปลี่ยนไปจริงๆ ไม่ใช่แค่ความจำเสื่อมอย่างเดียวแล้วล่ะ แม้แต่นิสัยของนางก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ถ้าเป็นแต่ก่อน หากพวกนางเผลอนินทาเรื่องของเจ้านาย พวกนางจะถูกฮูหยินสั่งตบปากครั้งละสิบที ด้วยเพราะรู้นิสัยของผู้เป็นนายดีว่านางเป็นสตรีที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีและเกลียดชังการโดนนินทาว่าร้ายเป็นที่สุด พวกนางจึงหวาดกลัวนัก หากแต่ฮูหยินที่อยู่ตรงหน้าพวกนางในตอนนี้กลับดูรื่นเริงและอยากมีส่วนร่วมกับการเป็นหัวข้อสนทนาของพวกนาง ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้สาวใช้ทั้งสองรู้สึกประหลาดใจเพิ่มมากขึ้น “เอ่อ...คือ” หลันฮวารู้สึกลังเลใจไม่น้อยและไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี “เจ้าพูดมาเถอะ เล่าให้ข้าฟังหมดทุกเรื่องนั่นแหละ ไม่ต้องเกรงใจข้า ต่อให้สิ่งที่พวกเจ้าพูดนั้นมันจะระคายหูข้ามากเพียงใด ข้าก็อยากฟัง เข้าใจหรือไม่” “เจ้าค่ะ” เหลียนฮวาพยายามรวบรวมความกล้า ก่อนจะกลั้นใจพูดเรื่องราวทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นให้นางฟัง “เรื่องมันเกิดขึ้นตอน...” จากคำบอกเล่าของเหลียนฮวาและหลันฮวา ซือซิงถึงได้รู้ว่าเจ้าของร่างที่นางสิงสู่อยู่ในตอนนี้มีนามว่า ‘เว่ยหนิงเซียน’ เป็นบุตรบุญธรรมของนายท่าน ‘เว่ยจิ้นหลี่’ บิดาของ ‘เว่ยจิ่นกวาง’ สามีคนปัจจุบันของนาง นายท่านเว่ยได้ฝากฝังบุตรชายของตนให้แต่งงานกับบุตรบุญธรรมก่อนตาย และสั่งเสียให้เว่ยจิ่นกวางดูแลนางให้เป็นอย่างดี และดูเหมือนว่าเว่ยจิ่นกวางจะมีใจหลงรักน้องสาวบุญธรรมผู้นี้มาตั้งแต่ต้น หลังจากที่นายท่านเว่ยตายจากไป เว่ยจิ่นกวางก็รับหน้าที่สานต่อกิจการค้าขายในเมืองหลวงในทันที และแต่งงานกับบุตรบุญธรรมของบิดาตามที่สัญญาไว้ หลังจากที่ทั้งสองครองคู่กันได้เพียงหนึ่งปี เว่ยหนิงเซียนก็แอบปันใจให้กับสหายรักของสามีอย่างลับๆ จนเมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เว่ยจิ่นกวางจึงจับได้ว่านางกำลังจะเก็บของหนีตามชายชู้ไป ทำให้เขาโกรธแค้นนางมาก และสั่งกักบริเวณเว่ยหนิงเซียนให้อยู่แต่ภายในเรือน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขาดสะบั้นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนเว่ยหนิงเซียนก็เสียใจมากที่ถูกสามีขัดขวางความรักของนางกับชายชู้ นางจึงตัดสินใจกินยาพิษฆ่าตัวตายเพื่อปะชดรักที่ไม่สมหวัง และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นว่าทำไมเว่ยจิ่นกวางถึงได้เกลียดชังและไม่ดูดำดูดีภรรยาเช่นนาง แม้แต่หน้านางเขาก็คงไม่อยากเห็นกระมัง ถึงได้ใช้ให้พ่อบ้านประจำตัวมาถามสารทุกข์สุขดิบตามมารยาท แต่ข้าว่า...เว่ยจิ่นกวางผู้นี้ยังคงมีเยื่อใยกับฮูหยินเว่ยอยู่แน่ๆ ถึงได้สั่งให้คนมาถามไถ่อาการของนาง หากเปลี่ยนเป็นข้าแล้วล่ะก็ ฮูหยินเว่ยผู้นี้คงถูกข้าใช้มีดสับเป็นหมื่นๆ ชิ้นเป็นแน่ สตรีที่นิยมชมชอบสวมหมวกเขียว*ให้สามี มีโทษเพียงอย่างเดียวคือประหารเท่านั้น ฮึ่ม! เฮ้อ! จะว่าไปแล้วสวรรค์ก็หาได้สงสารเห็นใจข้าอย่างแท้จริง ให้ข้ามาสิงอยู่ในร่างของผู้มีอันจะกินก็จริง แต่ไฉนกลับให้ข้ามาอยู่ในร่างของหญิงแพศยามีราคีด่างพร้อย ถูกผู้อื่นตราหน้าว่าเป็นสตรีหลายใจไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี แล้วอย่างนี้ข้าจะทำเช่นไรต่อไปดี ชีวิตอันสงบสุขของข้าคงพังทลายลงตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นแล้วกระมัง ทำไมสวรรค์ถึงใจร้ายใจดำกับข้าเยี่ยงนี้นะ มันยุติธรรมแล้วหรือ? ตอนนี้ข้าอยากจะกลั้นใจตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่มันติดตรงที่ข้ากลั้นหายใจได้ไม่นานนี่นะสิ ฮึ่ม! แค่คิดข้าก็เศร้ายิ่งนัก ซือซิงเจ้าช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารเสียจริงๆ เมื่อใช้สมองมากๆ เข้า ท้องของนางก็เริ่มเกิดอาการคร่ำครวญอยากได้อะไรมาสังเวย “ฮวาฮวากับฮวาเอ๋อร์ เจ้าไปหาอะไรมาให้ข้ากินหน่อยสิ ข้าชักจะเริ่มหิวแล้ว เร็วๆ หน่อยนะ ข้ารีบ” ซือซิงยิ้มประจบเมื่อคิดถึงอาหารอันโอชะของเรือนสกุลเว่ย ริมฝีปากบางก็ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันสีขาวที่เรียงกันเป็นระเบียบ “เจ้าค่ะ” เพียงไม่นานจานอาหารมากมายก็ถูกทยอยนำมาวางไว้เต็มโต๊ะ กลิ่นหอมของมันช่างยั่วยวนชวนน้ำลายไหลยิ่งนัก โอ้ไม่นะ! นี่มันสวรรค์ชัดๆ เป็ดปักกิ่ง หอยเป๋าฮื้อ หมูน้ำแดง ไก่ตุ๋นยาจีน หมี่หยกพันลี้ ห่านย่างเกลือ และอีกมากมายก่ายกองจนข้าแทบตาลาย นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม? ในที่สุดอาหารอันโอชะก็มาวางอยู่ตรงหน้าข้า ดี! ข้าจะจัดการพวกเจ้าให้เรียบไม่เหลือแม้แต่หยดน้ำแกงเลยคอยดู “ฮวาฮวา ฮวาเอ๋อร์ ขอบคุณนะ” พอพูดจบร่างบอบบางก็รีบกระโจนใส่อาหารตรงหน้าราวกับพายุ หญิงสาวทั้งสองยืนมองหน้ากันอย่างงุนงง ต่างคนต่างก็เริ่มสงสัยในตัวผู้เป็นนายของพวกนางมากยิ่งขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ความจำเสื่อมจะมีนิสัยที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ แม้แต่คำเรียกขานชื่อของพวกนางก็ผิดแผกแปลกไปจากเดิม จากแต่ก่อนฮูหยินจะเรียกพวกนางด้วยชื่อเดิม แต่ตอนนี้นางกลับเปลี่ยนสรรพนามเรียกชื่อพวกนางใหม่จนหมดสิ้น แต่เรื่องนี้ยังไม่แปลกเท่ากับการที่ฮูหยินของพวกนางช่างเป็นคนที่กินจุจนน่าตกใจ ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหนนางก็ไม่เกี่ยงงอนในการที่จะเลือกกิน จากปกติฮูหยินจะเป็นคนที่เลือกกินและทานน้อยเสียอย่างกับแมวดม ทว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้าพวกนางในตอนนี้กลับเป็นคนที่ตะกละตะกลามนัก นี่คือฮูหยินของพวกนางจริงๆ นะหรือ? วันๆ ของซือซิงนอกจากจะกินกับนอนเพื่อรอให้ร่างกายพักฟื้นแล้ว หญิงสาวก็เอาแต่ขลุกอยู่แต่ในห้องจนรู้สึกเบื่อหน่าย เนื่องจากสาวใช้ทั้งสองคอยแต่จะตามติดนางทุกฝีก้าวและเอาแต่พร่ำบ่นเกรงว่านางยังไม่หายดี สุดท้ายแล้วนางก็เอาแต่ติดแหง็กอยู่แต่ในเรือนไม่ได้ออกไปไหนเสียที อ๊ากก! ข้ารู้สึกอึดอัดยิ่งนัก! ย้อนคิดไปเมื่อครั้งตอนนางเป็นขอทานที่เมืองผิงอานซึ่งห่างจากเมืองหลวงนับพันลี้ แม้สมัยนั้นนางจะเป็นขอทานที่มีชีวิตที่แร้นแค้น อดมื้อกินมื้อ แต่ชีวิตของนางในตอนนั้นกลับมีอิสระเสรีนัก อยากจะไปที่ไหนก็ไปได้ไม่มีผู้ใดคอยห้ามปราม หรือต้องรักษากิริยามารยาทเฉกเช่นคุณหนูตระกูลผู้ดีเช่นตอนนี้ ไม่มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิต ซึ่งต่างกับชีวิตของนางในตอนนี้ราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียวเชียว แต่ก็อย่างว่า ทุกอย่างย่อมมีข้อดีและข้อเสีย ในเมื่อนางมาอยู่ในร่างสตรีผู้นี้แล้ว นางก็ต้องหัดฝึกฝนความเป็นกุลสตรีอัดน้อยนิดเสียบ้าง และพยายามอย่าให้ผู้อื่นจับได้ว่านางเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่มีวาสนาได้มาสิงสู่ร่างผู้อื่นโดยเด็ดขาด แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับนางก็ตาม เพราะโดยพื้นฐานนิสัยของนางแล้วเป็นคนที่เปิดเผยและตรงไปตรงมานัก ท่านผู้เฒ่าที่เป็นขอทานเช่นเดียวกับนางยังตำหนินางอยู่บ่อยๆ ว่าการเป็นขอทานหากไม่มีเล่ห์เหลี่ยมก็ยากที่จะเอาตัวรอดจากอาชีพนี้ได้ แต่ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายสักเพียงใด นางก็สามารถเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิดเหมือนมีดาวนำโชคมาช่วยตนไว้ได้ทุกครั้ง แต่ชะตาชีวิตของคนเราใช่ว่าจะสามารถลิขิตมันได้เสมอไป เพราะก่อนที่นางจะโดนขับไล่ให้หนาวตายอยู่นอกเมืองนั้น นางเผลอไปเหยียบเท้าบุตรชายของท่านเจ้าเมืองเข้า เลยเป็นเหตุให้ดาวนำโชคของนางอับแสงกลายเป็นดาวมรณะเข้ามาแทนที่ในที่สุด ผลพวงในครั้งนั้นทำให้เพื่อนร่วมอาชีพและคนเร่ร่อนภายในเมืองผิงอานถูกขับไล่ให้หนาวตายอยู่นอกเมืองอย่างน่าสลดใจ แค่คิดก็ทำให้ใบหน้างามฉายแววเศร้าสลดขึ้นมาในทันที ท่านตาและเหล่าพวกพ้องทั้งหลาย ข้าขอโทษที่ทำให้พวกท่านต้องได้รับผลพวงจากความไม่เอาไหนของข้า หากวันนั้นข้าไม่มัวแต่ใจลอยคิดถึงอาหารอันโอชะและเผลอไปเหยียบเท้าของผู้ที่ไม่ควรจะข้องแวะด้วยแล้วล่ะก็ ป่านนี้พวกท่านคงไม่มีจุดจบที่อนาถใจเช่นนี้ หลันฮวาสังเกตใบหน้าฮูหยินของนางที่เดี๋ยวก็ฉีกยิ้ม ประเดี๋ยวก็ทำหน้าเศร้า จนนางปรับอารมณ์ตามผู้เป็นนายไม่ทัน ด้วยความกังวลหญิงสาวจึงเอ่ยถามขึ้น “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านเจ็บป่วยตรงไหนบอกบ่าวได้นะเจ้าค่ะ หรือว่าพิษที่อยู่ในร่างกายท่านกำเริบ ถ้าอย่างนั้นบ่าวไปเรียกท่านหมอก่อนนะเจ้าค่ะ” เสียงของฮวาฮวาทำให้ซือซิงตื่นจากภวังค์ “พวกเจ้าว่าอะไรนะ...ข้าฟังไม่ทัน” อาการเหม่อลอยของซือซิงยิ่งตอกย้ำทำให้หลันฮวารู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้น “ฮูหยิน บ่าวคิดว่าจะเรียกท่านหมอมาตรวจอาการท่านอีกครั้ง ข้ากลัวว่าพิษที่ตกค้างในร่างกายของท่านจะทำให้ท่านรู้สึกไม่สบาย ข้ากลัวว่าท่านจะไม่...” “พอๆ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากมายอย่างที่พวกเจ้าคิด ตอนนี้ข้าอยากจะพักผ่อน พวกเจ้าออกไปเถอะ” และหลังจากที่ซือซิงมาสิงอยู่ในร่างนี้มาหลายวัน ก็ทำให้นางกระจ่างในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะการที่จะกีดกันสาวใช้ทั้งสองไม่ให้มาวุ่นวายกับตนนั้น ช่างเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าปีนเขาไท่ซานเสียอีก เหลียนฮวารีบเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “แต่ว่าฮูหยิน ข้าว่าลองให้ท่านหมอตรวจสักนิดเถอะนะเจ้าค่ะ เผื่อว่า...” “ข้าอยากพักผ่อน พวกเจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรอกรึ?” ซือซิงพูดตัดบท พลางจ้องมองพวกนางด้วยใบหน้าถมึงทึง “เจ้าค่ะ” หญิงสาวทั้งสองถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะตัดสินใจเดินจากไปไม่รบกวนนางอีก เฮ้อ! ข้าต้องถอนหายใจสักกี่ครั้งกับความดื้อรั้นของพวกเจ้า ความสงบสุขของข้า ชีวิตอันอิสระเสรีของข้า จงกลับคืนมา จงกลับคืนมา เฮ้อ! * สวมหมวกสีเขียวมีความหมายแฝงว่า ภรรยามีชู้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD